The Mystery of Easter Island
Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) เป็นชื่อของเกาะที่คนจำนวนไม่น้อยน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงผ่านหูมาบ้าง หนึ่งในสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าไกลที่สุดในโลก โดยเฉพาะความโด่งดังของหินสลักขนาดยักษ์ “โมอาย” (Moai) ที่เรียงรายกันอยู่ตามชายหาดของเกาะเป็นจำนวนมากมาย
เรื่องราว ปริศนาลึกลับที่ยังไม่มีผู้ใดหาคำตอบที่แน่ชัดได้ ดินแดนอันไกลโพ้นแห่งนี้จึงกลายเป็นจุดหมายที่ใฝ่ฝันของนักเดินทางผู้หลงใหลความแปลกใหม่ และท้าทาย
ฉันเห็นโมอายครั้งแรกจากหนังเรื่องราปานุย แล้วก็ฝันว่าสักวันจะได้ไปชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง แต่ด้วยระยะทางและค่าใช้จ่าย เลยได้แต่เก็บใส่ลิ้นชักความฝันไว้อยู่หลายปี
จนเมื่อมีโอกาสเดินทางมาทวีปอเมริกาใต้ครั้งแรก จึงได้เปิดลิ้นชักความฝันนี้ขึ้นมาอีกครั้ง แม้ค่าใช้จ่ายจะสูงลิ่ว แต่ก็พอตั้งสติได้ก็คิดว่าไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว…ครั้งหนึ่งในชีวิต
เกาะอีสเตอร์ หรือตามภาษาถิ่นเรียกว่า เกาะราปานุย (Rapa Nui) และในภาษาสเปนเรียกว่า เกาะปัสกวา (Isla de Pascua) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เกาะขนาดเล็กภายใต้การปกครองของประเทศชิลี (Chile) ที่มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร
ตัวเกาะห่างจากฝั่งของชิลีไปกว่า 3,600 กิโลเมตร จนได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก ถูกค้นพบโดยนักเดินทางชาวดัตช์ชื่อจาค็อบ ร็อกเกวีน (Jacob Roggaveen) ซึ่งค้นพบในวันอีสเตอร์ของปี ค.ศ. 1770 จึงได้ตั้งชื่อเกาะว่า Easter Island
การเดินทางมาที่สะดวกสุดทางเดียวคือนั่งเครื่องบินมาจากซานติอาโก (Santiago) เมืองหลวงของประเทศชิลี โดยสายการบิน LATAM ซึ่งมีเที่ยวบินตรงทุกวัน วันละหนึ่งเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณห้าชั่วโมง ราคาค่อนข้างโหดเพราะความไกล ผูกขาดสายการบินเดียว และเส้นทางนี้สามารถมีเครื่องบินบินได้ทีละลำเท่านั้น หลังจากอยู่บนฟ้ากว่าห้าชั่วโมง ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอดที่ท่าอากาศยาน Mataveri International Airport โดยสวัสดิภาพ สนามบินมีขนาดเล็กแต่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์
เวลาที่นี่ช้ากว่าที่แผ่นดินใหญ่ของชิลีสองชั่วโมง ฉันมองหาป้ายชื่อตัวเองเพราะทางเกสต์เฮาส์แจ้งว่าจะส่งคนมารับ แคทธารีนา (Catharina) โบกมือทักทายและแนะนำตัวกับฉัน พร้อมคล้องพวงมาลัยดอกไม้ให้ที่คอเป็นธรรมเนียมต้อนรับน่ารักๆ ของที่นี่
เธอเป็นเพื่อนกับเจ้าของเกสต์เฮาส์ ยังไม่ทันไรเราก็คุยกันถูกคอ หลังจากส่งฉันเอาของไปเก็บเข้าที่พัก เธอก็อาสาพาฉันออกไปเดินสำรวจตัวเมืองย่าน Hanga Roa ที่มีถนนสายหลักชื่อ Atamu Tekena มีร้านขายของ ที่พัก ร้านอาหาร ร้านเช่ารถ บริษัททัวร์ ตั้งอยู่เรียงราย
ฉันตัดสินใจเช่ารถจักรยานมาหนึ่งคัน ด้วยตั้งใจว่าจะปั่นจักรยานตามหาโมอายรอบเกาะ แต่จู่ๆ แคทธารีนาก็บอกว่ากำลังจะไปเล่นน้ำทะเลกับเพื่อนที่ Anakena beach แล้วเอ่ยปากชวนฉันไปด้วย ฉันก็ใจง่ายตกปากรับคำด้วยความถูกชะตาและสัมผัสได้ถึงมิตรภาพที่จริงใจจากเธอ จึงเอาจักรยานไปเก็บที่เกสต์เฮาส์แล้วกระโดดขึ้นรถกระบะคันเก่าพร้อมกับน้องหมาตัวน้อยของเธอ
