Blue Forest & Rock Hand Part 1- Aomori

Story & Photo by Orawan & Jessadaporn

พอขึ้นต้นเดือนกรกฎาคม 2021 มา หลายคนเริ่มนึกถึงมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ที่มีการเลื่อนมาจัดในปี 2021 ระหว่างวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2021 – อาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2021 โดยเมื่อวันที่ 25 มีนาคมต้นปีที่ผ่านมา ได้จัดพิธีการปล่อยตัวนักวิ่งคบเพลิงนับถอยหลังเข้าสู่พิธีเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการที่ จังหวัดฟุกุชิมะ ภายใต้คอนเซปต์ Hope Lights Our Way โดยได้มีกำหนดเดินทางไปทั้งหมด 47 จังหวัดในญี่ปุ่น ผ่าน 857 เขตเทศบาลท้องถิ่น และไปสิ้นสุดที่การจุดไฟที่กระถางคบเพลิงภายในโอลิมปิก สเตเดียม สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงโตเกียว ในพิธีเปิดการแข่งขันวันที่ 23 กรกฎาคมอย่างเป็นทางการ 

ตามกำหนดการของการวิ่งคบเพลิง จะมีเดินทางมาถึง ที่จังหวัดอาโอโมริในวันที่ 10-11 มิถุนายน และที่จังหวัดอิวาเตะ ในวันที่ 16-18 มิถุนายน แต่เนื่องจากช่วงเวลาของจังหวัดอาโอโมริ ทางเราติดภาระกิจ จึงเลือกที่จะเดินทางมาในช่วงวันที่ 15-17 มิถุนายนแทน

พวกเราตั้งต้นกันที่โตเกียวและแวะที่จังหวัดอาโอโมริก่อน เริ่มจากที่ โบราณสถานซันไนมะรุยะมะ

“ที่นี่กำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาให้กลายเป็นพื้นที่มรดกโลก UNESCO World Heritage Site”

น่าจะเป็นคำอธิบายของโบราณสถานซันไนมะรุยะมะ ที่ชวนหลายคนสนใจขึ้นมาทันที

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอาโอโมริมีหลายสถานที่ด้วยกัน เช่น

โบราณสถานซันไนมะรุยะมะ (Sannai Maruyama Iseki)

ตั้งอยู่ที่จังหวัดอาโอโมริ (Aomori) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) คำว่า อาโอโมริ แปลความหมายได้ว่า ป่าสีฟ้า (Blue Forest) หรืออาจจะแปลว่าป่าสีเขียวก็ย่อมได้ ป่าในที่นี่น่าจะหมายถึงป่าเล็กบนเนินเขาที่อยู่ใกล้กับตัวเมือง แต่บางคนก็ว่า ชื่อนี้น่าจะมาจากภาษาไอนุก็เป็นได้

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จังหวัดนี้ก็มีป่าไม้ ธรรมชาติและสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย เริ่มจากโบราณสถานซันไนมะรุยะมะที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นเอง

โบราณสถานซันไนมะรุยะมะ เป็นหนึ่งในหมู่บ้านโบราณยุคโจมง (Jomon) หรือราวๆ 4,000 ปีก่อนคริสตศักราชที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดของญี่ปุ่น พื้นที่ดังกล่าวถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อประมาณปี 1992 ระหว่างปรับพื้นที่เพื่อทำสนามเบสบอล เจ้าหน้าที่พบซากของที่อยู่อาศัยแบบหลุม โครงสร้างอาคารที่มีเสารองรับ เนินดินและหลุมฝังศพของเด็กและผู้ใหญ่

พร้อมทั้งเครื่องดินเผา เครื่องมือยุคหิน เครื่องประดับส่วนตัว และสิ่งประดิษฐ์จากกระดูกและเขากวาง ต่อมาได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชม ในปี 2002 ปัจจุบันยังมีพื้นที่อีกหลายส่วนที่นักโบราณคดีกำลังทำการศึกษาอยู่ด้วย

กิจกรรมที่นี่นอกจากชมพื้นที่ทางโบราณคดีที่มีการสร้างอาคารจำลองขึ้นใหม่เพื่อให้คุณได้สัมผัสกับสภาพหมู่บ้านเหมือนอยู่ ณ สมัยนั้นได้

พิกัด https://goo.gl/maps/6zAvJk5ZVaLK2dut9

พิพิธภัณฑ์โจมง จิยูคัง (Jomon Jiyukan)

