Blue Forest & Rock Hand Part 2- Iwate

Rock Hand – Iwate

เช้าวันต่อมา เราเริ่มต้นวันด้วยอากาศที่แจ่มใส และความรู้สึกที่ตื่นเต้นนิดๆ เพราะวันนี้เราอยู่ที่จังหวัดอิวาเตะ (Iwate) และมีนัดหมายไปต้อนรับคบเพลิงโอลิมปิก โตเกียว 2020 ที่เดินทางมาถึงเมืองริคุเซ็นทาคาตะ (Rikuzentakata) จังหวัดอิวาเตะ นั่นเอง

จังหวัดอิวาเตะอยู่ในภูมิภาคโทโฮคุ มีเมืองหลวงคือ เมืองโมริโอกะ (Morioka) คำว่า อิวาเตะ มีที่มาจากหลายทฤษฎี ที่พูดถึงกันมากสุดคือ นิทาน Oni no tegata ที่เกี่ยวข้องกับศาลเจ้าไตรศิลา (Mitsuishi Shrine) ในโมริโอกะ เล่ากันว่าในยุคเทพเจ้าของชนเผ่ายามาโตะมีหินยักษ์สามก้อนถูกโยนลงมาจากสวรรค์โดยเทพเจ้าแห่งภูเขาไฟ หินสามก้อนนั้นได้ตกลงมายังบริเวณศาลเจ้ามิตซึอิชิ (Mitsuishi แปลว่า “หินสามก้อน”) โดยให้เทพศิลาดูแลชาวบ้าน ต่อมาอสูรอาละวาดและเทพศิลาชนะ อสูรร้องขอชีวิต เทพศิลาจึงให้เจ้ายักษ์ประทับลายฝ่ามือลงบนหินเพื่อเป็นหลักฐานสัญญาว่าจะไม่กลับมารบกวนชาวบ้านอีก ซึ่งก้อนหินที่ยักษ์ประทับรอยฝ่ามือไว้เรียกว่า Oni no Tegata (鬼の手形 – รอยมือยักษ์) คำว่าอิวาเตะก็มาจาก Iwa หินก้อนใหญ่ และ Te มือ, ฝ่ามือ

กลับมาที่บรรยากาศของงานกิจกรรม ในวันที่ 17 มิถุนายน 2021 แม้จะผู้คนที่มาต้อนรับจำนวนไม่เยอะมากเนื่องด้วยมีมาตราการการควบคุมโควิด-19 แต่รู้สึกได้ซึ่งความคึกคึกและตื่นเต้นไปกับกิจกรรมโอลิมปิกที่กำลังจะมาถึงในปลายเดือนกรกฎาคมนี้

โดยผู้วิ่งคบเพลิงมีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Mr.Kunihisa Yamura ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Michinoku Coca-cola ของกลุ่มบริษัทโคคาโคล่า หรือน้อง Sayako Murakami เด็กนักเรียน ม.ต้น ของเมืองริคุเซ็นทาคาตะ ตอนเย็นของวันทางตัวเมืองเองก็มีการจัดงานเฉลิมฉลองเป็นที่สนุกสนาน

สำหรับการวิ่งไฟคบเพลิงโอลิมปิก โตเกียว 2020 ครั้งนี้ เริ่มต้นจากจังหวัดฟุกุชิมะเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา และเดินทางไปยัง 47 จังหวัดในญี่ปุ่น รวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ก่อนที่จะเดินทางถึงกรุงโตเกียว เพื่อทำพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก วันที่ 9 กรกฎาคมใช้เวลารวม 121 วัน มีนักวิ่งจากทุกภาคส่วนเข้าร่วม 10,000 คน

ซึ่งทางประเทศญี่ปุ่นยังจัดให้มีกิจกรรมนิทรรศการแสดงคบเพลิงพิเศษ “เปลวไฟแห่งการฟื้นฟู” (Flame of Recovery) เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ อันได้แก่ แผ่นดินไหวและสึนามิ ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2554  ที่จังหวัดซึ่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในครั้งนั้น ได้แก่ จังหวัดมิยางิ, จังหวัดอิวาเตะ และ จังหวัดฟุคุชิมะ 

แม้ว่าจังหวัดอิวาเตะจะเคยเป็นจังหวัดที่ประสบภัยทางธรรมชาติมา แต่ปัจจุบันทางจังหวัดได้มีการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวหลังจากเกิดเหตุการณ์ไปได้ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว อย่างเช่น

ชายหาดโจโดงาฮามะ (Jodogahama)

ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นหน้าเป็นตาของจังหวัดโดยบริเวณนี้จะมีผาหินสีขาวทรงแหลมเรียงรายผสมกับต้นสนและพันธุ์ไม้สีเขียวที่ปกคลุม ตัดกับภาพของสีฟ้าครามของท้องทะเล เป็นภาพความงามที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น 

ชายหาดโจโดงาฮามะหมายถึง “พื้นที่หาดอันบริสุทธิ์” น้ำที่นี่จะนิ่งสงบตลอดปี ชาดหาดเป็นหาดหินไม่ใข่หาดทราย บริเวณชายหาดแห่งนี้จะเปิดให้ลงเล่นน้ำได้ประมาณช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคมเท่านั้น ในช่วงดังกล่าวผู้คนจะเดินทางมาพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้หาดโจโดงาฮามะยังมีเส้นทางสำหรับเดินเล่น และมีบริการล่องเรือชมเกาะแก่งต่างๆ ด้วย

สำหรับราคาล่องเรือชมวิวโจโดงาฮามะ Blue Cave Cruise ซึ่งเป็นเรือขนาดเล็ก ใช้เวลา 20 นาที ราคาสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 1,500 เยน

โดยเรือจะแล่นไปตามเกาะหินที่ตั้งอยู่ตรงข้ามชายหาด และเข้าชมถ้ำสีฟ้า(Aonodokutsu) เป็นถ้ำขนาดเล็กที่มีน้ำทะเลสีฟ้าโคบอลต์ และแวะให้อาหารนกนางนวลด้วยขนมปังนกนางนวลที่บินตามเรือมาอีกด้วย

พิกัด https://goo.gl/maps/JPxWdGW57MULRpMj8

จากล่องเรือ เราเดินทางต่อโดยรถไฟไปยังเมืองคามาอิชิ โดยการเดินทางในครั้งนี้เรายังได้รับฟังฟังการแนะนำเกี่ยวกับการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวหลังเหตุการณ์สึนามิ โดยเจ้าหน้าที่รถไฟของเส้นทางรถไฟเลียบชายฝั่งซันริคุ ระหว่างที่นั่งรถไฟไปในคราเดียวกัน

ขบวนรถไฟนั่งเล่นชมวิว ซะชิกิ คิตะ ซันริคุ  (Kita-Sanriku Zashiki Parlor Train) 

เป็นขบวนรถไฟที่วิ่งเลียบชายฝั่งทะเลในจังหวัดอิวะเตะ เป็นขบวนรถที่วิ่งขนานกับชายฝั่งซันริคุเลียบมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Ocean) จากเดิมมี 2 เส้นทางให้เลือกได้แก่ เส้นทางจาก สถานีคุจิ (Kuji Station) – สถานีมิยะโกะ (Miyako Station) และเส้นทางจาก “สถานีมิยะโกะ – สถานีคุจิ แต่หลังจากซึนามิ ทางเจอาร์ได้ยกเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่าง สถานีคามาอิชิ กับสถานีมิยาโกะ ในวันที่ 23 มีนาคม ปี2019   

จุดเด่นของรถไฟขบวนนี้ก็คือมีรถไปแบบที่นั่งปูเสื่อทาทามิ (Tatami) และโคทัตสึในช่วงหน้าหนาว ให้ผู้โดยสารได้นั่งในสไตล์ญี่ปุ่นและชมวิวสวยๆของชายฝั่งทะเลฝั่งทางภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หันหน้าออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกจากหน้าต่างรถไฟ พร้อมเอร็ดอร่อยกับเมนูอาหารทะเลท้องถิ่นและขนมหวานต่างๆมากมาย แต่ครั้งนี้เรามาหน้าร้อนจึงได้นั่งแบบธรรมดาแทน

พวกเราลงรถไฟที่สถานีคามาอิชิ (Kamaishi) สำหรับเมืองคามาอิชินั้นเป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมการประมงที่สำคัญตามแนวชายฝั่งทะเลซันริคุ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดอิวาเตะ

เราแวะที่นี่เพื่อไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ หรือที่เรียกว่า คามาอิชิไดคันนอน

คามาอิชิไดคันนอน (Kamaishi Dai-kannon)

เป็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่มีความสูง 48.5 เมตร

เป็นพระพุทธรูปอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ที่หายาก ในมือถือปลา ภายในรูปปั้นออกแบบให้สามารถเดินขึ้นไปได้ถึง 12 ชั้น แต่ละชั้นมีรูปปั้นพระพุทธรูป 33 องค์ และเทพแห่งความโชคดี 7 องค์

ตรงบริเวณหน้าอกของรูปปั้นเป็นแท่นจุดชมวิว สามารถมองดูอ่าวคามาอิชิแบบพาโนรามากว้างสุดลูกหูลูกตา

