Easy Tokyo ช้อป ชิม แชะ
Story & Photo by กษิปก์ศักดิ์ ศุกรเสพย์
โตเกียวจุดหมายของนักเดินทาง ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวได้ทุกวัย ความทันสมัยสำหรับคนที่ชอบค้นหาอาหารและขนมอร่อยๆ สำหรับนักชิม ธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรมอันสวยงาม แม้ว่าการเดินทางไปญี่ปุ่นจะง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าจะให้การเดินทางของคุณง่ายยิ่งขึ้นไปอีก แนะนำให้ไปกับบริษัททัวร์ที่ไว้ใจได้
Day 1
การเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการของ บริษัท Go Easy Holiday ที่ดูแลเราเหมือนญาติมิตรทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความง่ายดายด้วยการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ของ Go Easy Holiday เตรียมเอกสารเราตั้งแต่เช็กอินและดูแลเราอย่างดีตลอดการเดินทาง
Day 2
เช้าวันใหม่หลังจากผ่านเข้าเมืองมาก็รวมตัวกันไปขึ้นรถโคชที่กว้างขวางนั่งสบาย แอร์เย็นฉ่ำ เวลาเที่ยงวันเราก็ตรงไปเติมพลังกันที่ร้านปิ้งย่าง
ที่เตรียมเนื้อสไลซ์พอคำ นำมาย่างบนเปลวไฟ พอให้สะดุ้งไฟทั้งสองด้านแล้วจิ้มซอสเนื้อย่าง เพียงเข้าปากรสชาติเนื้อนุ่มละมุนผสมกับซอสที่มีรสเค็มนิดๆ
หากไม่กินเนื้อก็มีเนื้อหมูไว้บริการ กินกันเต็มที่พร้อมผักและผลไม้สดๆ คู่กัน หลังจากอิ่มท้อง ก็เอาใจขาช้อปด้วยการแวะ ชิซุย พรีเมียม เอาต์เลต (Shisui Premium Outlets)
ที่มีสินค้าแบรนด์ดังกว่า 180 ร้านนำสินค้ามาให้เลือกซื้อหลากหลายแบบที่สำคัญราคาไม่แรง ใช้เวลาไม่นานก็ได้ของมาคนละชิ้นสองชิ้น
หลังจากนั้นนั่งรถตรงเข้าสู่โตเกียววิวสองข้างทางค่อยๆ เปลี่ยนจากทุ่งนาเป็นบ้านเรือนจนกลายเป็นตึกใหญ่โตในเมืองหลวง แล้วเราก็ลงทางด่วนมายังย่านอาซากุสะ เพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่ประดิษฐานที่วัดเซนโจจิ (Sensoji Temple) ที่สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 628
ผู้คนมากมายผลัดกันมาถ่ายภาพโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่หนักกว่า 700 กิโลกรัม ตั้งอยู่กลางซุ้มประตูคะมินะริ (Kaminari Gate) ที่สร้างมากว่า 1,000 ปี เป็นที่ระลึก
เด็กสาวแต่งชุดกิโมโนหลากสีหลายลวดลายเดินไปมามีคนไปขอถ่ายรูปคู่ด้วยอยู่เนืองๆ เมื่อก่อนชาวประมง นิยมมาสักการะก่อนออกไปหาปลากลางทะเล วันหนึ่งชาวประมงได้ทอดแหแล้วได้เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมทองคำ จึงได้นำมาประดิษฐาน ณ ที่ศาลาหลักของวัดนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตลอดถนนนาคามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ทางเดินเข้าด้านหน้าเป็นร้านขายของที่ระลึกกว่า 50 ร้านมีทั้งพวงกุญแจ แมวกวักสารพัดแบบ ดาบซามุไร
