I Left My Heart in San Francisco

“I left my heart in San Francisco
High on a hill, it calls to me
To be where little cable cars climb halfway to the stars
The morning fog may chill the air, I don’t care”


ผมทิ้งหัวใจไว้ที่ซานฟรานซิสโก
เสียงเรียกผมดังมาจากเนินเขา
ตรงที่มีรถเคเบิลเล็กๆ ใต่สูงขึ้นไปถึงครึ่งทางไปสู่ดวงดาว
หมอกในตอนเช้าอาจทำให้อากาศเย็น ผมไม่ใส่ใจหรอก

ท่อนหนึ่งของเพลง I left my heart in San Francisco (ฉันทิ้งหัวใจไว้ที่ซานฟรานซิสโก) ซึ่งประพันธ์ทำนอง โดย จอร์จ คอรี และเนื้อร้องโดย ดักกลาส ครอสส์ ในปี 1954 และหลังจากที่โทนี เบนเนตต์ (Tony Bennett) บันทึกเสียงเพลงนี้ในปี 1962 เพลงนี้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม

ภาพแรกของซานฟรานซิสโกในความคิดของหลายคนคงเป็นเหมือนกับในเพลง ภาพของสะพานโกลเดนเกต (Golden Gate) ที่ตั้งตระหง่านภูเขา ผืนน้ำเป็นฉากหลัง รถเคเบิลคาร์ความเป็นเมืองที่สมจริง มีชีวิตชีวา ว่ากันว่าซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่แม้คุณอยู่กับผู้คนมากมาย แต่คุณโดดเด่นเสมอ เป็นเมืองที่ใครๆ ก็ต้องมาทิ้งหัวใจไว้

สะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge)

สะพานโกลเดนเกต เป็นสะพานแขวนประกอบด้วยหอคอยเหล็กสองข้าง ข้างละ 230 เมตร โดยใช้ลวดเคเบิลสลิง เป็นตัวดึงน้ำหนักสะพาน ตอนกลางสะพานยาว 1,280 เมตร กว้าง 27 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 67 เมตร ทอดข้ามอ่าวทางตอนเหนือของเมืองท่าซานฟรานซิสโกสู่เมืองมารินเคาน์ตี้ (Marin County) รัฐแคลิฟอร์เนีย แม้ในตอนแรกจะมีผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าไม่มีใครสามารถสร้างสะพานที่ต้องต้านกระแสลมและกระแสน้ำที่แรงของบริเวณปากอ่าวซานฟรานซิสโกและมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้ แต่ในที่สุดโจเซฟแบร์มันน์ สเตราส์ (Joseph Baermann Strauss) วิศวกรผู้ออกแบบสะพาน ใช้เวลาสร้างกว่า 4 ปี กว่าจะสำเร็จและเรมิ่ใช้งานมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 ทางขึ้นสะพาน จะมีจุดบอกเล่าความเป็นมาของสะพานแห่งนี้ให้เราได้ศึกษา

สำหรับคำถามที่ว่าไปช่วงเวลาไหนดีนั้นส่วนตัวคิดว่าไปช่วงเช้าหรือช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ก็กำลังดีเพราะสีส้มแดงของสะพานเข้ากันได้กับธรรมชาติและแสงช่วงเวลาดังกล่าว อีกอย่างแดดไม่แรงมากนัก เราสามารถเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งตรงข้ามได้ ซึ่งจะทำให้คุณได้เห็นที่นี่หลายๆ มุมทั้งตัวเมืองซานฟรานซิสโก หรือเกาะอัลคาทราซ (Alcatraz) ที่อยู่ไม่ไกลเลย ถ้าหมอกไม่ลงจัดมากนัก คุณได้เห็นสะพานสวยๆ แน่ แนะนำให้ใส่เสื้อแขนยาวกันหนาวกันลมสักนิด ที่นี่ลมแรงมาก

ฟิชเชอร์แมน วอร์ฟ และท่าเรือ 39 (Fisherman’s Wharf and Pier 39)