ที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องการขอพรเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางบนท้องทะเลและการสอบผ่าน

ที่นี่การจดทะเบียนเป็นทางการว่า “Lover’s Sanctuary” สัญลักษณ์แห่งความรักที่มีกว่า 140 แห่งทั่วญี่ปุ่นเป็นสถานที่โรแมนติกที่เชื่อกันว่าจะนำโชคลาภมาสู่คู่รักหรือคนโสด

ค่าเข้าชม 500 เยน นักเรียนม.ต้น ม.ปลาย 300 เยน เด็กประถม 100 เยน

เวลาเปิด ปิด เปิดทุกวันตั้งแต่ 09.00-17.00 น (เข้าชมก่อน 16.00 น.)

พิกัด https://goo.gl/maps/rPkKieAUdGUyPAbCA

พวกเราบอกลาวันที่แสนยินดีด้วยวิวมุมสูงขอเมืองที่จุดชมวิวฮาโกเนะยามะ (Hakone yama) ซึ่งมีระดับความสูงอยู่ที่ 475 เมตรอยู่บนยอดภูเขาคิตะคามิ (Kitakami Mountain) โดยรอบจะมียอดเขาเล็กๆ มองเห็นวิวเมืองได้อย่างเต็มตา

ส่งท้ายทริปความงามทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมของอาโอโมริและอิวาเตะกันด้วยไหว้รับบุญ ชมความสวยงามของสวนดอกไม้ และชงชากันที่เมืองฮิระอิซุมิ (Hiraizumi) เมืองนี้ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวหลักจะอยู่ในบริเวณเดียวกัน

วัดโมทสึจิ (Motsuji Temple)

ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 805 ช่วงหลังยุคเฮอันจุดเด่นของวัดอยู่ที่สวนโจโด หรือสวนดินบริสุทธิ์ (Pure Land Garden) ที่เป็นที่นิยมในยุคเฮอัน สร้างตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนาเข้ากันกับอุโบสถหลังใหม่ซึ่งสร้างแทนหลังเดิมที่ถูกเผาไป

ภายในสวนมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง รอบสระประดับด้วยหินและทรายจำลอง มีทางเดินรอบระยะประมาณ 500 เมตร อีกสิ่งที่ทุกคนนึกถึงคือ แผ่นหินที่จารึกด้วยคำกลอน The summer’s grass.Tis all that’s left. Of ancient warriors’dreams ของกวีนักประพันธ์กลองไฮคุชื่อดัง Matsuo Basho วัดนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสงบและซึมซับไปกับธรรมชาติ

พิกัด https://goo.gl/maps/zaW5EVzFh3UEcnwp7

สถานที่ต่อไปไม่ไกลกันนักคือวัดซูชอนจิ

วัดชูซอนจิ (Chosonji Temple)

สิ่งแรกที่หลายคนจะนึกถึงคือ ภาพของต้นซีดาร์ อายุกว่า 300 ปี บริเวณทางเดินของวัดกว่า 800 เมตรที่เรียกกันว่า เนินชมจันทร์หรือทางลาดสึกิมิซากะ

ไฮไลต์สำคัญคือวิหารทองคำคนจิคิโด (Konjikido Garden Hall) ซึ่งอยู่บนเนินเขา

สร้างจากไม้และปกคลุมด้วยใบไม้สีทองทั้งด้านในและด้านนอก

พิกัด https://goo.gl/maps/yfDVxPtQNS9iGMnp9

วัดทัคโคกุ โนะ อิวายะ บิชะมอนโด (Takkoku no Iwaya Temple)

เป็นอีกวัดที่สร้างสถาปัตยกรรมฝั่งอยู่บนหินหน้าผาหินปูนขนาดใหญ่ และใกล้กับตัวอาคารของวัดนั้นยังมีรูปหินแกะสลักเป็นรูป ท้าวเวสวันความสูงประมาณ16.5เมตร กว้าง 9.9เมตรด้วย แต่ปัจจุบันได้แตกหักจากแผ่นดินไหวจนเหลือแค่ส่วนบนเท่านั้น

พิกัด https://goo.gl/maps/C9svbLYXCxU9iAJT9

พวกเราส่งท้ายทริปการเดินทางแห่งนี้ด้วยชาแสนละมุนเป็นการเดินทางที่ผ่อนคลายและได้รับการบำบัดฟื้นฟูของแหล่งท่องเที่ยวของสองจังหวัดนี้อย่างเต็มที่

อ่าน Blue Forest & Rock Hand Part 1- Aomori
Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0