Casablanca – บ้านสีขาวแห่งโมร็อกโก

ในบรรดาภาพยนตร์ขาวดำสุดคลาสสิกที่โด่งดังลำดับต้นๆ ไม่น้อยหน้า Gone With the Wind เเละ Citizen Kane ก็คงเป็นภาพยนตร์เรื่อง คาซาบลังกา (Casablanca) ที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1942 ด้วยความน่ารัก น่าสนใจในตัวบทจิกกัดเล็กๆระหว่างริค พระเอกของเรื่องกับตัวละครอื่นๆ และเนื้อเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับสถานการณ์โลกขณะนั้นทำให้เรื่องนี้มีชื่อเสียงขึ้นมา

แม้ว่าฉากทั้งหมดจะถ่ายทำที่สตูดิโอวอร์เนอร์ บราเธอร์ส (Warner Brothers Studio) ก็ตามเเต่ โดยรวมก็ให้อารมณ์เหมือนยกไปถ่ายทำกันที่คาซาบลังกา โมร็อกโก เลยทีเดียว และภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้คาซาบลังกาเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวอยากรู้จักและมาสัมผัสเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ไม่ใช่ เมืองหลวงของโมร็อกโกก็ตาม และหนึ่งในนักท่องเที่ยวนั้นก็คือฉันเอง

หลังจากที่มึนๆ กับช่วงเวลาคาบเกี่ยวกลางวัน กลางคืนตามด้วยอาการเจ็ทแล็ค (Jet lag) อีกเล็กน้อย ฉันก็มายืนโต๋เต๋อยู่ที่เมืองท่าเล็กๆ ที่อิทธิพลของหนังทำให้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ แต่เดิมเมืองนี้เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อนทำให้มีกลิ่นอายวิถีชีวิตแบบฝรั่งเศสหลงเหลืออยู่ สังเกตจากร้านกาแฟหรือชาที่มีที่นั่งให้ผ่อนคลายริมถนนอารมณ์เดียวกับที่ฝรั่งเศส ผิดแปลกไปบ้างตรงที่ทุกที่นั่งจะหันหน้าออกถนนกันทุกที่นั่งแม้เป็นโต๊ะสำหรับ 2 คนขึ้นไปก็ตาม เรียกได้ว่าได้เห็นวิว (ถนน) กันครบทุกคนไม่ต้องกลัวเสียเปรียบกัน

โมร็อกโกเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมก็จะเป็นมัสยิดสวย หรือสถานที่เกี่ยวกับกษัตริย์เช่น มัสยิดของพระเจ้าฮัซซันที่ 2 (Hassan II Mosque) จุดหมายหลักของเราในวันนี้ พี่เจ้าของรถแท็กซี่คันใหญ่แบบสำหรับ 6 คนพาพวกเราปาดซ้ายปาดขวา ฉวัดเฉวียนจนทำให้อาการมึนๆ ที่มีขยายตัวขึ้นเป็นอีกเท่าตัว ก่อนจะปล่อยพวกเราลงที่ถนนหน้ามัสยิดของพระเจ้าฮัซซันที่ 2 สถานที่ที่จัดได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คของคาซาบลังกาเลยก็ว่าได้ ใครมาคาซาบลังกาแล้วไม่มาที่นี่ก็กระไรอยู่ ด้วยความยิ่งใหญ่และสวยงามติดอันดับต้นของโลก ทำเลที่ตั้งอยู่ติดหรืออันที่จริงต้องบอกว่าอยู่บนมหาสมุทรแอตแลนติกประกอบกับเสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง ลมทะเลที่พัดเข้ามาปะทะกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่และอลังการของที่นี่จริงๆ

มัสยิดหินอ่อนสีขาวครีม ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสีสันไปตามแสงของพระอาทิตย์ที่สาดส่องมานั้น เป็นผลงานการออกแบบของสถาปนิกชาวฝรั่งเศสนายมิเชล แปงโซ (Michel Pinseau) มัสยิดแห่งนี้สร้างเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกตามความเชื่อในพระคัมภีร์อัลกุรอ่านที่ว่า บัลลังก์ของพระอัลเลาะห์ ถูกสร้างอยู่เหนือน้ำระหว่างทะเลและท้องฟ้า ว่ากันว่าเมื่อดูจากเมืองหรือจากถนนเลียบทะเลจะเห็นมัสยิดตั้งเด่นอยู่บนเส้นกึ่งกลางระหว่างขอบฟ้ากับผืนน้ำกันเลยทีเดียว ที่นี่เริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ตามความตั้งใจเดิมคือให้เสร็จทันวันเฉลิมฉลองพระชนมายุ 60 พรรษาของพระเจ้าฮัซซันที่ 2 ในปี ค.ศ. 1989 แต่กว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ก็ปี ค.ศ. 1993 นั่นแหละ โดยรวมเป็นศิลปะสไตล์โมร็อกโกและมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ผสมผสานเข้าไป ที่เห็นได้ชัดคือหลังคาด้านบนที่สามารถเลื่อนเปิดให้แสงส่องเข้ามาได้ เวลาคนเข้ามาเยอะๆ เฉพาะภายในของที่นี่สามารถจุคนได้ถึง 25,000 คน และส่วนของคอร์ทยาร์ดอีก 80,000 คน หรือเทคโนโลยีเกี่ยวกับเครื่องทำความร้อนที่ทำให้พื้นอุ่น เป็นต้น

