West Coast Road Trip in The USA – เที่ยวอเมริกาฝั่งตะวันตก
รัฐชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา (West Coast) หลักๆ ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย (California), โอเรกอน (Oregon), และวอชิงตัน (Washington) บางครั้งอาจรวมถึงอลาสก้า (Alaska) และฮาวาย (Hawaii) ด้วยผู้คนฝั่งตะวันตกจะมีการใช้ชีวิตแบบสบายๆ มีความเรียบง่าย และผ่อนคลายมากกว่าฝั่งตะวันออก

เนื่องจากการเดินทางฝั่งนี้ไม่ได้มีรถไฟหรืออะไรมากมาย ผู้คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาว่างไปกับการผักผ่อนตามสวนสาธารณะ หรือ การปีนเขา (Hiking) หรือมักจะเช่ารถบ้านเที่ยวในลักษณะของ Road Trip ในการชมธรรมชาติอันสวยงามข้างทาง ที่มีสภาพอากาศที่อบอุ่นตลอดทั้งปีแม้ว่าในหน้าหนาว อาจจะพบเจอกับฝน หรือ พายุบ้างในบางพื้นที่ แต่ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างไร

การเดินทาง West Coast Road Trip ครั้งนี้เราเน้นที่ 3 เมืองใหญ่ ของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) โดยเริ่มต้นที่ซานฟรานซิสโก (San Francisgo) ต่อไปยังลอสแอนเจลิส (Los Angeles) ซึ่งมีไทยทาวน์ หรือย่านคนไทยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และไปสุดเส้นทางที่ซานดิเอโก (San Diego)
ซานฟรานซิสโก (San Francisgo)
ซานฟรานซิสโกมีความหนาแน่นของประชากรเป็นอันดับสองของประเทศ มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมสมัยเก่าและสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว อากาศดี แถมยังมีธรรมชาติที่สวยงาม จึงไม่แปลกใจเลยหากที่นี่ถูกยกย่องให้เป็นอีกเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก
สะพานโกลเด้นเกต (Golden Gate Bridge)

สะพานแขวนขนาดใหญ่ สีส้มโดดเด่น ทอดข้ามอ่าวซานฟรานซิสโกเพื่อเชื่อมต่อระหว่างตัวเมืองซานฟรานซิสโกกับเมืองมารีน เคาน์ตี (Marin County) มีความยาวทั้งหมด 1.70 ไมล์ (2.74 กิโลเมตร) กว้าง90 ฟุต (27.4 เมตร) เปิดใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1937 ถือเป็นสะพานแขวนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผลงานวิศวกรรมอันสุดพิเศษปลายยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ออกแบบโดย นายโยเซฟ แบร์มานน์สเตร๊าซ์ (Joseph Straus) เกิดจากการคำนวณและออกแบบมาอย่างดี ให้สามารถทนต่อกระแสน้ำและแรงลม ทนต่อการเกิดแผ่นดินไหว แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมสะพานแห่งนี้มากมาย
ฟิชเชอร์แมน วอร์ฟ และท่าเรือ 39 (Fisherman’s Wharf and Pier 39)

ฟิชเชอร์แมน วอร์ฟ เป็นท่าเรือเก่าแก่ของซานฟรานซิสโกที่ใช้ในการขนส่งปลาและอาหารทะเลมาตั้งแต่ในอดีตมีท่าเรือส่งสินค้ามากมายโดยมีตัวเลขกำกับท่าเรือตั้งแต่ท่าเรือ 1 (Pier 1) ไปเรื่อยๆ จุดท่องเที่ยวยอดนิยมของบริเวณท่าเรือแห่งนี้ก็คือท่าเรือ 39 (Pier 39) ซึ่งแหล่งรวมความบันเทิงหลากหลายไม่ว่าจะเป็นมุมถ่ายรูปสุดชิค ร้านค้า ร้านของที่ระลึก สวนสนุก ร้านอาหารทะเลสดๆ ทั้งทั้งล็อบสเตอร์ ซุปครีมหอยลายเสิร์ฟมาคู่กับขนมปัง และห้ามพลาดปู Dungeness crab ปูพันธุ์ที่ขึ้นชื่อยอดนิยมที่พบมากในแถบทะเลแปซิฟิกตอนเหนือรสชาติอร่อย เนื้อเยอะ ซึ่งที่นี่สด ใหม่ทุกวันจนมีคำกล่าวที่ว่า “Pier to Plate” อีกอย่างที่พลาดไม่ได้คือชมฝูงสิงโตทะเลที่นอนอาบแดดและเล่นกันอยู่บนทุ่นลอยน้ำของท่าเรือ 39 เป็นร้อยๆ ตัว บางปีมีมากถึงพันตัวเลยทีเดียว
ถนนลอมบาร์ด (Lombard Street)

