Winter in Hallstatt หน้าหนาวที่ฮัลล์สตัทท์

Story by Editorial Staff

“ออสเตรีย” ประเทศในยุโรปตอนกลาง ดินแดนอันสุดแสนโรแมนติก ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานแต่ก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมอันเก่าแก่ไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมืองคลาสสิกอย่างเมืองซาลซ์บูร์ก (Salzburg) เมืองเล็กๆในอ้อมกอดของภูเขาที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์อันงดงามแห่งนี้คือบ้านเกิดของคีตกวีเอกของโลกวูฟกังก์ อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เมืองน่ารักอย่าง อินส์บรุก (Innsbruck) หรือเมืองสุดแสนโรแมนติกท่ามกลางหุบเขาอย่าง ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt)

ฮัลล์สตัทท์ เรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านริมทะเลสาบและด้านหลังเป็นขุนเขาที่สวยงาม โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้ใครมาเมืองฮัลล์สตัทท์ แนะนำให้ลองพักสักคืนไม่ว่าคุณจะมาฤดูกาลไหน ก็มีความสวยงามต่างกันไป ในช่วงฤดูร้อน อากาศก็เย็นสบายไม่ร้อนจนเกินไป ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็จะไล่เฉดตั้งแต่เขียวเหลือง ส้ม แดง ไปทั่วทั้งภูเขาและหมู่บ้าน ถ้าเป็นฤดูหนาวจะมีหิมะท่วมท้นแบบที่ผมไปมาทะเลสาบด้านหน้าของเมืองคือทะเลสาบฮัลล์สตัทเทอร์ (Hallstatter See) ทะเลสาบในเขตภูมิภาคซาลคัมเมอร์กุท (Salkammerkut) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐอัปเปอร์ ในประเทศออสเตรีย ระยะทางห่างจากกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ประมาณ 288 กิโลเมตร มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 500 กว่าคนเท่านั้น ด้านหน้าเป็นทะเลสาบ ด้านหลังเป็นแนวขุนเขา บ้านเรือนในเมืองนี้ขนาดไม่ใหญ่สไตล์อัลไพน์ (Alpine) ที่มีลักษณะลดหลั่นเป็นชั้นๆ ลงมาตามแนวเขา

ริมทะเลสาบไปเรื่อยๆ และเมืองนี้ยังขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ประเภท Historic Cultural Landscape เมื่อปี 1997 ซึ่งจัดเป็นประเภทของชุมชนที่มีการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนของภูมิประเทศที่สวยงามกับวัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตเกลือตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์อันเก่าแก่กว่า 7,000 ปี เป็นที่มาของวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับกลุ่มชนในพื้นที่ มีภาษาเคลต์เป็นภาษาท้องถิ่นดั้งเดิมของเมืองนี้และในยุคเหล็กของยุโรป เมื่อช่วงประมาณปี 800-450 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็มีการค้นพบหลุมฝังศพ เสื้อผ้า และร่องรอยที่อยู่อาศัย เป็นหลักฐานทางโบราณคดียุคแรกสุดของชาวเคลต์บางชิ้นในหมู่บ้านนี้แห่งนี้ด้วย

การเดินทางไปหมู่บ้านแห่งนี้นั้น สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งรถทัวร์ รถชัตเทิลบัส รถเช่าส่วนตัว หรือรถไฟความเร็วสูง ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมารถทัวร์หรือรถชัตเทิลบัส ราคาอยู่ประมาณ 70 ยูโร / 2 คน เป็นแชร์มินิแวน หรือจะนั่งรถไฟความเร็วสูงของ ÖBB ไปถึงที่สถานี Hallstatt Bahnhof ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองฮัลล์สตัทท์ ค่าเดินทาง 24 ยูโรแล้วเราก็ต้องนั่งเรือข้ามฟากต่อไปยังฝั่งเมืองฮัลล์สตัทท์ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักเดินทางทั่วไป รวมทั้งชาวออสเตรียเองด้วยหรือจากเวียนนาก็มีรถไฟตรงจากสถานี Westbannhof ไปที่ฮัลล์สตัทท์เลย ถ้าใครขับรถไป ค่าจอดรถโดยประมาณคือ 3 ชั่วโมง 300 บาท

ไฮไลต์หลักสำหรับคนที่เดินทางมาที่นี่คือ การถ่ายภาพมุมมหาชนที่มองเห็นวิวมุมสูงของเมืองเรียกจุดชมวิวบนภูเขาเกลือ (Salzberg) เป็นจุดที่สามารถมองเห็นหมู่บ้านจากมุมสูงที่ความสูง 365 เมตร จุดชมวิว Skywalk เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นและชอบวิวพาโนรามาของเทือกเขาแอลป์ และไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่เจอ ผู้คนมากมายเดินทางไปทางเดียวกันแหละ