เดินลัดถนนทางออกด้านข้างมุ่งไปยังริมแม่น้ำซูมิดะ (Sumida River) เพื่อถ่ายภาพ สกายทรีทาวเวอร์ ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไว้เป็นที่ระลึก
หากมีเวลาลองนั่งรถลากที่จะพาท่านลัดเลาะไปยังมุมต่างๆ ของย่านนี้ ผ่อนคลายกับออนเซนกลางธรรมชาติ คลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางได้อย่างดี หลังจากพักยืดเส้นยืดสายในห้องพักที่กว้างขวาง ก็ลงมากินข้าวเย็นซึ่งมีจานเด็ดอย่างขาปูยักษ์ให้กินไม่อั้น เนื้ออบ และปลารอเราอยู่
เริ่มด้วยแกะขาปูยักษ์เนื้อแน่นด้วยทริกง่ายๆ โดยการบิดเปลือกส่วนก่อนถึงข้อพับให้หักออกแล้วดึงเนื้อออกมาได้เลย เป็นชิ้นสวยงาม จิ้มซอสโชยุแตะวาซาบินิดหน่อยอร่อยกันเต็มคำ
หลังจากอิ่มแล้วก็เปลี่ยนชุดยูกาตะ ที่โรงแรมเตรียมไว้ ใส่ลงไปแช่ออนเซนให้สดชื่น คลายปวดเมื่อยจากน้ำแร่ที่สูบขึ้นมาจากใต้ดินอุดมด้วยแร่ธาตุบำรุงผิวพรรณ
Day 3
แสงแดดลอดช่องไม้ใหญ่ปลูกรายรอบโรงแรมพร้อมชมดอกไฮเดรนเยียสีขาวบานสะพรั่งผ่านกระจกบานใหญ่ในตอนเช้า แล้วก็เตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวฟูจิซัง ในช่วงเดือนสิงหาคมเป็นหน้าร้อนของญี่ปุ่น บางวันอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส แต่หากขึ้นไปบนภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 ที่มีความสูงถึง 2,305 เมตร อุณหภูมิจะลดลงเหลือเพียง 20 องศาเซลเซียส เป็นจุดเตรียมตัวของนักปีนเขาทั้งหลาย ที่จะเริ่มเดินเท้าพิชิตภูเขาฟูจิที่มีความสูง 3,776 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลซึ่งในหนึ่งปีจะเปิดให้เดินขึ้นไปไม่กี่เดือน โดยจะเริ่มเดินในตอนเย็นแวะพักกลางทางเพื่อให้ทันรับแสงแรกแห่งวันบนยอดเขาฟูจิ
นักท่องเที่ยวไม่น้อยนิยมมาขอพรที่ ศาลเจ้าโคมิตาเคะ (Komitake Jinja) เปรียบดั่งสวนของท่านเทนกุ ที่คอยปกป้องภัยต่างๆ ท่ามกลางทางขึ้นเขาป่าไม้อันเขียวชอุ่มบนเส้นทางซูบารุ (Subaru Line)
ช่วงหนึ่งเป็นถนนเสียงดนตรี เมื่อล้อรถบดกับพื้นยางจนเป็นเสียงดนตรีเพลงซูบารุ บรรเลงให้เราได้ยินกันช่วงสั้นๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีร้านขายอาหารและของที่ระลึกรูปภูเขาฟูจิหลากหลายแบบที่สามารถดึงเงินออกจากกระเป๋าไม่ยากเย็น
น้ำที่ละลายลงมาจากภูเขาไฟฟูจิ ค่อยๆ เติมเต็มทะเลสาบทั้ง 5 แห่งรอบภูเขา แต่ที่หมู่บ้านโอชิโนะ ฮักไก (Oshino Hakkai Village) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่บริเวณตีนเขา ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางธรรมชาติในปีค.ศ. 1934