เวลามีใครถามผมว่าฟิชเชอร์แมน วอร์ฟ และท่าเรือ 39 คือที่ไหนคำตอบง่ายๆ คือ ตลาดอาหารทะเลที่ที่มีฝูงสิงโตทะเลนอนอาบแดดเป็นจำนวนมากฟิชเชอร์แมน วอร์ฟ เป็นท่าเรือเก่าแก่ของซานฟรานซิสโกที่ใช้ในการขนส่งปลาและอาหารทะเลมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันนี้ก็กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต จากที่นี่สามารถขึ้นรถบัส 2 ชั้น หรือ ซิตี้ บัส (City Bus) เพื่อชมเมือง หรือจะนั่งเรือเพื่อไปชมสะพานโกลเดนเกต จากทางด้านล่างแบบมุมของ Ant Eyes View ก็ได้ เรือจะขับผ่านคุกอัลคาทราซฟิชเชอร์แมน วอร์ฟ เปรียบเสมือนครัวอาหารทะเลดีๆ ที่ส่งตรงมาให้เราได้ลิ้มลองเพราะใกล้ๆ กันคือ Pier 39 หรือ ท่าเรือเลขที่ 39 เต็มไปด้วยร้านค้า สวนสนุกขนาดย่อมและร้านอาหารหลากหลายสไตล์

ไม่ว่าจะเป็นร้านที่หรู บรรยากาศดี ราคาสะเทือนกระเป๋าหรือร้านเล็กๆ พอได้นั่งชมบรรยากาศ ตลอดจนร้านที่สามารถซื้อกลับไปกินที่บ้านได้ เราสามารถหาล็อบสเตอร์ตัวโตๆ ปู Dungeness Crab ของขึ้นชื่อของที่นี่ หรือจะเป็นซุปหอยลายเสิร์ฟมาคู่กับขนมปังตามแบบฉบับซานฟรานได้จากที่นี่

นอกจากนั้นที่นี่ Pier 39 ยังเป็นที่อยู่และที่อาบแดดของเหล่าสิงโตทะเลสัญลักษณ์ขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย บรรดาสิงโตทะเลมาอาศัยท่าเรือนี้เป็นบ้านตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว SanFrancisco Loma Prieta เพียงไม่นาน จำนวนสิงโตทะเลมีมากน้อยในแต่ละปีไม่เท่ากันช่วงฤดูร้อนก็จะน้อยหน่อย เพราะอพยพไปทางใต้เพื่อผสมพันธุ์และออกลูก โชคดีคุณอาจพบสิงโตทะเลนอนเกาพุงตากแดด เป็นร้อยตัวหรือพันตัวก็ได้

ท่าเรือ 39 อย่ติด กับ Fisherman’s Wharfทางด้านเหนือของ Embarcadero สามารถไปถึงได้ด้วยการเดินเท้าหรือโดยสารเคเบิลคาร์ ให้บริการไปและกลับจาก Embarcadero และไปยังดาวน์ทาวน์ด้วย

เกาะอัลคาทราซ (Alcatraz Island)

จากสะพานโกลเดนเกต เราสามารถมองเห็นเกาะอัลคาทราซ ซึ่งตั้งอยู่ในอ่าวซานฟรานซิสโกที่เคยเป็นที่คุมขังนักโทษอเมริกันในอดีตได้ และจากฟิชเชอร์แมน วอร์ฟ เราสามารถล่องเรือชมอ่าว พร้อมเกาะได้

เกาะอัลคาทราซ บางครั้งเรียกว่า อัลคาทราซหรือ เดอะร็อกแห่งนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ตั้งประภาคาร ป้อมปราการของกองทัพ และยังเป็นคุกที่เคยใช้ขังอาชญากรชื่อดังมากมายมีการควบคุมอย่างหนาแน่นประกอบกับทำเลที่ตั้งกลางอ่าวที่มีคลื่นลมแรง น้ำไหลเชี่ยวและเย็นจัด ยากต่อการหลบหนี จึงได้ชื่อว่าเป็นคุกที่ระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมแห่งแรกของโลก