อีกอย่างเมืองก็ไม่ใหญ่มากมีถนนเล็กๆสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านของที่ระลึก บางบ้านขายของ อนุญาตให้เข้าชมถ่ายรูป บางบ้านก็ไม่อนุญาต เขาก็จะติดป้ายบอก เดินไปเรื่อยๆ ก็จะผ่าน Town Square เป็นจัตุรัสเล็กๆ กลางเมือง อยู่ใกล้กับบริเวณท่าเรือและโบสถ์ เดินมาถึงตรงนี้ก็ให้นึกไว้เลยว่าครึ่งทางไปมุมมหาชนแล้ว โดยมากคนจำนวนไม่น้อยก็เลือกที่จะถ่ายรูปจุดนี้เหมือนกัน เดินไปอีกครึ่งทางเรื่อยๆ จากทางเข้ารับรองได้เจอมุมมหาชนอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นโบสถ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอย่าง โบสถ์ Hallstatt Lutheran Church ก็มีความสวยงามและมีเสน่ห์มากไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของเมืองก็สามารถมองเห็นยอดสูงเด่นของโบสถ์นี้ได้ชัดเจนเดิมเป็นเพียงสถานที่รวมตัวเพื่อสวดภาวนาของชาวบ้าน (house of prayer) ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1785 หลังจากที่จักรพรรดิโจเซฟที่สอง Emperor Franz Joseph II เริ่มเปิดกว้างทางศาสนามากขึ้นและอนุญาตให้ชาวคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์สามารถรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมทางศาสนาตามความเชื่อในนิกายของตนได้ ต่อมา

ห้องสวดภาวนาแห่งนี้จึงได้รับการสร้างใหม่ให้เป็นโบสถ์ขึ้นมาในปี 1863 และกลายมาเป็นโบสถ์ประจำเมืองฮัลล์สตัทท์ศิลปะสไตล์นีโอกอทิก (Neo-Gothic) มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่ที่หลังคายอดแหลมและกระจกบานสูงสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ด้านในจัดแสดงประวัติของเมืองนี้ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา มีเทียนไว้กลางโบสถ์ให้จุดเพื่ออธิษฐาน บริเวณด้านหลังโบสถ์ติดกับทะเลสาบมีสนามหญ้าและม้านั่ง สำหรับนั่งชมวิวและพักผ่อนโบสถ์ประจำเมืองฮัลล์สตัทท์เปิดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนได้ทุกวันโดยไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชมสำหรับคนที่มีเวลาเพียง 1 วันหรือมากับทัวร์ที่มีเวลาจำกัด คงไม่สามารถเดินทางได้ทั่วถึง

แต่ถ้ามีโอกาสนอนพักค้างคืนสัก 1 วัน คุณจะได้สัมผัสฮัลล์สตัทท์มากยิ่งขึ้นแน่นอน บางครั้งวันแรกอากาศยังหนาวเย็นปกติมีหิมะตกประปราย แต่พอนอนค้าง 1 คืน เช้ามาอีกวันฮัลล์สตัทท์ก็เสกมนตร์เสน่ห์แห่งความโรแมนติกทันที

ทั้งเมืองเต็มไปด้วยหิมะสวยงามมากๆ นอกจากโบสถ์ Hallstatt Lutheran Church ถ้าหากมีเวลาแนะนำให้ไปชมเหมืองเกลือฮัลล์สตัทท์ Hallstatt Salt Mine (Salzwelten) เพราะอย่างที่บอกเดิมที่นี่เคยเป็นเหมืองเกลือมาก่อนคุณจะเห็นได้จากของที่ระลึกที่เป็นเกลือที่วางอยู่ทั่วเมือง แม้ปัจจุบันไม่ได้ทำเหมืองเป็นหลักแล้วแต่ยังคงอนุรักษ์ไว้ในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์เหมืองเกลือให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม มีสไลเดอร์แบบโบราณที่สร้างตั้งแต่ปี 1734 เปิดให้บริการ เมษายน – ตุลาคม ช่วงหน้าหนาวไม่ได้เปิดให้เข้าชม

ด้านบนภูเขาเกลือมีร้านค้าร้านอาหารที่คุณสามารถใช้บริการกินอาหาร กาแฟ พร้อมชมวิวจากมุมสูง 1,200 ฟุต นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิว Skywalk เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นและชอบวิวพาโนรามาของเทือกเขาอัลไพน์ จุดชมวิวที่ยื่นจากหน้าผาสูง ทำให้เหมือนกับว่าเราเดินบนอากาศเหนือหลังคาหมู่บ้านมรดกโลกฮัลล์สตัทท์ การขึ้นไปยอดเขามีรถรางซึ่งเราสามารถซื้อตั๋วแยกเฉพาะค่ารถไป-กลับขึ้นมาชมวิว หรือซื้อตั๋วรวมค่ารถไป-กลับ+เหมืองเกลือหรือใครจะเดินขึ้นก็ไม่ว่ากัน

อีกอย่างที่ห้ามพลาดคือ กินปลาเทราต์ (Trout) ซึ่งเป็นปลาท้องถิ่นในทะเลสาบฮัลล์สตัทท์นี่แหละ ในเมนูอาหารของร้านเขียนไว้ว่า ปลาที่นี่คุณภาพดีเพราะว่าทะเลสาบนี้ลึกถึง 125 เมตร น้ำใสสะอาด เย็นเพราะมาจาก Glacier ก็เลยทำให้ปลาอร่อยเนื้อนุ่ม ไม่มีกลิ่นคาว อร่อยไม่ผิดหวัง ราดซอสรสหวานหอมกลิ่นโรสแมรี เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งอบ และสลัดถ้วยเล็กน่ารัก ประมาณ 20 ยูโร

ช่วงนี้หลายคนไม่ได้เดินทางทั้งคนฝั่งยุโรป ไม่สามารถเดินทางไปหาแดดในฝั่งเอเชียอย่างประเทศไทยได้ ฝั่งประเทศไทยก็ไม่สามารถมาสัมผัสอาหารหนาวเย็นและหิมะได้ ก็ให้คิดว่าไม่เป็นไร ไว้ปีหน้าฟ้าใหม่เราคงได้เดินทางกันอีกครั้ง ฮัลล์สตัทท์ ยังคงความสวยงามและโรแมนติกรอคุณเสมอ

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0