ตั้งอยู่ใน Russian Hill เชื่อมระหว่าง ถนนไฮด์ (Hyde) กับ ถนนลีเวนเวิร์ท (Leavenworth) ถนนที่ได้รับฉายาว่า เป็นถนนที่ชันและคดเคี้ยวที่สุด ด้วยความที่ถนนมีความลาดชันถึง 40 องศา ก็เลยได้มีการทำถนนให้เป็นทางคดเคี้ยวรูปตัว S และลดความชันลงเพื่อให้ขับกันอย่างปลอดภัย ถนนทางเดียวคือขับจากด้านบนลงมาข้างล่าง ตรงจุดด้านบนมองเห็นวิวของอ่าวซานฟรานซิสโก, Bay Bridge และ Coit Tower อยู่ด้านล่างรอบข้างของถนนเส้นนี้จะเป็นบ้านเรือนอันสวยหรูสไตล์วิคตอเรียน (Victorian Style) สองข้างทางประดับประดาด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาชนิด ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการมาที่นี่
บ้านเก่าแก่สไตล์วิคตอเรียน (Seven Sisters)

Seven Sisters หรือ Painted Ladies มีลักษณะเป็นบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์วิคตอเรียน (Victorian) โดดเด่นด้วยสีสันแบบพาสเทล ตั้งเรียงรายกัน 7 หลัง อยู่ริมถนน Steiner Street ซึ่งเป็นแนวชันมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ จัตุรัส อลาโม (Alamo Square) หรือ สวนสาธารณะอลาโมที่นักท่องเที่ยวและชาวเมืองมักจะชวนกันมานั่งพักผ่อนกันที่นี่
ยอดเขาทวินพีค (Twin Peak)

ถือเป็นจุดชมวิวมุมสูงบริเวณกลางเมืองซานฟรานซิสโก สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 282 เมตร จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นทั่วเมืองซานฟรานซิสโกแบบ 360 องศา มองออกไปมองเห็นวิวเมืองซานฟรานฯ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา นักท่องเที่ยวมักจะไปชมวิวเมืองกันในช่วงวันหยุด เหมาะแก่การมาชมพระอาทิตย์ตกดิน ยามเย็น และชมดาวยามค่ำคืน วิวที่นี่จะสวยงามมาก สามารถมองเห็นดาวมากมายที่อยู่เหนือเมืองซานฟรานซิสโกจากซานฟรานซิสโก ขับตามถนน I-580E และ I-5 S ไปทาง W Aliso St มุ่งสู่ลอสแองเจลิส (Los Angeles) เราขับเลียบทะเลไปเรื่อยๆ ประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ ก็แวะพักกันที่มอนเทอเรย์ (Monterey) เป็นเมืองชายฝั่งในแคลิฟอร์เนีย ที่มีทัศนียภาพชายฝั่งที่สวยงามตระการตา และอาหารทะเลสดๆ เมืองค่อนข้างเล็ก แต่อบอุ่น บนถนนสายหลักของเมืองมีร้านค้า ร้านอาหารเล็กๆเรียงราย บางร้านมีอายุเป็นร้อยๆ ปี
และอีกไฮไลต์ของที่นี่คือ มีมุมถ่ายภาพที่ชื่อว่า ‘Lone Cypress เป็นต้นสนอายุกว่า 250 ปี ที่ตั้งอยู่บนโขดหินริมหน้าผาของเส้นทาง17-Mile Drive อันเป็นสัญลักษณ์ตลอดแนวชายฝั่งแห่งนี้ มอนเทอเรย์ ห่างจากลอสแองเจลิสราวๆ 6 ชั่วโมง เราสามารถพักที่มอนเทอเรย์ หรือไปพักที่ซานตาบาร์บารา (Santa Barbara)
ลอสแอนเจลิส (Los Angeles)

ลอสแอนเจลิสหรือที่รู้จักกันในนาม แอลเอ (L.A) เมืองแห่งนางฟ้า “City of fallen Angels” มีประชากรหนาแน่นเป็นอับดับ 2 ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองแห่งฮอลลีวูด การพักผ่อนริมชายหาด และความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก เนื่องจากการอพยพของหลายเชื้อชาติโดยเฉพาะคนเอเชีย และอเมริกาใต้ ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ศิลปะ และบันเทิง ให้คุณได้สัมผัสไม่รู้จบ
ป้ายฮอลลีวูด (Hollywood Sign)

