Okinawa One more time โอกินาว่าอีกครั้ง

เพื่อนในออฟฟิศมักจะถามผมเสมอเวลาเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่นิยมของใครๆ เขาว่า “ไปทำไม” ต่อด้วย “ไม่เห็นมีอะไร” และแทบทุกครั้งหลังจากที่ผมกลับมาจากเดินทาง ทุกคนก็มักจะบอกว่า “สวยจัง” “ทำไมไม่ชวนไปบ้าง” “ที่นี่ไปยังไง” กันแทบทั้งนั้น เช่นเดียวกันกับคราวนี้ ที่ผมกลับมาจากโอกินาว่า (Okinawa) หมู่เกาะทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น ที่หลายคนปฎิเสธจะร่วมเดินทางกับผมในครั้งนั้น กลับต้องรีบจองตั๋วแล้วเดินทางไปโอกินาว่าเช่นเดียวกับผม โอกินาว่ามีอะไรดี ไปดูกัน

หมู่เกาะทางใต้ของญี่ปุ่น ใกล้เมืองไทยนิดเดียวอย่างที่เกริ่นไปแต่ต้นว่า โอกินาว่าเป็นจังหวัดที่เป็นเกาะอยู่ทางใต้สุดของประเทศญี่ปุ่น มีเกาะเล็กเกาะน้อยและเกาะใหญ่รวมกว่า 160 เกาะ แต่มีคนอาศัยอยู่จริงเพียงแค่ 46 เกาะเท่านั้น

การเดินทางจากเมืองกรุงเทพฯ ฟ้าอมรของเราไป หากเป็นเที่ยวบินที่บินตรงก็จะใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นที่นี่มีอากาศค่อนข้างจะเย็นสบายไม่ร้อนจัด หรือหนาวมากเหมือนแถบภูมิภาคอื่นๆ มีความหลากหลายทางธรรมชาติทั้งกลุ่มปะการังที่สวยงามและสัตว์ที่หายาก ทำให้โอกินาว่าถือได้ว่าเป็นสถานที่พักผ่อนทางทะเลที่สุดสบายสำหรับชาวญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน ที่อยู่ใกล้เคียงเกาะโอกินาว่าก็ว่าได้ ส่วนการคมนาคมสุดแสนสะดวกสบายด้วยบริการรถไฟโมโนเรล(Monorail) ที่เรียกว่า “ยูอิ เรล” (Yui Rail) เป็นระบบรถไฟโมโนเรลที่เชื่อมต่อระหว่างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศสนามบินนาฮะ (Naha Airport) ไปสุดปลายทางที่ปราสาทชูริ (Shuri Castle) รถไฟขบวนนี้จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่มีชื่อเสียงของเกาะหลายจุด โดยสามารถเดินทางได้ภายในประมาณ27 นาทีต่อการเดินทางหนึ่งเที่ยว แต่ถ้าใครอยากท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ก็สามารถทำได้ อย่างผมมีเวลาเพียง 2 วันก็สามารถเที่ยวได้หลายจุดที่เดียว อ๋อ..ไม่ต้องกังวลว่าจะขับยาก เพราะที่ญี่ปุ่นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเราเลย แถมมี GPS ให้บริการด้วย

ชมปราสาทชูริ (Shuri Castle) ปราสาทโบราณของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรริวกิว (Ryukyu Kingdom)

ปราสาทชูริหรือที่ชาวโอกินาว่า เรียกว่า “Shuri Jo” เป็นหนึ่งในสถานที่ต้องมา หากคุณได้มาโอกินาว่า การเดินทางมาที่นี่ก็แสนจะสะดวกเพียงแค่ขึ้นรถโมโนเรลไปจนสุดสาย ลงที่สถานีชูริ (Shuri) ถ้าคุณขับรถมาเองจะใช้เวลาประมาณ 20 – 25 นาทีได้ ปราสาทแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการบริหาร และเป็นที่อยู่อาศัยของกษัตริย์มานานหลายร้อยปี ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดยกษัตริย์ริวกิว ในปี ค.ศ. 1879 ซึ่งปราสาทแห่งนี้ได้รับขึ้นบัญชีเป็น UNESCO World Heritage ด้วยเนื่องจากตัวปราสาทตั้งอยู่บนเนินเขา นอกจากจะมองเห็นวิวมุมสูงของเมืองนาฮะได้อย่างชัดเจนแล้ว อากาศยังค่อนข้างจะเย็นสบาย และสดชื่นอีกด้วย โดยรอบปราสาทชูริทั้งหมดเรียกว่า Shuri Castle Park นั้นประกอบด้วยอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจหลายสิบจุด ไม่ว่าจะเป็นส่วนของห้องโถงใหญ่ (Seiden) ใช้เป็นที่จัดงานของรัฐ ประตูชูริ (ShuriGate) ซึ่งเป็นประตูหลักของปราสาท และ Tamaudun สุสานหลวง ที่ตั้งอยู่ถัดจากปราสาทชูริ เป็นต้น บางจุดของปราสาทสามารถถ่ายรูปได้ แต่บางจุดก็ห้าม ดังนั้นควรจะสังเกตการณ์ที่จะเพลิดเพลินกับการเก็บภาพมากเกินไป จับพลัดจับผลูจะได้อยู่ถ่ายภาพในญี่ปุ่นยาวแบบไม่ได้คาดคิด