จากลานกว้างด้านหน้าฉันเงยหน้าขึ้นมองหอเรียกสวด (Minaret) ของที่นี่จุดเด่นของหอคอยทรงสี่เหลี่ยม ประดับลวดลายด้วยหินสีสันสวยงาม มีความสูงถึง 210 เมตร เวลามองขึ้นไปต้องแหงนคอตั้งบ่ากันเลยทีเดียว พิเศษขึ้นไปอีกด้วยมีแสงเลเซอร์ที่ส่องไปทางทิศที่นครเมกกะตั้งอยู่ สำหรับบริเวณรอบอาคารจะเป็นโถงน้ำพุ สำหรับชำระร่างกายก่อนเข้าประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ ฉันสังเกตเห็นประตูทางเข้าซึ่งเป็นเหล็กผสมไททาเนียมที่มีลายสลักตัวอักษรสวยงามบานใหญ่ ประตูบานนี้เองที่เวลาเปิดก็ใช้ระบบไฟฟ้าในการเลื่อนขึ้นและลง เป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่ผสมผสานอยู่กับการก่อสร้างมัสยิดปกติถ้าชมแค่ด้านนอกจะฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าต้องการชมด้านในต้องจ่ายเงินซื้อตั๋วแล้วจะได้แผ่นพับสติ๊กเกอร์ติดหน้าอกให้รู้ว่าซื้อตั๋วแล้วพร้อมถุงพลาสติกใส่รองเท้าของตัวเองให้หิ้วตามกันเข้าไป

เชื่อว่าทุกคนต้องเดินเข้ามาด้วยท่าทางเลิกลั่กแบบฉัน เพราะอะไรนั่นเหรอ ก็ที่นี่ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก แหงนคอตั้งบ่าชมความสวยงามโดยรอบกันจนปวดคอ ไม่ว่าจะเป็นโคมระย้าที่ระยิบระยับตา ลวดลายสลักวิจิตรสวยงามตามเสาหรือขอบบานหน้าต่างเมื่อเดินลงไปด้านล่างก็เห็นที่อาบน้ำรูปร่างเหมือนดอกไม้ สวยงามตามกันไป เรียกได้ว่าเดินออกมาถึงกับมึนงงกับความงามที่ได้สัมผัส มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อยู่ด้านนอกโดนลมทะเลพัดเข้าใส่นั่นแหละถึงรู้ว่าไม่ได้ฝันไป เย็นจับใจยิ่งนัก

ในบริเวณนี้ยังมีย่านที่เรียกว่า คอร์นิช (Corniche) เป็นถนนเลียบชายทะเลตลอดจนมีการสร้างชายหาด (ปลอม) ขึ้นมาให้ผู้คนได้พักผ่อน มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตลอดจน ที่พักให้เลือกหลายรูปแบบ ชาวเมืองที่นี่ตลอดจนนักท่องเที่ยวมักจะแวะเวียนกันมาเสมอ โดยเฉพาะยิ่งช่วงวันหยุดด้วยแล้วจะเห็นผู้คนมากมายจนแทบจะไม่เห็นตัวชายหาดเลยกันเลยทีเดียว