วัตถุที่ถูกขุดพบจากพื้นที่ดังกล่าว มากกว่า 1,700 ชิ้น และนักท่องเที่ยวยังสามารถทดลองสวมเสื้อผ้าย้อนยุค ลองใช้เครื่องมือต่างๆ และร่วมทำเวิร์กช็อปหัตถกรรมและของเล่น หรืออาจลองลิ้มรสอาหารท้องถิ่นของชาวบ้านได้จากร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย

หลังจากเดินดูรอบๆ แล้วคุณจะเข้าใจว่า ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีแบบนี้เองที่ทำให้ที่นี่ได้รับการผลักดันให้เป็นพื้นที่มรดกโลกทางประวัติศาสตร์

พิกัด https://goo.gl/maps/DHz88Nnw2g4ysMzu8

หมู่บ้านซึการุ เนพุตะ (Tsugaru-han Neputa Village)

ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองฮิโรซากิ (Hirosaki) อยู่ทางด้านขวาของสวนฮิโรซากิซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทฮิโรซากิ ภายในพิพิธภัณฑ์มีของหัตถกรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน งานไม้ งานผ้า และงานกระดาษต่างๆ มีทั้งการสาธิต จัดแสดง พร้อมขายเป็นที่ระลึกด้วย ตัวอย่างเช่น ลูกข่างโบราณ โคมไฟกระดาษ ตุ๊กตาไม้ (Hirosaki kokeshi) แอ๊ปเปิ้ลเหมือนจริงทำจากไม้ ตะเกียบ งานปั้น และงานตัดเย็บเสื้อผ้าเกษตรกรโบราณสืบเนื่องมากว่า 200 ปี

ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์อยู่ที่การจัดแสดงรถแห่ที่ใช้ในงานเทศกาลเนพุตะ มัตสึริ (Neputa Matsuri) หนึ่งในเทศกาลใหญ่ของภูมิภาคนี้

เทศกาลเนพุตะจัดประจำทุกปีในช่วงต้นเดือนสิงหาคม (ประมาณวันที่ 1-7 สิงหาคม) มีการแห่รถขบวนที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟเป็นรูปวาดของหญิงสาว ซามูไร เทพเจ้า ปีศาจ

หลังจากจบงานเทศกาลสิ่งของเหล่านั้นจะถูกนำมาจัดแสดงที่นี่

นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการเครื่องดนตรีญี่ปุ่นโบราณ ที่เรียกว่า สึการุซามิเซ็ง (Tsugaru Shamisen)

รวมไปถึงกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ทำ อย่างเช่น การระบายสีโคมไฟปลาทอง หรือเรียกกันว่า เนพุตะคิงเกียว (เนพุตะปลาทอง) ตามความเชื่อในอดีต ปลาทองถือว่าเป็นปลาที่นำโชคดีและความสุข ถ้าได้ไปงานเทศกาลคุณจะเห็นหลายคนถือโคมไฟปลาทองกันมากมาย

ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 550 เยน เด็กเล็ก 110 เยน
เวลาเปิดปิด 09.00 -17.30 น. (เข้าชมก่อน 17.00 น.) เปิดทำการทุกวัน

พิกัด https://goo.gl/maps/699mBtmtffdsWvXB9

ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)

ปราสาทฮิโรซากิ ตั้งอยู่ภายในเมืองฮิโรซากิ จังหวัดอาโอโมริ เป็นปราสาททางตอนเหนือสุดในบรรดาปราการปราสาททั้ง 12 แห่งที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นกันในญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติด้านวัฒนธรรมที่สำคัญนอกจากนี้ก็ยังเป็น 1 ใน 100 แหล่งชมซากุระขึ้นชื่อของญี่ปุ่นอีกด้วย

ถูกสร้างขึ้นในปี 1611 โดยสึการุ โนบุฮิระ ผู้ปกครองแคว้นเมื่อปี 1609 หรือตรงกับช่วงต้นยุคเอโดะ ต่อมาในปี 1627 ก็เกิดเหตุการณ์ดินปืนระเบิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันภายในปราสาทจากฟ้าผ่า ทำให้ตัวตำหนักฮมมารุรวมถึงปราการปราสาทถูกเผาทำลายลงไปอย่างน่าเสียดาย