บ่อน้ำทั้งแปด เกิดจากลาวาที่ปะทุขึ้นมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน เมื่อเวลาผ่านไปมีน้ำผุดออกมาจากชั้นหินใต้ดิน
มีความใสสะอาดบริสุทธิ์สามารถดื่มได้ทันที เดินชมปลาตัวเขื่องว่ายในบ่อน้ำใส
แล้วชิมผลไม้และปลาเผา โมจิ สีเขียวทำจากหญ้าสมุนไพร เรียกว่า ยากิคุซะโมจิ
ย่างบนไฟให้แป้งเหนียวหนุบ ด้านในยัดไส้ด้วยถั่วแดงบดหวานน้อยเข้ากันดี จิบน้ำแร่ที่รองใหม่เย็นชื่นใจ
ปิดท้ายด้วยการจิบชาแบบดั้งเดิมชมวิวภูเขาไฟฟูจิเบื้องหน้า
อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ สอนให้เราชงชาแบบดั้งเดิมอย่างชัดแจ้ง หาซื้อของฝากอย่างครีมล้างหน้าภูเขาไฟที่หาซื้อได้ที่นี่ที่เดียว
นั่งรถมาประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงย่านชินจุกุ (Shinjuku) ย่านนี้เต็มไปด้วยอาคารสูงและอาคารทรงทันสมัย
เป็นศูนย์กลางแหล่งบันเทิงและร้านค้าต่างๆ และยังเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการกรุงโตเกียว ที่ชั้นบนเปิดให้ได้ชมโตเกียวในมุมสูง
ผู้คนหลั่งไหลมาซื้อสินค้าหลากหลายแบรนด์ อย่างบิ๊กโคล่ (Bicqlo) ที่รวมร้านเสื้อผ้าชั้นนำอย่าง UNIQLO มาผสมกับร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง BIG CAMERA เป็นแบรนด์ใหม่ หรือจะเป็นรองเท้า ONITSUKA TIGER รุ่นใหม่ๆ ก็มีมาให้เลือกมากมาย
แต่ถ้าเป็นแฟนๆ สนีกเกอร์ก็ต้องมาที่ร้าน ATMOS ร้านรองเท้าที่มีรุ่นพิเศษให้แฟนๆ ได้เลือกเฟ้น
Day 4
หากจะอัปเดตเทรนด์แฟชั่นของโตเกียวก็เลยไปยังฮาราจุกุ และชินจุกุ เพียงแค่ช่วงสถานีเดียวก็สามารถอัปเดตเทรนด์แฟชั่นของสินค้าแบรนด์เนมที่มาเปิดตัวกันอย่างครบครัน ล้วนหาได้ที่นี่ ที่สำคัญเป็นรุ่นลิมิเต็ด
ต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง เดินมาอีกนิดถนนสายแมวที่เป็นทางลัดเชื่อมไปยังย่านชินจุกุ ก็มีร้านขายเสื้อผ้าของนักออกแบบชาวญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองอย่างชัดเจน มาถึง 5 แยกย่านชินจุกุ ที่ผู้คนหลั่งไหลมารวมตัวกันเดินข้ามถนนกันให้ขวักไขว่จำนวนเป็นพันๆ คน ผู้คนที่แน่นขนัดอาจทำให้พลัดหลงกัน แต่ก็ไม่ต้องกลัว เพราะมีจุดนัดพบอย่างอนุสาวรีย์ของหมาฮาจิ ที่หาได้ไม่ยากใครๆ ก็รู้จัก เป็นจุดนัดพบ
ชาวญี่ปุ่นรู้จักหมาฮาจิเป็นอย่างดี ในความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ มันจะมารอรับเจ้าของที่สถานีชินจุกุทุกวันเวลา 4 โมงเย็น เพื่อกลับบ้านด้วยกัน แต่วันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุถึงชีวิตกับเจ้าของและไม่ได้กลับมา เจ้าหมาฮาจิก็มานั่งคอยไม่ไปไหน และมาทุกวันเวลาเดิมเพื่อรอวันที่เจ้าของจะกลับมา จนเป็นข่าวดังที่คนแห่แหนกันมาดูฮาจิ จนวันที่มันสิ้นใจ ชาวญี่ปุ่นจึงได้สร้างอนุสาวรีย์และนำตู้รถไฟที่เจ้าของมันใช้ไปทำงานทุกวัน มาตั้งคู่กันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ระลึกถึง