จนถึงปี 1963 ก็ยกเลิกและเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่บอกเล่าประวัติความเป็นมา และมีการจัดแสดงความเป็นอยู่ในสมัยนั้น ใครเคยได้ชมภาพยนตร์เรื่อง The Rock : เดอะ ร็อก ยึดนรกป้อมมหากาฬ ช่วงปี 1996 คงมองภาพออก

บ้านเก่าแก่สไตล์วิกตอเรียน (Seven Sisters / The Painted Ladies)

บ้านไม้เก่าแก่สไตลวิกตอเรียน (Victorian) มีชื่อเรียกน่ารักๆ ว่า Seven Sisters หรือบ้างก็เรียกกันว่า Painted Ladies เป็นบ้านไม้ 7 หลังเรียงรายมีสีสันต่างกันไป หลายคนอาจคุ้นตาจากภาพยนตร์เรื่อง Mrs. Doubtfire บ้านแต่ละหลังทาสีเป็นสีพาสเทลหวานแหววสมกับเป็นชื่อบ้านสาวทั้งเจ็ด เป็นสถานที่ที่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองซานฟรานซิสโก

เดิมทีบ้านสไตลวิกตอเรียนเช่นนี้มีอยู่มากกว่า 10,000 หลังแต่ด้วยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 รวมไปถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ที่ทำให้กลุ่มบ้านแบบนี้ถูกทำลายลงเป็นจำนวนมากเหลืออยู่เพียงไม่กี่ 1,000 หลัง และโดยมากจะหันหน้าเข้าหาสวนสาธารณะ อย่างที่นี่ก็เช่นกันตรงข้ามบ้านทั้งเจ็ด

มีสวนสาธารณะ Alamo Square มีทุ่งหญ้าและสนามเด็กเล่น ให้ผู้คนชวนกันออกมาพักผ่อนนอนอาบแดด หรือชื่นชมวิวทิวทัศน์ของเมืองในวันอากาศดีๆบ้านบางหลังเปิดเป็นที่พักพร้อมอาหารเช้าให้นักเดินทางได้สัมผัสบรรยากาศแบบซานฟรานกันอย่างเต็มที่

ถนนลอมบาร์ด (Lombard Street)

ถนนสูงชันและคดเคี้ยวที่สุดในโลกแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1922 เนื่องจากเมืองมีภูมิประเทศลักษณะเป็นเขา ทำให้บ้านเมืองที่เห็นสร้างอยู่บนเนินเป็นชั้นๆ มีความสูงชัน ทำให้มีการสร้างถนนที่มีเส้นทางลาดชัน เป็นเหมือนตัว S แบบหักศอกในแนวดิ่ง ที่มีความเอียงถึง 40 องศาถึง 8 โค้ง พื้นปูด้วยอิฐแดงมีความยาวทั้งสิ้น 400 เมตร

รถทุกคันถูกจำกัดความเร็วที่ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น และเป็นวันเวย์ขับลงได้อย่างเดียว และกฎเหล็กในการขับรถผ่านเส้นทางนี้คือ ห้ามชะงัก ห้ามจอดหรือหยุดรถระหว่างกำลังวิ่งอยู่บนเส้นทางนี้ เพราะมันจะนำพามาซึ่งอุบัติเหตุนั่นเอง

นอกจากถนนเส้นนี้จะมีความตื่นเต้นแบบลุ้นระทึกแล้วยังมีความสวยงาม เพราะมีพุ่มไม้ประดับประดาอยู่ตลอดทางที่รถขับแนะนำให้มาฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการมาที่นี่ เพราะว่าต้นไม้ต่างแข่งกันออกดอกแย่งกันโชว์ความงามไปตามถนนที่แสนจะคดเคี้ยว

รถรางและแคลิฟอร์เนีย สตรีต(California Street)