โบราณสถานปราสาทนาคะกุสุคุ (Nakagusuku Castle Remains)

ภาพปราสาทโบราณที่สูงเด่นเป็นสง่า ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินที่สามารถมองเห็นวิวอ่าวนาคะกุสุคุ คือป้อมปราการที่มีความเกี่ยวเนื่องกับราชอาณาจักรริวกิวโบราณก่อนจะกลายเป็นจังหวัดโอกินาว่าในปี ค.ศ. 1879และเป็นอีกแห่งที่ได้รับการบันทึกให้อยู่ใน UNESCO World Heritage Siteds ประจำปี ค.ศ. 2000 ความน่าสนใจของที่นี่สำหรับผมคงเป็นแนวปราการของปราสาทที่สร้างด้วยหินธรรมชาติที่จัดเรียงกันเป็นแนวโค้งอย่างสวยงาม แต่บริเวณนี้เป็นเนินอย่างที่บอกเตรียมกำลังขามาให้พร้อมเพื่อปีนเนินกันสักนิด แต่รับประกันว่าขึ้นมาแล้วคุณได้รางวัลเป็นวิวสวยงามสมกับพลังงานที่เสียไปอย่างแน่นอน

ไม่ไกลกันนั้นเป็นที่เที่ยวยอดนิยมอย่างคฤหาสน์นาคามูระ (Nakamurake Residence) เคยเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางใหญ่ คาดว่าสร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของทางการญี่ปุ่น และเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชม มีลักษณะโดดเด่นของบ้านสไตล์โอกินาว่าดั่งเดิมคือ หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีแดง มีรูปปั้นชิซะ เป็นสิงโตที่เชื่อกันว่ามีไว้ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายประดับอยู่และรอบบ้านก็มีกำแพงก้อนหินล้อมสูงไว้ทุกด้าน เพื่อป้องกันภัยจากพายุไต้ฝุ่นตรงบริเวณประตูด้านทิศใต้ จะเห็นหินแผ่นก้อนใหญ่อยู่ หินนี้ใช้เป็นเหมือนเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้าย

หน้าผาหัวช้าง สัญลักษณ์ของแหลมมันซะโม(Cape Manzamo)

ไฮไลท์ของผมในวันนี้ เป็นการชมพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมมันซะโม ภาพพื้นที่ลานโล่งกว้างสมกับชื่อ มันซะโม ที่กษัตริย์ริวกิวเคยตั้งไว้ คำแปลที่ว่าทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่นั่งได้หลายคนในสายตาผมตอนนี้ไม่เรียกว่าหลายคน น่าจะเรียกว่าหลายพันคนถึงจะถูก และถ้าถอยออกไปในมุมที่ไกลคุณจะเห็นตัวแหลมที่ยื่นออกมามีรูปร่างลักษณะคล้ายกับงวงช้าง หันหน้าไปทางทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะโอกินาว่าเป็นผาสูงชันกว่า 30 เมตรตัดกับผืนน้ำทะเลสีฟ้าใส ส่วนเบื้องล่างเป็นแหล่งปะการังที่เป็นที่นิยมของเหล่านักดำน้ำในช่วงหน้าร้อน นอกจากในวันที่ท้องฟ้าสดใสจะสามารถมองเห็นความสวยงามของเกาะทางตอนเหนือ และเกาะที่อยู่นอกชายฝั่งได้อย่างชัดเจน บรรยากาศสุดพิเศษแบบนี้

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะเห็นชาวญี่ปุ่นนิยมที่จะมาปิคนิคหรือพักผ่อนบริเวณผาแห่งนี้ และในยามพระอาทิตย์ตกที่นี่จึงจัดได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดอีกแห่งของโอกินาว่าเป็นความมหัศจรรย์ที่สวยงามของธรรมชาติที่ก่อประโยชน์แก่มนุษย์ตัวเล็กอย่างเราเป็นอย่างยิ่ง