เดินย่านหรูหรากันมาเยอะแล้วบางคนอาจไม่อิน ลองมาเดินย่านอูเอโนะ ที่ตลาดอาเมโยโกะ สารพัดสินค้าแบบบ้านๆ มีให้เลือกมากมาย
ตั้งแต่ผลไม้สดๆ เครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้ใคร
เราเดินวนใต้ทางรถไฟ เลี้ยวไปมาก็ครบรอบตลาดได้ของฝากคนที่บ้านมาเต็มสองมือ
หากมาถึงโตเกียวแล้วไม่ควรพลาดไปเยือนตลาดปลาซึคิจิ ที่เปรียบเสมือนครัวของโตเกียว บรรดาร้านอาหารตั้งแต่แผงลอยไปจนถึงภัตตาคารต่างก็มาคัดสรรปลาจากตลาดซึคิจิ เริ่มกันตั้งแต่รุ่งเช้าด้วยการประมูลปลาทูน่าตัวใหญ่ๆ จากบรรดาตัวแทน ที่ยกมือสู้ราคากันอย่างรวดเร็ว รถส่งของคันเล็กทยอยนำของสดมาส่งตามร้านค้ารอบๆ ตลาด จึงรับรองได้ว่าสดใหม่จริงๆ
ไม่ได้มีแค่ปลาสดเท่านั้น ยังมีทั้งร้านเครื่องครัว อาหารตากแห้ง ร้านซูชิที่ใช้ของสดใหม่มาปรุงอาหาร เลือกได้ทั้งมากุโร่ ชูโทโร่ โอโทโร่ ในราคาไม่แพง ไกด์แนะนำให้ลองชิมร้านเนื้อตุ๋นที่จัดว่าเด็ดจนคิวยาว มีเนื้อระดับ A5 เสียบไม้ปิ้งขาย ไข่หวานสีเหลืองทองขึ้นชื่อ หอยนางรมสด หอยเชลล์เผา โมจิ สตรอว์เบอร์รี กินอย่างละนิดละหน่อยเพลินๆ ก็อิ่มท้อง
สำหรับแหล่งเช็กอินที่พลาดไม่ได้อีกที่ก็คือโอไดบะ เกาะที่สร้างจากขยะที่นำมาแปรรูปถมสลับกับชั้นดินจนเป็นเกาะขนาดใหญ่ รวบรวมอาคารสมัยใหม่ไว้มากมายอย่างสถานีโทรทัศน์ฟูจิ พิพิธภัณฑ์การเดินเรือ พิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้ หรือพิพิธภัณฑ์รถโตโยต้า และที่เปิดใหม่อย่างพิพิธภัณฑ์มัลติมีเดีย Team Lab สวยงามดั่งภาพฝัน ความงามของคลองเวนิสที่ VenusFort จำลองบรรยากาศมาได้เหมือนจริง เวลายามเย็น เดินรับลมไปชมสะพานสีรุ้งอย่าง Rainbow Bridge
สำหรับแฟนๆ อะนิเมะก็ตรงไปที่ DiverCity Tokyo Plaza เพื่อชมหุ่นรบกันดั้มยูนิคอร์น RX-O ขนาดเท่าตัวจริง เปิดไฟส่องแสงเด่นเป็นสง่าด้านหน้าอาคาร ให้แฟนๆ ได้มาถ่ายรูปกันคับคั่ง
Day 5
แล้วก็ถึงวันสุดท้ายของการเที่ยวแบบสบายๆ ไปยังจุดหมายกับคนที่รู้จริง ช้อปปิ้งสินค้าหลายหลากที่ถูกใจ ครบครันกับของฝาก อาหารอร่อยๆ ทุกมื้อที่ได้ลิ้มลอง นับเป็นความสุขที่มากันได้แบบอีซี่ อีซี่ ที่มาเท่าไรก็ไม่มีเบื่อ แล้วพบกันใหม่มหานครโตเกียว
240 ซ.เจริญราษฎร์ 7 ประดู่ 1 ถ.เจริญราษฎร์ บางโคล่
บางคอแหลม กรุงเทพมหานคร 10120
Tel. 0 2294 5857 Fax. 0 2294 5865
Email : info@goeasyholiday.com
Line ID : @GOEASYHOLIDAY www.goeasyholiday.com