หนึ่งในกิจกรรมที่คุณมาซานฟรานซิสโกแล้วต้องลองสักครั้ง คือการนั่งรถรางหรือเคเบิลคาร์ เที่ยวชมเมืองซานฟรานซิสโกไปช้าๆ รถสุดคลาสสิกของเมืองนี้ เป็นรถที่ถูกควบคุมด้วยมือแห่งสุดท้ายของโลก และเหลือใช้งานเพียง 3 สายเท่านั้น คือสาย Powell-Hyde Line, Powell-Mason Line และ California Line สำหรับแคลิฟอร์เนีย สตรีต

ถือได้ว่าเป็นถนนที่ถือว่ามีความสวยงามแปลกตาและยาวที่สุดแห่งหนึ่งของซานฟรานซิสโก กินพื้นที่ในเมืองนี้ถึง 54 บล็อก มีความยาว 8.4 กิโลเมตรเป็นย่านเศรษฐกิจที่สองข้างทางประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้า ร้านค้าแบรนด์ดังรวมทั้งแหล่งช้อปปิ้งอย่าง Union Square ก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เนื่องจากถนนมีความต่างระดับ สูงชันไปตามเนิน ถ้าอยู่ด้านบนของถนนทางฝั่ง Nob Hill แล้วมองมายังฝั่ง Financial District กจ็ ะเหน็ ถนนสายนี้มีความสูงชัน และยังมองเห็นวิวของ Bay Bridge ได้ไกลๆ อีกด้วย เป็นจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปถนนที่ลาดชันกับรถราง

สวนสาธารณะโกลเดนเกต(Golden Gate Park)

สวนสวยใจกลางเมืองนี้เองที่คนในพื้นที่มาใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 4.8 x 0.8 กิโลเมตรเลยทีเดียว ใหญ่กว่าเซ็นทรัลพาร์ก (Central Park) ที่นิวยอร์กใครที่อยากจะหลบหนีความวุ่นวาย และพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ แนะนำเลย

ในสวนมีหลายโซนที่น่าสนใจอย่าง Music Concourse เป็นลานกลางแจ้ง ภายในสวนมีอาคารรูปวงรีคือพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์ M. H. de Young และสถาบันวิทยาศาสตร์แคลิฟอร์เนียหรืออย่างเช่น Japanese Tea Garden ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ คุณจะสามารถชมซากุระและดอกไม้สวยๆ ราวกับอยู่ในสวนที่ญี่ปุ่นเลยทีเดียว

จุดชมวิวทวินพีกส์ (Twin Peaks)

ปิดท้ายความโรแมนติกซานฟรานซิสโกกันที่วิวมุมสูงบริเวณจุดชมวิวทวินพีกส์ (Twin Peaks) ทวินที่แปลว่า สอง จุดชมวิวบนยอดเขาที่ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองซานฟรานซิสโกบนยอดเขาแฝดเหนือและใต้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ยูเรก้า” และ “โนเอะ” ตามลำดับ อยู่ห่างกันประมาณ 660 ฟุต (200 ม.) มองออกไปจะเห็นวิวเมืองซานฟรานฯ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เหมาะแก่การมาชมพระอาทิตย์ตกดิน และชมดาวยามค่ำคืน

นอกจากนี้ซานฟรานซิสโกยังมีแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์ดังจากทั่วโลกอย่างห้าง Marshalls, ห้าง Macy’s และชุมชนชาวจีนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ แม้ว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราอาจจะได้ยินเรื่องราวที่ไม่ดีของซานฟรานซิสโกมากมาย แต่เชื่อว่าหลายคนคงอยากเดินทางมาที่นี่สักครั้ง ถ้าจะแนะนำอยากให้เลือกที่พักที่ปลอดภัยหน่อย หลีกเลี่ยงโซน Oakland เพราะโซนนั้นมีคนผิวสีเยอะ ให้พักในตัวเมืองซานฟรานเลยแต่อย่าพักย่าน Tenderloin ช่วงเดือนที่เหมาะคือ พฤษภาคม-มิถุนายน อากาศกำลังดี มีแดดแต่ก็ไม่ร้อนมาก เดินท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0