ฉันคิดเสมอว่า การได้มีเพื่อนเป็นคนท้องถิ่นพาเที่ยวเป็นกำไรในการเดินทาง เพราะเรามักจะได้เห็นและสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไป
ความลี้ลับของเกาะอีสเตอร์ เป็นหัวข้อที่นักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการทั้งหลายพยายามหาข้อพิสูจน์และถกเถียงกันมายาวนานนับร้อยปี โดยเฉพาะเรื่องราวปริศนาเกี่ยวกับ “โมอาย” หินแกะสลักขนาดยักษ์ ที่มีมากกว่า 600 ตัว กระจายอยู่ทั่วเกาะ ในปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติราปานุย (Rapa Nui National Park)
กับคำถามที่ว่ารูปปั้นลี้ลับเหล่านี้มาได้ยังไง ใครเป็นคนแกะสลักสิ่งเหล่านี้ แกะสลักเพื่ออะไร หินเหล่านี้มาจากไหน ใช้เครื่องมืออะไร เคลื่อนย้ายหินขนาดยักษ์ได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงยุติการสร้างหินแกะสลักเหล่านี้ โมอายเกือบทั้งหมดที่พบนั้นถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียว มาจากเหมืองหินที่ปล่องภูเขาไฟราโน รารากู (Rano Raraku)
แต่บางตัวก็มีสิ่งประดับเป็นชิ้นแยกต่างหากอยู่บนศีรษะคล้ายหมวกหรือมวยผม ซึ่งเรียกว่า “ปูเกา” (Pukao) ข้อสันนิษฐานที่แพร่หลายที่สุดคือ โมอายถูกแกะสลักโดยชาวโปนิเซียน ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนี้เมื่อพันกว่าปีก่อน เพื่อเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับหรือผู้มีความสำคัญในสมัยนั้น หรืออาจจะเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะของครอบครัว
การสร้างและเคลื่อนย้ายโมอายที่มีความสูงเฉลี่ยถึงสี่เมตรและหนักกว่าสิบตันจากจุดกำเนิดไปยังที่ตั้งต่างๆ บนเกาะยังคงเป็นปริศนา
แต่ความคิดเห็นส่วนใหญ่เชื่อว่าโมอายถูกเคลื่อนย้ายไปในแนวตั้ง ทำให้ดูเหมือนโมอายเดินไปได้เองตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวเกาะ นอกจากนี้ยังมีบางความเชื่อที่ว่า การสร้างและเคลื่อนย้ายโมอายต้องใช้ท่อนไม้ ยิ่งโมอายมีขนาดใหญ่ก็จำเป็นต้องใช้ท่อนไม้จำนวนมาก ทำให้จากเดิมที่เกาะอีสเตอร์ปกคลุมไปด้วยป่าปาล์ม เมื่อป่าถูกทำลายจนหมดก็ทำให้การสร้างโมอายยุติไปด้วย
การเรียกโมอายจะเรียกตาม “อาฮู” (Ahu) ที่โมอายตั้งอยู่ Ahu a Kivi เป็นที่แรกที่ฉันได้เห็นโมอายของจริง ที่นี่มีโมอายเจ็ดตัว และแปลกกว่าบริเวณอื่นตรงที่ไม่ได้ตั้งอยู่ริมทะเล แต่ตั้งอยู่กลางเกาะ แถมยังหันหน้าออกทะเล ในขณะที่โมอายที่อื่นหันหลังให้ทะเลกันหมด โดยโมอายทั้งเจ็ดจะหันหน้า ตรงกับแนวพระอาทิตย์ตกในวันที่กลางวันกับกลางคืนยาวเท่ากัน (Equinox) ในเดือนมีนาคม และหันหลังตรงกับแนวพระอาทิตย์ขึ้นในวันที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันในเดือนกันยายนอีกด้วย
จุดที่สองที่แคทธารีนาพาแวะชมคือ Puna Pau ซึ่งเป็นสถานที่แห่งเดียวบนเกาะที่มีหินภูเขาไฟสีแดง จึงกลายเป็นสถานที่ทำปูเกาะ ซึ่งก็คือหมวก “Red Hats” หรือมวยผม “Topknots” ของโมอายนั่นเอง ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวที่เห็นเมืองอยู่ไม่ไกลด้วย
แล้วเราก็ได้มาถึง Anakena beach ที่นี่เป็นหนึ่งในสองหาดทรายของเกาะที่มีชายหาดเล็กๆ ให้เล่นน้ำได้ ว่ากันว่าเป็นบริเวณที่พระราชาคนแรกของชาวราปานุยชื่อว่า Hotu Matu’a เดินทางมาจากหมู่เกาะพอลินีเซียนมาขึ้นฝั่งและเริ่มตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้