หนึ่งในแลนด์มาร์คที่ต้องถ่ายสักใบ ไม่ว่าจะถ่ายใกล้ถ่ายไกลก็ต้องแชะภาพและเช็กอินป้ายฮอลลีวู้ดที่ตั้งอยู่บนที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเมาท์ลี (Mount Lee) ในซานต้าโมนิกา (Santa Monica) สักใบ ถ้าอยากถ่ายระยะประชิด สามารถขับรถ หรือซื้อทัวร์ไปชมได้ แต่สำหรับคนเที่ยวเอง งบน้อย สามารถถ่ายได้บริเวณริมทางหลวงสาย Mulholland Highway ที่ตัดผ่านเนิน Hollywood Hills หรือหอดูดาวกริฟฟิธ (Griffith Park & Observatory) มีที่จอดรถฟรี และบริเวณ Lake Hollywood Park ป้ายฮอลลีวู้ดมีความสูงถึง 13.7 เมตร และยาว 137.2 เมตร ใหญ่ขนาดสามารถมองเห็นได้จากทั่วทุกมุมในตัวเมืองลอสแองเจลิส
ฮอลลีวูด บูเลอวาร์ด (Hollywood Boulevard) และฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม (Hollywood walk of fram)

ฮอลลีวูด บูเลอวาร์ด ถนนที่เปี่ยมไปด้วยสีสันและเป็นสถานที่มีชื่อเสียงของภาพยนตร์ และแหล่งบันเทิง ที่นี้มีถนนสายหลัก 3 แห่ง ได้แก่ถนนซันเซท (Sun set street) แหล่งบันเทิงยามค่ำคืน ฮอลลีวูดวอล์ก ออฟ เฟม (Hollywood walk of fame) และถนนเมลโรส (Melrose Avenue) สวรรค์ของนักช้อปปิ้ง

สำหรับฮอลลีวู้ด วอล์ก ออฟ เฟรม อยู่ตรงถนนฮอลลีวู้ดตัดกับถนนไวน์ ถนนเต็มไปด้วยรูปดาวที่มีชื่อดารา นักร้อง นักแสดง ผู้กำกับ พร้อมเหล่าเซเลบที่มีชื่อเสียงในวงการ มาประทับรอยมือและรอยเท้าไว้ตามท้องถนนแห่งนี้ และบนนถนนเส้นนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ประกาศรางวัลออสการ์ ที่โรงละครดอลบี้ (Dolby Theatre) และโรงละครจีน (Chinese Theatre) มีความจุผู้คนมากถึง 900 ที่นั่งซึ่งบริเวณหน้าโรงละครยังมีรอยประทับฝ่ามือพร้อมลายเซ็นต์ของดาราดังอีกด้วย
ถนนโรดิโอ ไดร์ฟ (Rodeo Drive)

ถนนที่มีความยาวกว่า 3.2 กิโลเมตรบริเวณเบเวอร์ลีฮิลส์แห่งนี้ เรียกได้ว่าถนนเส้นนี้เป็นถนนสายแฟชั่นแบรนด์ดังที่สุดในการช้อปปิ้งสินค้าหรู แหล่งรวมของแบรนด์สินค้าชั้นนำจำนวนมากอยู่ที่นี่ กว่า 200 ร้านไม่ว่าจะเป็น Gucci, Prada, Christian Dior, Louis Vuitton, Chanel, Tiffany & Co., Giorgio Armani เป็นต้น รวมถึงร้านค้าแฟชั่นขนาดเล็กของนักออกแบบจำนวนไม่มาก ถ้าโชคดีก็อาจจะได้เจอเซเลบริตี้หรือนักแสดงชื่อดังด้วย เพราะที่นี่เป็นแหล่งชอปปิงสุดโปรดของพวกคนดังเช่นกัน
วอลต์ดิสนีย์ คอนเสิร์ตฮอลล์ (Walt Disney Concert Hall)