เช้าวันใหม่ ผมเดินเซไปเซมาตามแนวหาดเซโซโกะ(Sesoko Beach) ไม่ใช่ว่าผมมีอาการเมาค้างจากเบียร์ขึ้นชื่อของโอกินาว่า ชื่อ Orion Beer (เบียร์ที่ผลิตในโอกินาว่าที่เดียวเท่านั้น) หรอก เพียงแต่รู้สึกมึนงงกับภาพความสวยงามตรงหน้าต่างหาก ชายหาดแห่งนี้เหมาะ
อย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการดำน้ำ เพราะใต้ผืนน้ำทะเลสีฟ้าอมเขียวแห่งนี้ เต็มไปด้วยปะการังกว่าร้อยชนิด ปลาพันธุ์ต่างๆ อีกหลากหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีกีฬาทางน้ำอีกมากมายให้เล่นสนุกสนานกัน ที่สำคัญทะเลแถบนี้ได้ชื่อว่า สามารถพบฉลามวาฬได้อย่างง่ายดาย สังเกตจะมีทัวร์ไปดูฉลามวาฬกันหลายบริษัทเหมือนกัน

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิ (Okinawa Churaumi Aquarium)

สำหรับใครที่อยากดูฉลามวาฬแบบง่ายๆ และได้เห็นชัวร์ๆผมจึงตัดสินใจเลือกที่จะไป พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิ (Okinawa Churaumi Aquarium) ว่ากันว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002ตั้งอยู่ใน Ocean Expo Park ที่เคยจัดแสดงงานนานาชาติเอ็กซ์โปในปี ค.ศ. 1975 สำหรับผมอยากบอกว่าเยี่ยมที่สุด
เข้าไปด้วย โดยเฉพาะบริเวณแท็งก์น้ำคุโรชิโอะ (Kuroshio Tank) ซึ่งเป็น 1 ในแท็งก์น้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก สูง 8.2 เมตร กว้าง 22.5 เมตร หนา 60 เซ็นติเมตร จุดนี้เองที่คุณจะเห็น
ฉลามวาฬตัวโตมโหฬารแบบเต็มตาจนต้องยืนนิ่งไปคู่หนึ่งกว่าจะกดชัตเตอร์ได้ ยิ่งเวลาที่ฉลามวาฬตัวใหญ่ๆว่ายมาพร้อมกันแล้วล่ะก็ อยากจะร้องว้าวๆๆ ถี่ๆ เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีปลาอีกหลายสายพันธุ์ อย่างเช่น ปลากระเบนก็สวยงามไม่แพ้กัน

อาคารพิพิธภัณฑ์เองมีทั้งหมด 3 ชั้น ความพิเศษคือทางเข้าจะอยู่ชั้นบนที่ชั้น 3 และทางออกอยู่ที่ชั้น 1 นอกจากแท็งก์น้ำคุโรชิโอะ แล้วยังมีโชว์การแสดงปลาโลมาน้อยที่แสนจะน่ารัก มีการจัดโซนปลาประเภทต่างๆ อย่างปลาเขตร้อน ปลาเล็กสีสวย ปลาไหล อีกทั้งยังมีศูนย์วิจัยปลาฉลาม มีปลาฉลามขนาดย่อมที่มีการจำลองแบ่งเป็นส่วนๆ ให้เห็นถึงอวัยวะภายใน ถือได้ว่าได้ความสนุก ตื่นตาตื่นใจและได้ความรู้กลับไปอีกด้วย เป็นสถานที่ที่ผมอยากแนะนำให้แวะมาให้จงได้

ปิดท้ายทริปแสนสั้น แต่แสนสนุก และสุดคุ้มของผมที่ถนนโคคุไซโดริ (Kokusai dori Street) ถนนแห่งย่านของฝากของที่ระลึก แม้ว่าโอกินาว่าจะไม่ได้หวือหวา คึกคักแบบเมืองใหญ่แต่ที่นี่ก็มีของฝากของที่ระลึกที่ผมรับประกันว่าคนรับต้องชอบ ไม่ว่าจะเป็น ทรายโอกินาว่ารูปดาว รูปปั้นชิซะ สิงโตที่เชื่อกันว่าช่วยขับไล่วิญญาณชั่วร้ายเบียร์ สาเก เหล้าดอง อย่าลืมลองกินมะระผัดไข่ด้วย

ที่สำคัญมันม่วงแสนอร่อย หยิบเลือกซื้อเลือกหาได้ตามชอบใจกันเลย แล้วอย่าลืมหารับประทานโอกินาว่าโซบะรสเลิศดั้งเดิมจากโอกินาว่าที่มีความแตกต่างจากโซบะปกติตรงที่รสชาตินํ้าซุปที่เข้มข้นจากกระดูกหมูและเส้นโซบะที่หนึบกว่าปกติ

รับประทานพร้อมกับหมู 3 ชั้นนุ่มๆ อร่อยจนต้องบอกต่อ ว่าครั้งหน้าให้บรรจุโอกินาว่าเป็นปลายทางในทริปครั้งต่อไปนะอย่าลืม Okinawa One More Time โอกินาว่า ต้องมาอีกครั้ง

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0