โครงสร้างปราสาทเดิมที่มีทั้งหมด 5 ชั้น ถูกไฟไหม้จากเหตุการณ์ฟ้าผ่าในปี 1627 และได้สร้างขึ้นใหม่ในปี 1810 ให้กลายเป็นแบบ 3 ชั้นในปัจจุบันประกอบด้วย คูปราสาท ป้อม ประตูปราสาท และป้อมตามมุมปราสาท ตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะฮิโรซากิที่มีพื้นที่ประมาณ 492,000 ตารางเมตร ภายในสวนอันแสนกว้างใหญ่แห่งนี้ก็มีทั้งปราสาทฮิโรซากิ หอคอยยากุระ คูน้ำรอบปราสาท สะพาน และสนามเด็กเล่น ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเมืองฮิโรซากิและสถานที่จัดงานอีเว้นท์มากมาย

ค่าเข้าชม ปราสาทฮิโรซากิ (พระราชวังฮมมารุปราสาทฮิโรซากิ – พระตำหนักเหนือ) ผู้ใหญ่ 320 เยน เด็ก 100 เยน

พิกัด https://goo.gl/maps/PokD9Uo5wPhF1PcdA

ลำธารในหุบเขาโออิราเซะ (Oirase Stream)

ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมใบไม้ร่วงที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ลำธารที่มียาวกว่า 14 กิโลเมตรนี้ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติโทวาดะ ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai National Park)

ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีประมาณปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน บรรยากาศรอบข้างจะเป็นสีเขียว เหลือง แดงสวยมาก

ในขณะที่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน ตั้งแต่พฤษภาคมถึงมิถุนายนอย่างช่วงนี้ คุณจะได้เห็นความเขียวขจีและความชุ่มฉ่ำโอบรอบทั่วทั้งบริเวณไปหมด

น้ำตกโจชิ โอทะกิ (Choshi Otaki Waterfall)

น้ำตกที่ใหญ่และสวยงามที่สุดบนเส้นทางนี้ น้ำตกมีความกว้าง 20 เมตร สูง 7 เมตร ในยามนี้ละอองน้ำที่หล่นลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับผู้เดินทาง ทำให้การเดินป่าเลียบลำธารในครั้งนี้ไม่เหนื่อยแต่สดชื่นมากทีเดียว

พิกัด https://goo.gl/maps/evPi4WG7CdcyF4Ax7

ลำธารโออิราเซะจะไหลไปตามหุบเขาโออิราเซะ (Oirase Gorge) มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบโทวะดะ

ทะเลสาบโทวะดะ (Lake Towada)

ทะเลสาบแห่งนี้เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟราว 2,000 ปี บริเวณที่ลึกที่สุดมีความลึกถึง 326.8 เมตรเป็นความลึกติดอันดับ 3 ของญี่ปุ่น

โดยระยะทางรอบทะเลสาบมีระยะทางรวมกว่า 46 กิโลเมตร ทั้งงดงามและภูมิทัศน์สีเขียวที่อุดมสมบูรณ์ มีที่พักผ่อนและสถานที่ท่องเที่ยวกระจายตัวอยู่ มีทางเดินเลียบทะเลสาบเป็นระยะๆ มีพื้นที่ตั้งแคมป์ จุดชมวิว

และเรือล่องทะเลสาบชมวิวทิวทัศน์ที่ออกทุกๆ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง การแล่นเรือหนึ่งรอบใช้เวลาประมาณ 50 นาที ราคาอยู่ที่ 4,000-6,000 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 2,000 เยนสำหรับเด็ก (อายุ4-12ขวบ)

พิกัด https://goo.gl/maps/BhdiH8n4YSmwR8Zx6

ที่เที่ยวทางธรรมชาติต่อไปของอาโอโมริ เรานั่งรถต่อไปยังเมืองฮาจิโนะเฮะ เพื่อไปชมชายฝั่งทาเนะซาชิ และศาลเจ้าคาบุชิมะ

หอศิลป์โทวะดะ (Towada Art Center)

ที่นี่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการทดลองประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านงานศิลปะ ชุบชีวิตเมืองผ่านทางศิลปะ โดยมีแนวคิดคือการสัมผัสประสบการณ์งานศิลป์ซึ่งกลืนไปกับภูมิทัศน์ของเมืองและธรรมชาติโดยรอบโดยได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2008