เป็นอาคารหอประชุมที่ 4 ส่วนหนึ่งของลอสแอนเจลิสมิวสิกเซนเตอร์ (Los Angeles Music Center) สถานที่มอบรางวัลออสการ์ตั้งอยู่ระหว่างโฮปสตรีท (สายที่ 1 และที่ 2) เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของแอลเอ สำหรับคนที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรมดีไซน์ล้ำๆ ละก็ไม่ควรพลาดที่นี่ออกแบบโดย Frank Gehry วอลต์ดิสนีย์คอนเสิร์ตฮอลล์ เป็นบ้านเกิดของ Los Angeles Philharmonic หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “LA Phil” วงออเคสตราที่มีชื่อเสียงที่สุดของแอลเอ และรวบรวมนักร้องประสานเสียงระดับปรมาจารย์ไว้มากมาย ทั้งยังเป็นหนึ่งในคอนเสิร์ตฮอลล์ที่มีระบบเสียงที่ซับซ้อนที่สุด
สวนสาธารณะกริฟฟิธ และหอดูดาวกริฟฟิธ (Griffith Park & Observatory)

สวนสาธารณะกริฟฟิธ และ หอดูดาวกริฟฟิธ ตั้งอยู่ตรงข้ามป้ายฮอลลีวูด ด้วยพื้นที่มากกว่า 4,210 เอเคอร์ สร้างเสร็จและเปิดบริการครั้งแรกในปี 1935 เต็มไปด้วยธรรมชาติของต้นไม้และภูเขา ทั้งเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองที่ผู้คนมักจะมาพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญ หอดูดาวกริฟฟิธ ที่เปิดให้เข้าชมฟรีสามารถนั่งรถบัสจากสวนสาธารณะมาได้ฟรีเช่นกัน เพราะฉะนั้นห้ามพลาดการดูดาวที่นี่
ซานตา โมนิก้า (Santa Monica)

สวรรค์ของคนที่รักทะเล ชายหาด และแสงแดด เหล่าบรรดานักโต้คลื่นจะมารวมตัวกันที่นี่ ชายหาดทรายสีทองที่มีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ อยู่ใกล้กับเบเวอลี่ฮิลล์ เป็นหาดสวรรค์่ที่คุณจะได้นอนอาบแดด ปิกนิก เล่นเซิร์ฟ ว่ายน้ำ หรือนั่งผ่อนคลายชิลล์ๆ แล้วยังมี Santa Monica Pier ท่าเรือเก่าแก่ที่ได้รับการเนรมิตเป็นสวนสนุกริมทะเล “Pacific Park” (หลายคนอาจคุ้นจากในหนังสยองขวัญเช่นกัน) จะเดินเล่นชมวิวสวยๆ ของน้ำทะเลสีคราม ขึ้นชิงช้าสวรรค์ชมวิวพานอรามา หรือจะถ่ายรูปกับป้าย Santa Monica สุดไอคอนิกก็เก๋ไม่แพ้กัน เดินเที่ยวจนเหนื่อยก็แวะเติมพลังกันที่ร้านอาหารทะเลสดๆ บาร์ชิลล์ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนผ่อนคลาย รับรองว่าฟินสุดๆ
ซานดิเอโก (San Diego)

เมืองขนาดกลางใกล้ชายแดนประเทศเม็กซิโกจึงมีกลิ่นอายความเป็นเม็กซิกันอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ผับบาร์ คาเฟ่ แถมเดินทางได้ง่ายจากลอสแอนเจลิส ด้วยรถบัส และรถไฟ หากขับรถมาใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซานดิเอโกเป็นที่รู้จักในเรื่องภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่อบอุ่น ชายหาดและสวนสาธารณะที่กว้างขวาง ความสัมพันธ์อันยาวนานกับกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา มีที่เที่ยวหลากหลาย
สวนสัตว์ซานดิเอโก (San Diego Zoo) และสวนสาธารณะบัลบัว (Balboa Park)

สวนสัตว์ซานดิเอโกเป็นที่รู้จักกันในฐานะสวนสัตว์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก โดยมีการจัดแสดงสัตว์ต่างๆ กว่า 3,700 ตัว จาก 650 สายพันธุ์ทั่วโลก เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 20.00 น. บัตรเข้าชมสถานที่มีตั้งแต่บัตรสำหรับ 1 วัน 2 วัน 3 วัน ราคาค่อนข้างจะแรงไปนิด คุณสามารถเที่ยวชมได้ หรือจะเดินครึ่งวันแล้วอีกครึ่งวัน เที่ยวชมสวนสาธารณะบัลบัวซึ่งอยู่ติดกันได้ ภายในสวนสัตว์มีการจัดสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ มีการให้ความรู้แก่ผู้เข้าชมและสร้างทัศนคติที่ดีในการรักษาสิ่งแวดล้อม การอยู่ร่วมกันระหว่างคนและสัตว์อย่างเหมาะสม

