Bonjour Quebec city – ควิเบก กลิ่นอายฝรั่งเศสที่แคนาดา

Every night in my dreams
I see you. I feel you.
That is how I know you go on.
Far across the distance
And spaces between us
You have come to show you go on.
Near, far, wherever you are*

เช้าตรู่วันใหม่ของฉันเริ่มต้นด้วยเสียงเพลง My Heart Will Go On เพลงประกอบภาพยนตร์ Titanic อันโด่งดัง แต่ใช่ว่าเช้านี้ฉันจะฟังเสียงร้องอันไพเราะจับใจของ เซลีน ดิออน (Céline Dion) อยู่บริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกหรอกน่ะ ฉันกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนที่นอนนุ่มๆ ย่านเมืองเก่า เคเบค (Québec) หรือควิเบก ที่พวกเราชอบพูดกัน บ้านเกิดของเซลีน ดิออน ต่างหาก จากนิวยอร์กฉันใช้เวลานั่งเครื่องไม่ถึง 2 ชั่วโมง ฉันจะได้มาสัมผัสบรรยากาศฝรั่งเศสแบบเต็มรูปแบบในพื้นดินอเมริกาเหนือเช่นนี้

สมัยก่อน เคเบคถูกค้นพบโดยชาวฝรั่งเศส และถูกสร้างเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสใหม่ ผู้คนส่วนใหญ่ของที่นี่สืบเชื้อสายมาจากชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาตั้งรกรากเมื่อเกือบ 400 ปีก่อน ต่อมามีปัญหากับทางอังกฤษ ดินแดนนี้จึงถูกโอนไปขึ้นกับอังกฤษ หลังจากอังกฤษประกาศให้เอกราช เคเบคจึงถูกรวมไปกับประเทศแคนาดาไปโดยปริยาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนของที่นี่ส่วนใหญ่ จะใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร รวมทั้งประกาศให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ ในขณะที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของประเทศแคนาดา แม้ฉันจะรู้สึกเหวอเล็กน้อยในคราแรกที่เดินทางมาถึง เมื่อพบว่าป้ายบอกทิศทาง ป้ายตามร้านค้าต่างๆรวมไปถึงการพูดคุยสื่อสารของเจ้าของ Bed & Breakfast ที่พักของฉันนั้นเป็นภาษาฝรั่งเศสล้วนๆ แต่ด้วยกลิ่นอายอันอบอุ่นที่ตลบอบอวลอยู่โดยรอบของเมืองและรอยยิ้มของเจ้าของที่พัก ทำให้อุ่นใจไม่ใช่น้อยหลังจากแสงแดดยามเช้ามาเยือน เผยให้เห็นสีสัน ลวดลายความสวยงามของสถาปัตยกรรมชัดเจนขึ้น

ฉันกระชับเป้ที่หลังให้มั่น แล้วเปิดประตูที่พักพร้อมก้าวสู่เมืองเก่าแห่งนี้ เมืองเคเบค ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ เมืองบน (Upper Town) ที่อยู่ด้านบนของหน้าผา มีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น โบสถ์ คอนแวนต์ และโบราณสถานอื่นๆ และเมืองล่าง (Lower Town) ซึ่งเป็นย่านชุมชนโบราณ เป็นเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์ (St. Laurence River) ต้องเดินลงบันไดหรือใครจะใช้บริการรถเลื่อน Funicularก็ไม่ผิดอย่างไร ราคาต่อเที่ยวประมาณ 2.25 เหรียญแคนาดา (ประมาณ 60 บาท) สำหรับสถานี Funicular ด้านบน จะอยู่หน้า Fairmont Le Château Frontenac อันขึ้นชื่อ

แฟร์มอนท์ เลอ ชาโต ฟรงเทอนัค (Fairmont Le Château Frontenac) เป็นสัญลักษณ์ (Landmark) อันดับหนึ่งของเคเบคก็ว่าได้ อาคารขนาดใหญ่หลังคาสีเขียวสดแห่งนี้ เป็นโรงแรมสไตล์ปราสาท ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1893 ต่อมาในปี ค.ศ. 1981 โรงแรมแห่งนี้ได้ถูกประกาศให้เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติของประเทศแคนาดาด้วยเพราะโรงแรมตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ทำให้มองลงมาเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ (Saint Lawrence River) ซึ่งไหลผ่านรัฐออนแทรีโอและรัฐควิเบก ของประเทศแคนาดา ได้อย่างชัดเจน บริเวณใกล้ๆ กันนั้นก็จะเป็นทางเดินกว้างที่ปูด้วยแผ่นไม้ ยาวตลอดริมหน้าผาที่หันหน้าไปทางแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์บริเวณนี้เป็นจุดพักผ่อนของชาวเมืองและเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตายึดหัวหาดเพื่อถ่ายรูปโรงแรมแฟร์มอนท์ เลอ ชาโต ฟรงเทอนัค ตลอดจนวิถีชีวิตของที่นี่เหมือนเช่นฉัน วิวตรงหน้ามองลงไปที่ริมสายน้ำก็จะเห็นเรือขนสินค้าน้อยใหญ่กำลังขนถ่ายสินค้ากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การปล่อยเวลาให้ไหลไปราวกับสายน้ำ มันช่างผ่านแต่ละวินาทีไปอย่างรวดเร็วแม้จะเหมือนชมสายน้ำได้ยังไม่หน่ำใจ