ที่นี่จัดแสดงผลงานศิลปะที่น่าสนใจมากมายจากศิลปินทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศที่มีชื่อเสียง ตัวอย่างเช่น “Flower Horse” โดย Choi Jeong Hwa

“Standing Woman” โดย Ron Mueck

Love Forever, Singing in Towada โดย Yayoi Kusama

และ Bridge of Light โดย Ana Laura Aláez เป็นต้น

ค่าเข้าชม ราคาตั๋วแบบเซต 1,200 เยน (งานแสดงศิลปะพิเศษ+แบบธรรมดา) / งานแสดงศิลปะพิเศษ 800 เยน / งานศิลปะแบบธรรมดา 520 เยน

เวลาเปิด-ปิดบริการ : 09.00 – 17.00 น.
วันหยุด : หยุดวันจันทร์ (หากวันจันทร์นั้นตรงกับวันหยุดราชการ จะเลื่อนไปปิดวันถัดไปแทน), วันขึ้นปีใหม่

พิกัด https://goo.gl/maps/yi17eGLbQZ4rtjuK8

ศาลเจ้าคาบุชิมะ (Kabushima Shrine)

ตั้งอยู่บนเกาะคาบุชิมะ สร้างเพื่อบูชาให้กับเทพเจ้าเบนไซเทน (Benzaiten) ซึ่งเป็นเทพแห่งธุรกิจการค้าและศิลปะดนตรีต่างๆ เดิมชาวประมงใช้เป็นสถานที่ในการขอพรเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ ในปัจจุบันคนญี่ปุ่นขอพรที่นี่เพื่อความโชคดีในการลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากคำว่า “คาบุ” ในภาษาญี่ปุ่นมีคำพ้องเสียงที่แปลว่าหุ้น จึงมีคนที่เชื่อว่าจะโชคดีในตลาดหุ้นนั่นเอง

ศาลเจ้าแห่งนี้เราจะเห็นนกนางนวลหางดำเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านเชื่อนกนางนวลหางดำเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้าเบนไซเทนที่ประดิษฐานอยู่ ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครทำร้ายนกนางนวลที่นี่

และยังเชื่ออีกว่าถ้าโดนขี้นกตกใส่จะโชคดี เพราะคำว่าขี้ หรือ อุนโกะ จะพ้องเสียงกับคำว่า อุน ที่แปลว่า โชค แต่ถ้าใครไม่ได้อยากรับโชคแบบเต็มๆ สามารถกางร่มกันได้ ที่ศาลเจ้าเขามีให้บริการตรงทางขึ้นบันไดของศาลเจ้า

แต่สำหรับคนที่โดนขี้นกตกใส่ไปแล้ว ก็จะได้รับ “ใบประกาศนียบัตรแห่งความโชคดี” จากศาลเจ้าด้วย

พิกัด https://goo.gl/maps/Y9T12iPtLDNZugq47

จากศาลเจ้าคาบุชิมะ ใช้เวลาขับรถประมาณ 15 นาทีก็จะถึงชายฝั่งทาเนะซาชิ

ชายฝั่งทาเนะซาชิ (Tanesashi Coast)

ชายฝั่งทะเลที่มีความยาว 14 กม. ตั้งแต่เกาะคาบูชิมะไปจนถึงเมืองฮาชิคามิ นอกจากชายหาดสวยแล้ว ไฮไลต์ของที่นี่ คือสนามหญ้าธรรมชาติสีเขียวกว้างสุดสายตาตลอดเลียบแนวชายหาด มองออกไปจะเห็นสีเขียวของหญ้า ตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าและท้องทะเล

ในช่วงฤดูร้อนไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง สายลมจะพัดเย็น มีจะดอกไม้นานาชนิดแข่งกันบาน สร้างสีสันเต็มท้องทุ่งไปหมด

ที่นี่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น

พิกัด https://goo.gl/maps/WyYWovJKJjmG4zgw5

ของห้ามพลาดจากอาโอโมริ

ของขึ้นชื่อของจังหวัดอาโอโมริ คือ แอปเปิ้ล ด้วยเพราะสภาพภูมิอากาศของอาโอโมรินั้นเหมาะแก่การปลูกแอปเปิ้ล ทำให้มีสวนแอปเปิ้ลมากมาย สินค้าและผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ลเป็นส่วนผสมจึงมีให้เลือกหลากหลายมาก

อ่าน Blue Forest & Rock Hand Part 2- Iwate
Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0