แม้ว่าคาซาบลังกาจะขึ้นชื่อว่าอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่อากาศที่นี่เย็นสบายกว่าที่คิดไว้มาก หน้าร้อนของเขาประมาณ 25 องศาเซลเซียสเท่านั้น นอกจากมัสยิดของพระเจ้าฮัซซันที่ 2 แล้ว สถานที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นบริเวณโอลด์เมดิน่า (Old Medina) สิ่งที่เห็นเด่นชัดมาแต่ไกลคือหอนาฬิกาที่อยู่บริเวณนี้ ด้านในมีตรอกซอกซอยเยอะแยะเต็มไปหมด เต็มไปด้วยร้านค้า ทั้งสินค้าของฝาก เสื้อผ้า กระเป๋าเครื่องประดับตลอดจนสินค้าพวกพืชผัก ผลไม้ อาหารสด อาหารแห้งให้เลือกช้อปกันไม่หวั่นไม่ไหว แต่ถ้ายังเห็นว่าไม่พอขอแนะนำให้ไปที่ย่าน Quartier Habbous แหล่งช้อปปิ้งของเมืองที่ขึ้นชื่อว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่อยู่ขาดแคลนโดยฝรั่งเศส ประมาณปี ค.ศ. 1930

โดดเด่นไปด้วยการจัดวางเรียงต้นไม้ การออกแบบตกแต่ง และตัวอาคารที่โดยมากเป็นลักษณะโมร็อกโกปนกลิ่นอายฝรั่งเศสนิดๆ มีร้านสินค้าหัตถกรรม เครื่องหนัง เสื้อผ้าและงานแกะสลักที่มีลวดลายเก๋ไก๋สไตล์โมร็อกโกอยู่หลายร้าน ของฝากที่นิยมกันไล่ตั้งแต่พรม เครื่องหนังเครื่องแก้ว งานไม้ เครื่องหนัง โดยของขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ Argan Oil ลักษณะคล้ายกับ Bio Oil เป็นเสมือนน้ำมันสารพัดประโยชน์ทาได้ตั้งแต่ผม หน้า ตัว ไปจนจรดปลายเท้า

ไม่ไกลจากบริเวณนี้จะเป็นอาคารที่สำคัญต่างๆ ของทางราชการ เช่น ศาลาว่าการไปรษณีย์กลาง, ธนาคาร ฯลฯ สร้างรายล้อมรอบจัตุรัสโมฮัมเหม็ดที่ 5 (Place Mohamed V)

นอกจากองสบริเวณนี้แล้ว ยังมีย่านไอน์เดียบ (AinDiab) ที่เป็นย่านตากอากาศริมทะเล ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นบ้านพักของคนที่มีฐานะและมีชื่อเสียง มีชาดหาดสำหรับพักผ่อน ทิวทัศน์ที่สวยงาม สนามกีฬาต่างๆ รวมไปถึงภัตตาคารหรูหราให้บริการ แม้ย่านเมืองเก่า (เมดิน่า) ของคาซาบลังกาจะสวยงาม มีเสน่ห์ไม่เท่าที่เฟซ (Fes) ที่เที่ยวก็ไม่มากเท่าราบัต (Rabat) หรือ มาราเกซ (Marakeh) แต่ด้วยความเรียบร้อย ไม่หวือหวามากนักแบบนี้ที่สร้างความน่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยวหลายคน สำหรับฉันที่นี่ให้ความรู้สึกพิเศษจนต้องฮัมเพลงออกมาเบาๆ

Oh a kiss is still a kiss in Casablanca
But a kiss is not a kiss without your sigh
Please come back to me in Casablanca
I love you more and more each day as time goes by

โอ้ รอยจูบยังคงตราตรึงที่คาซาบลังกา
แต่รอยจูบนั้นคงไม่มีความหมายหากขาดเธอไป
โปรดรีบกลับมาหาผมนะที่คาซาบลังกาอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไปนานวัน ผมยิ่งรักคุณมากขึ้นๆ ทุกที

ราชอาณาจักรโมร็อกโก (Kingdom of Morocco) ตั้งอยู่ทวีปแอฟริกา ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือ และเมืองคาซาบลังกา (Casablanca) ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ทางฝั่งตะวันตกของประเทศโมร็อคโก ใกล้ๆ กับทวีปยุโรป บริเวณประเทศสเปนและโปรตุเกส คนโมร็อกโกโดยมากใช้ภาษาอารบิคและฝรั่งเศสคาซาบลังกา (Casablanca) อยู่ใกล้ชายหาดที่ชื่อ ไอน์เดียบ (AinDiab) ห่างจากกรุงราบัต (Rabat) เมืองหลวงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 97 กิโลเมตร

สายการบินอื่นที่ไปคาซาบลังกา เช่น Egypt Air, ETIHAD, Qatar Airways เป็นต้น
Casa แปลว่า บ้าน และ Blanca แปลว่า สีขาว คาซาบลังกา (Casablanca) แปลว่าบ้านสีขาว
Casablanca กำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ที่ชื่อ “Casablanca Marina” ศูนย์รวมร้านค้า หอประชุมและที่อยู่อาศัย ระดับนานาชาติ

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0