Florence Forever – Italy

เรื่องโดยทีมงาน Vacationist

ศิลปะเรอเนสซองส์ อุตสาหกรรมเครื่องหนัง พิพิธภัณฑ์หอศิลป์ และสเต็กทีโบน นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เรานึกถึงในตอนแรก เมื่อพูดถึงคำว่าฟลอเรนซ์ (Florence) เป็นความอมตะที่อยู่มาตลอดและจะอยู่ไปอีกตลอดกาลของอิตาลีก็ว่าได้

ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสกานี โดยตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน ที่ไหลผ่านเมืองอยู่ตอนกลางของอิตาลี ระหว่างโรมกับมิลานถึงแม้จะมีสนามบินเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเดินทางจากไทยไป แนะนำให้ไปลงที่โรมหรือมิลาน แล้วเดินทางด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูงมาจะสะดวกใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณ 1-3 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วแต่ว่าจะมาจากทางไหน การเดินทางภายในฟลอเรนซ์นั้นส่วนใหญ่นิยมใช้การเดินเท้าในการเที่ยวชมมากกว่า เพราะสามารถที่เที่ยวหลักๆ ไม่ไกลกันมากนัก หรือจะใช้บริการรถบัสและรถทรัมก็ได้เช่นกัน

การมาเที่ยวอิตาลี ไม่เพียงแต่ฟลอเรนซ์เท่านั้น สิ่งที่ต้องระวังคือ นักล้วงกระเป่า ที่เรียกได้ว่าขึ้นชื่อในแถบยุโรปก็ว่าได้ อีกอย่างคือ ระวังการเดิน เพราะเนื่องจากเป็นเมืองแห่งศิลปะเสียส่วนใหญ่ บางครั้งจะมีศิลปิน จัดแสดงงาน (แบบที่เราไม่นึกว่าเป็นการแสดง วางอยู่ริมถนนหนทางแล้วเราเดินไปเตะหรือเหยียบเข้า อาจต้องจ่ายเงินให้ศิลปินเหล่านี้ ดังนั้นหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันให้แจ้งเจ้าหน้าที่หรือเรียกคนแถวนั้นช่วยดู ฟลอเรนซ์มีที่เที่ยวเยอะมาก ครั้งนี้เราแนะนำที่หลักๆ ที่ต้องห้ามพลาด

มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Cattedrale di Santa Maria del Fiore)

ทางเมืองฟลอเรนซ์ต้องการที่จะสร้างโบสถ์ขนาดใหญ่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ใช้เวลา 140 ปี มีอายุมากกว่า 800 ปี ในการสร้างอาคารหินอ่อนสีขาว แต่งด้วยหินสีเขียวและชมพูแดงแห่งนี้ ที่นี่เป็นมหาวิหารที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี อีกทั้งยังเป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอิตาลีรองลงมาจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่รัฐวาติกัน และยังเป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 4 ในทวีปยุโรปอีกด้วย และมีหอระฆังสูง 85 เมตรอยู่บริเวณด้านข้าง

ส่วนภายในมหาวิหารนั้นประกอบไปด้วยหน้าต่างที่เป็นกระจกหลากหลายสีที่ได้รับการออกแบบโดยศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคเรอเนสซอง เป็นจุดเด่นของศิลปะบนฝาผนังของมหาวิหารแห่งนี้ อีกหนึ่งส่วนสำคัญของมหาวิหาร ส่วนตัวโดมนั้นมีการจัดการแข่งขันการออกแบบ โดยผู้ที่ชนะการออกแบบ คือ Filippo Brunelleschi ซึ่งได้ออกแบบโดมลักษณะแปดเหลี่ยม ขนาดใหญ่ที่สูงที่สุดในยุคเมื่อ 500 กว่าปีที่แล้วที่ได้รับการออกแบบให้ไม่มีคานหรือเสาค้ำอันเป็นต้นแบบของโดมอื่นๆ ในยุคต่อมา ค่าตั๋วเข้าชมราคา 18 ยูโร

จัตุรัสรีพับลิค (Republic Square)

ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิหารฟลอเรนซ์ จุดเด่นของที่นี่คือ เครื่องเล่นม้าหมุนที่ตั้งอยู่ตรงกลางจตุรัส ที่นี่เป็นจุดศูนย์รวมของร้านอาหาร ร้านไอติมเจลาโต (Gelato) คาเฟ่ และแหล่งชอปปิ้งแบรนด์เนมต่างๆ รวมถึงการแสดงเปิดหมวกที่พร้อมมอบความสุขความสนุกให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา

จัตุรัสชิกนอเรีย (Piazza della Signoria)

เป็นศูนย์กลางของชีวิตทางการเมืองในเมืองฟลอเรนซ์นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ตั้งอยู่บริเวณเขตเมืองเก่าของฟลอเรนซ์ จัตุรัสรูปสี่เหลี่ยมรูปตัว L ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของพระราชวังเวคคิโอ (Palazzo Vecchio) เต็มไปด้วยประติมากรรมมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่ เช่น รูปแกะสลักเพอร์ซิอุส วีรบุรุษกรีกโบราณตอนบั่นคอเมดูซ่า รูปแกะสลักเฮอร์คิวลีส และรูปสลัก The Rape of the Sabine Women เป็นต้น

จัตุรัสแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์และความเป็นมาของสาธารณรัฐฟลอเรนซ์และยังคงรักษาชื่อเสียงในฐานะที่เป็นจุดที่น่าสนใจทางการเมือง อีกทั้งยังเป็นสถานนัดพบอันสำคัญของพลเมือง รอบๆ จัตุรัสนี้ นอกจากวัง แล้วยังมีพิพิธภัณฑ์อูฟิซี่ มีทางเดินลอดใต้ทางเชื่อมเพื่อตรงไปยังจัตุรัสซิญญอเรีย ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีความสำคัญสุดของเมืองฟลอเรนซ์ ข้างในมีภาพวาดสวยงามของศิลปินชื่อดัง รูปแกะสลักตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน

พิพิธภัณฑ์หอศิลป์อุฟฟีซี (Uffizi Gallery)

พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลีที่มีผู้สนใจเข้าชมเป็นจำนวนมากทุกวัน เพราะที่นี่เป็นที่รวมงานศิลปะตั้งแต่ยุคเรเนซองส์ (Renaissance) ไปจนถึงบารอก (Baroque) และโรโกโก (Rococo) มากที่สุดในโลก กว่า 2,500 ชิ้น โดยเป็นของสะสมของตระกูลเมดิซี

คำว่า Uffizi ในภาษาอิตาเลียนมีความหมายว่า ออฟฟิศ เนื่องจากอาคารหอศิลป์แห่งนี้เคยใช้เป็นสำนักงานสำหรับ Administrative Office of The Republic of Florence มาก่อน ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ ตามยุคสมัยและห้องศิลปิน และภาพวาดที่นักท่องเที่ยวสนใจเข้าชมกันมาก และดังๆ จัดแสดงอยู่ที่ชั้น 3 ไม่ว่าจะเป็น The Birth of Venus (กำเนิดวีนัส) และ Primavera (ฤดูใบไม้ผลิ) ผลงานของซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli)

The Duke and Duchess of Urbino โดย Piero della Francesca นอกจากนี้ยังมีผลงานของศิลปินในยุคเรอนาสซองส์ให้ได้เลือกชมอีกถึง 45 ห้องเลย ที่ปิดทุกวันจันทร์ วันที่ 1 มกราคมและวันที่ 25 ธันวาคม แม้ว่าจะจ่ายตั๋วล่วงหน้าราคาจะเพิ่ม 4 ยูโรต่อคน แต่แนะนำให้จองมาจะดีกว่า เพราะคนเยอะมาก ค่าเช้าชมขึ้นกับช่วงเดือน หากเป็นเดือนมีนาคม – ตุลาคม ผู้ใหญ่ 20 ยูโร และเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ผู้ใหญ่ 12 ยูโร เว็บไซต์: www.uffizi.it

สะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio)

สะพานเวคคิโอ หากแปลตรงตัว ชื่อของสะพานแห่งนี้ก็จะหมายถึง “สะพานเก่า” ซึ่งก็เก่าที่สุดของเมือง โดยสะพานนี้นั้นตั้งอยู่บนแม่น้ำอาร์โน (Arno) เดิมถูกสร้างเพื่อใช้เป็นทางสัญจรในการข้ามแม่น้ำอาร์โน สะพานแห่งนี้เชื่อมระหว่างหอศิลป์อุฟฟีซีเข้ากับ Petit Palace ลักษณะของสะพานเป็นสะพานที่โค้ง 3 อันคร่อมแม่น้ำอาร์โน