สำหรับสวนสาธารณะบัลบัวป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีพื้นที่กว่า 1,200 เอเคอร์ ประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์มากกว่า 16 แห่ง, แกลเลอรี่, สวนพฤกษศาสตร์, เส้นทางเดินป่า สถานที่จัดแสดงศิลปะ และสถาปัตยกรรมอันสวยงามที่นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นซานดิเอโกอย่างแท้จริง และเป็นสถานที่ซึ่งคุณต้องไม่พลาดในระหว่างที่คุณอยู่ในเมืองแห่งนี้
เมืองเก่าซานดิเอโก (Old Town San Diego)

เมืองเก่าในซานดิเอโก ซานดิเอโกเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งถิ่นฐานของรัฐแคลิฟอร์เนีย มีประวัติความเป็นมาพอสมควร เป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ รอบๆ บริเวณนี้มีบ้านโบราณหลายแห่งถูกทำเป็นร้านค้า พิพิธภัณฑ์ มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านค้าขายงานฝีมือในอาคารเก่าแก่ตั้งแต่ช่วงปี 1800 ที่ห้ามพลาดคือ การลิ้มลอง
อาหารที่ร้านอาหารแบบเม็กซิกันชิมตอร์ตียาทำมือจากผู้ผลิตตอร์ตียาและลองทาโก้ข้างถนนแท้ๆ หรือเลือกเตกีลาหลากหลายชนิดที่คัดสรรมาอย่างดีที่ร้านเตกีเลเรียของแท้ซึ่งมีคอลเล็กชันเตกีลากว่าพันชนิดในพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดหาได้ที่ย่านนี้
อ่าวลาโฮย่า (La Jolla cove)

เป็นอ่าวเล็กๆ ในเมืองลา โฮลยา (La Jolla) ชายฝั่งทะเลแปซิฟิก เมืองซานดิเอโก้ เป็นเมืองที่เหมาะแก่การดำน้ำทั้งดำน้ำตื้น และดำน้ำลึก มีชื่อเสียงในเรื่องน้ำทะเลใส ชายหาดเล็กๆ และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิงโตทะเลและแมวน้ำมานอนอาบแดดนอกจากนี้การดำน้ำแล้วการว่ายน้ำ พายเรือคายัครวมไปถึงการลิ้มรสกับอาหารทะเล ตั้งแต่ร้านระเบียงบนดาดฟ้าจนถึงผับที่จำหน่ายคราฟต์เบียร์ แล้วยังร้านอาหารแบบไฟน์ไดน์นิ่งอันหรูหราอยู่ด้วย ลองมาสัมผัสประสบการณ์การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างธรรมชาติและความหรูหราในการผจญภัยริมชายฝั่งที่ผ่อนคลายและน่าประทับใจที่คุณจะต้องหลงรักเป็นการปิดท้ายทริปที่ชายหาดบรรยากาศดีๆได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
การเตรียมตัวเดินทางไปอเมริกา
– การขอวีซ่าอเมริกาสำหรับคนไทยนั้นมีขั้นตอนและข้อกำหนดที่ต้องดำเนินการตามที่สถานทูตสหรัฐฯ และสถานกงสุลในประเทศไทยระบุ โดยทั่วไปแล้ว ผู้สมัครจะต้องกรอกแบบฟอร์ม DS-160 ออนไลน์, ชำระค่าธรรมเนียม, ทำการนัดหมายวันสัมภาษณ์ และเข้ารับการสัมภาษณ์ที่สถานทูต ตามวันเวลาที่นัดหมาย
– เวลาที่อเมริกาช้ากว่าประเทศไทย 14 ชั่วโมง
– สกุลเงิน ยูเอสดอลลาร์ ( USD ) 1 USD = 32.39 บาท (อัตราแลกวันที่ 13 กรกฎาคม 2025)
– ระบบไฟฟ้า 100 โวลท์ ปลั๊กแบบ 3 ขา ขาแบน 2 ขา และขากลม 1 ขา
– การให้ทิปถือเป็นธรรมเนียมที่ต้องทำตามร้านอาหาร บาร์ หรือพนักงานยกกระเป๋า พนักงานขับรถ(ให้ทิปประมาณ 15% จากบิล ยกเว้นร้านฟาสต์ฟู้ดเช่น KFC MCDONALD ไม่จำเป็นต้องให้ทิปก็ได้)