แต่ฉันก็ผละเดินจากมายัง Place d’Armes ซึ่งเป็นจตุรัสกลางเมือง โดยมีอนุสาวรีย์ของ Paul de Chomedey เป็นจุดศูนย์กลางอาคารที่อยู่ล้อมรอบอนุสาวรีย์นี้ ได้แก่ สำนักใหญ่ธนาคารมอนทรีออล (Bank of Montreal head office), อาคารนิวยอร์กไลฟ์ (New York Life Building), ศาลากลางของเมือง (Citiy Hall)

หรือที่คุณต้องไม่พลาดชมนั่นก็คือ นอร์ทเธอดามเดอเคเบค (Notre-Dame de Québec) โดยเฉพาะตัวโบสถ์ นอร์ทเธอดาม เดสวิคตัวร์ส (Notre-Dame des Victoires Church) ซึ่งเป็นโบสถ์หินที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ

เริ่มก่อสร้างตอนปี ค.ศ. 1687 และแล้วเสร็จใน ปี ค.ศ. 1723 อาจจะด้วยความโบราณของสถานที่ประกอบกับตัวหินสีขาวขุ่นของโบสถ์ทำให้ฉันรู้สึกสำรวมไปโดยปริยาย

ใกล้ๆ กันนั้น เป็นส่วนของมหาวิหารโนเตรอดามเดอควิเบก (Cathedral-Basilica of Notre-Dame de Québec) ที่สำคัญที่นี่ชมฟรี ด้านในมหาวิหารสีเหลืองทองเฉกเช่นวิหารในยุโรปทั่วไป ขณะที่ฉันเดินเข้าไปผู้คนกำลังทำพิธีสวดอยู่ จึงได้แต่เลียบๆ เคียงๆ กันจะเดินจากมา อย่างหนึ่งที่เห็นได้จากที่นี่คือ เดินไปทางไหนก็มีสนามหญ้านั่งพัก นั่งเล่นกันได้ทุกที่ ประกอบกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใสมันช่างตัดกับสนามหญ้า สีเขียวเสียเหลือเกิน บางครั้งก็มียานพาหนะ เช่นรถม้าลากวิ่งผ่านไปมาสลับกับรถสปอร์ตคันหรู เป็นภาพที่แปลกดีไม่น้อย

อย่างที่บอกแต่ต้นว่าที่เคเบคแบ่งเป็นสองส่วนคือ เมืองบน (Upper Town) อยู่ด้านบนของหน้าผา และเมืองล่าง (Lower Town) ซึ่งเป็นย่านชุมชนโบราณ จากริมหน้าผาจะมีทางเดินและรถราง เชื่อมต่อลงสู่อีกส่วนของตัวเมืองด้านล่างซึ่งมีบ้านแบบเก่าแก่ที่ส่วนใหญ่ดัดแปลงเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย

โดยเฉพาะบริเวณ Rue du Petit-Champlain ซึ่งเป็นถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่ตกแต่งอย่างน่ารัก น่าซื้อหาเต็มไปหมดถึงแม้ว่าป้ายร้านค้าต่างๆ จะเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ด้วยรูปที่ประดับก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก

ยกตัวอย่างเช่น ร้าน La lupin ที่ Trip advisor แนะนำ เห็นเป็นรูปกระต่าย ก็เดาคร่าวๆ ว่าเขาขึ้นชื่อเรื่องของเนื้อกระต่าย เป็นต้น ใครสนใจลองชิมกันได้ ว่ากันว่าเนื้อจะคล้ายๆ เนื้อไก่ ไม่คาวอย่างที่คิดกัน สำหรับฉันเห็นแล้วนึกภาพกระต่ายตัวน้อย แล้วไม่สามารถจริงๆ รอบข้าง

นอกจากร้านอาหารก็ยังมีร้านขายที่ระลึกที่จัดโชว์ที่เรียกว่า window display สวยงามเก๋ไก๋ไปแทบทุกร้าน ประกอบกับสีสันของบานหน้าต่างสีฟ้าบ้างสีส้มบ้างหรือสีเหลืองมะนาว ที่ตัดกับอิฐที่ก่อ ดูแล้วสดชื่นดียิ่งพอเห็นภาพครอบครัวที่เดินสนุกสนานไปด้วยกันทำเอาคนเดินทางคนเดียวแบบฉันแอบมองด้วยความอิจฉาปนรอยยิ้มไม่ได้

เช้าตรู่วันที่ต้องโบกมือลาจากเคเบค บ้านเรือนร้านรวงยังปิดเงียบเชียบ แต่มองไปแล้วก็ยังรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความรื่นเริงที่รอให้สดชื่นอีกครั้งเมื่อแสงแดดของวันใหม่ก้าวมา และแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันได้มาสัมผัสที่นี่ งดงาม สงบสุข และน่าประทับใจก็กรุ่นอยู่ในใจ

– ชาวควิเบกซึ่งเรียกตัวเองว่า Québécois (อ่านว่า เกเบกัวส์, ภาษาอังกฤษเรียก Quebecer อ่านว่า เคเบเคอร์)
– ไม่มีเที่ยวบินที่บินตรงจากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางต่อไปโดยนั่งเครื่องต่อที่นิวยอร์ก หรือโตรอนโต
– สำหรับคนที่นิยมซีรีส์เกาหลีคงเคยเห็นเมืองนี้จากซีรีส์เรื่อง Goblin มาบ้าง

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0