ภายในสะพานเป็นอีกหนึ่งย่านการค้าที่สำคัญของเมืองประกอบไปด้วยร้านค้าสีเหลืองสดใสและมีหน้าต่างรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ แต่ละร้านก็มีสินค้าไม่ว่าจะเป็นอัญมณีโบราณหายาก ราคาแพง ไปจนถึงของธรรมดาน่ารักๆ ไว้สำหรับเป็นของฝาก อีกทั้งยังเป็นแหล่งช่างทองฝีมือดีมาช้านาน จะเห็นได้จากรูปปั้นครึ่งตัวของ Cellini ช่างทองชื่อดังที่อยู่ช่วงกลางสะพาน ภาพของอาคารสะท้อนบนผิวแม่น้ำนั้นเป็นอีกหนึ่งภาพที่จัดว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์

นอกจากนั้นแล้วกิจกรรมยอดนิยมอีกอย่างของนักท่องเที่ยวที่เป็นคู่รักนิยมทำกันอย่างมากคือการนำแม่กุญแจมาล็อคไว้บนสะพาน จากนั้นโยนลูกกุญแจทิ้งลงไปในแม่น้ำ ตามความเชื่อพื้นเมืองที่เชื่อว่าจะทำให้คู่รักนั้นผูกพันธ์กันไปตลอดกาล จึงจะเห็นกุญแจมากมายล็อกอยู่ที่สะพาน

มหาวิหารซานตามาเรียโนเวลลา (Basilica di Santa Maria Novella)

โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเมืองฟลอเรนซ์ อยู่บริเวณ Piazza di Santa Maria Novella ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟ SMN หรือ Florence Santa Maria Novella Train Station สถานีรถไฟหลักของเมืองฟลอเรนซ์ เป็นหนึ่งในโบสถ์แบบโกธิคที่สำคัญที่สุดในเมือง ด้านนอกที่เป็นผลงานของ Fra Jacopo Talenti และ Leon Battista Albert

ส่วนด้านในของโบสถ์เต็มไปด้วยงานศิลปะที่โดดเด่นแบบเฟรสโก้ (Fresco) ผลงานชื่อดังคือผลงานที่ชื่อว่า Trinity โดย Masaccio ภาพเฟรสโก้ของ Ghirlandaio นอกจากนั้นโบสถ์แห่งนี้ยังมีชื่อเสียงโด่งดังจากเครื่องสำอาง นักบวชที่นี่ได้เริ่มทำเครื่องสำอางขึ้นมาเพื่อการบำบัด ผลิตภัณฑ์จากนักบวชมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ สบู่ และน้ำหอม สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาด้านข้างโบสถ์ ราคาค่าตั๋วเต็มราคาคือ 7.5 ยูโร

พิพิธภัณฑ์ศิลปะ แกเลอรี่ เดลลัคคาเดเมีย (Galleria dell’ Accademia)

สามารถจากสถานีรถไฟกลาง Firenze S.M.N. ไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจัตุรัสเปียซซา ซาน มาร์โค ในอดีตเคยเป็นโรงเรียนสอนศิลปะ ปัจจุบันเป็นที่จัดแสดงภาพวาดและงานประติมากรรมในศตวรรษที่ 14 -17 เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้สนใจเข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะที่นี่เป็นที่เก็บรักษารูปปั้น David (ของจริง) ผลงานของมิเคลันเจโล (Michelangelo) นอกจากนี้ยังมีภาพจิตรกรรมและประติมากรรมของศิลปินชื่อดังแห่งยุคเรอนาสซองส์อย่างซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli), โดเมนิโค กีร์ลันดายโย (Domenico Ghirlandaio) และชมผลงานที่ยังไม่แล้วเสร็จของมิเคลันเจโล The Prisoners และผลงานของศิลปินอื่นๆ ส่วนมากเป็นงานพอร์ตเทรต อิริยาบถต่างๆ ของมนุษย์

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0