โดยเชื่อว่าการตั้งถิ่นฐานน่าจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1200 ในบริเวณนี้จะพบโมอายสองกลุ่มคือ Ahu Ature ซึ่งเป็นโมอายเดี่ยวและเป็นโมอายตัวแรกที่ได้รับการบูรณะยกขึ้นตั้งบนฐานด้วยแรงงานคน และ Ahu Nau Nau ที่ประกอบด้วยโมอายเจ็ดตัว
ชายหาดบริเวณนี้ มีต้นมะพร้าวที่เชื่อว่านำมาจากตาฮิติ ลมแรงจนต้นมะพร้าวเอนเอียงดูน่ากลัว แต่ฉันก็ได้สนุกสนานเล่นน้ำโต้คลื่นทะเลกับเพื่อนใหม่ชาวเกาะอีสเตอร์ เราใช้เวลาเล่นน้ำและพักผ่อนกันที่ Anakena beach จนเกือบค่ำ
ถึงแม้จะพลาดการไปทัวร์ภูเขาไฟดังที่ตั้งใจไว้ แต่การได้มีไกด์ท้องถิ่นขับรถพาเที่ยว ได้เล่นน้ำ พักผ่อนในวันหยุดแบบชาวเกาะ ก็นับเป็นกำไรชีวิตมากแล้ว แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้รู้จักกัน แต่ฉันก็รู้สึกอิ่มใจกับมิตรภาพที่ชาวชิลีมอบให้
คืนนั้นฉันไปกินอาหารและดูโชว์ Kari Kari ในตัวเมือง ซึ่งเป็นโชว์พื้นเมืองที่มีในแถบทะเลแปซิฟิก
นักเต้นทั้งชายและหญิง สวย หล่อ เซ็กซี่ และเป็นโชว์สนุกเพลิดเพลิน อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด เมื่อมาถึงที่นี่
หลังจากจบการแสดงก็เหมือนมีพายุเข้าถล่มเกาะอีสเตอร์ ฉันไม่เคยเจอฝนตกหนักและเสียงลมพายุดังน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แต่เจ้าของเกสต์เฮาส์ก็ปลอบใจว่านี่เป็นเหตุการณ์ปกติ แล้วฉันก็ต้องติดพายุฝนอยู่ที่เกสต์เฮาส์เพราะออกไปไหนไม่ได้จนถึงเที่ยงของอีกวันต่อมา พลาดการไปชม พระอาทิตย์ขึ้นที่ Ahu Tongariki ภาพโมอายเรียงรายกันสิบห้าตัวที่เราเห็นบ่อยๆ ตามโปสต์การ์ด เพราะเป็นแลนด์มาร์กและเป็นจุดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะอีสเตอร์ พอพายุฝนสงบลง ฉันแทบกระโดดขึ้นจักรยานตั้งใจจะปั่นไปชม Ahu Tongariki กับตาสักครั้ง ระยะทางยี่สิบกิโลเมตรไม่ใช่ปัญหาสำหรับนัก (ชอบ) ปั่นอย่างฉัน แต่ระหว่างทางฝนก็ตกลงมาอีก ไปได้ไม่ถึง ครึ่งทางฉันต้องยอมแพ้หันหลังกลับเพราะทนความหนาว และต้านความรุนแรงของลมฝนน้องๆ พายุดีเปรสชันไม่ไหว กว่าจะพาตัวเองปั่นขึ้นลงเขาเลียบชายหาด กลับมาถึงรีสอร์ตได้ สภาพที่เปียกปอนสะบักสะบอม
ตอนเย็นฝนหยุดตกท้องฟ้าสดใสขึ้น ฉันปั่นจักรยานอีกครั้งมุ่งหน้าไปที่ Ahu Tahai ซึ่งเป็นกลุ่มโมอายที่อยู่ใกล้เมืองมากที่สุด โมอายกลุ่มนี้ถูกยกขึ้นตั้งอีกครั้งเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว
ประกอบด้วยสามกลุ่มย่อย คือ Ahu Vai ‘Uri ที่มีห้าตัว Ahu Tahai และ Ahu Ko Te Riku ที่มีดวงตา โดยตาขาวทำจากผงปะการังและตาดำทำจากหิน Ahu Tahai ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ
จึงเป็นทำเลทองในการชมพระอาทิตย์ตก บรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่นี่สวยงามมากๆ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีทุกห้านาที บรรยากาศแบบนี้ยิ่งทำให้โมอายเหล่านี้ยิ่งดูลึกลับ พิศวง และชวนให้ค้นหามากขึ้นไปอีก
อดคิดไม่ได้ว่า นี่เราเดินทางมาไกลมากเลยนะ คิดถึงบ้านจัง บ้านเราอยู่ตั้งอีกซีกหนึ่งของโลกเลยนะ เวลาสามวันสองคืนที่ฉันได้มาติด (ฝนบน) เกาะ ใช้ชีวิตช้าๆ และได้มาสัมผัสความลี้ลับของโมอายกับตา เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน