Tourist Places To Visit in Singapore

เรื่องโดยทีมงาน Vacationist
  • ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วและเด็กอายุ 12 ปีและต่ำกว่าที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดสทุกท่านสามารถเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องกักตัว
  • คนไทยเที่ยวสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และสามารถอยู่ได้นานไม่เกิน 30 วัน (พาสปอร์ตต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน)
  • กรุงเทพฯ บิน ไปสิงคโปร์ ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง 20 นาที มีเที่ยวบินบินตรงไปลงยัง สนามบินชางงี (Changi Airport) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามบินที่ดีที่สุดในโลก
  • อาหารราคาย่อมเยา ที่ศูนย์อาหารเริ่มต้น 4-6 ดอลล่าร์สิงคโปร์ (1 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ประมาณ 26.50 บาท วันที่ 20 กรกฎาคม 65)
  • คุณสามารถดื่มน้ำจากก๊อกน้ำได้โดยตรง เนื่องจากน้ำประปาในสิงคโปร์ผ่านมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก

นอกจากเหตุผลเบื้องต้นที่กล่าวมาแล้ว สิงคโปร์ยังถือได้ว่าเป็นประเทศสามารถพาครอบครัวไปได้อย่างง่ายดาย ผู้ใหญ่สูงอายุ เด็กเล็กเด็กน้อย เดินทางไม่ลำบาก ช่วงเวลานั่งเครื่องไม่นาน มีที่กิน ที่เที่ยว ที่จับจ่ายครบครันทุกวัย

ทำให้หลายคนเลือกสิงคโปร์เป็นจุดหมายปลายทางต้นๆ สำหรับครอบครัว หากต้องเริ่มฤดูกาลแห่งการเดินทาง และเช่นเดียวกันแสงแดด ผู้คน วัฒนธรรม อาหาร แหล่งช้อปปิ้งของเกาะสิงคโปร์ก็กำลังรอการมาเยือนของท่านด้วยใจจดจ่อ เก็บกระเป๋าแล้วสำรวจเกาะสิงคโปร์กันได้

จีเวล ชางงี แอร์พอร์ต (Jewel Changi Airport) & HSBC Rain Vortex

ห้างที่เปิดให้คุณเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมการกิน และวิถีการช้อปปิ้ง ของสิงคโปร์ ห้างนี้รวบรวมทุกอย่างมาต้อนรับคุณไฮไลต์หลักของที่นี่ คงหนีไม่พ้น HSBC Rain Vortex น้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้มีความสูงถึง 40 เมตร ที่ดึงดูดความสนใจจากบรรดานักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและสนใจงานสถาปัตยกรรมกับความมหัศจรรย์ของผลงานวิศวกรรมสมัยใหม่

ไฮไลท์สำคัญของ จีเวล ชางงี แอร์พอร์ต ภาพมวลน้ำมหาศาลที่กลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เป็นน้ำฝนที่กักเก็บไว้ในช่วงเวลาที่ฝนตก แล้วใช้ระบบปั๊มน้ำจากถังเก็บน้ำใต้ดินขึ้นไปปล่อยบนหลังคาให้ตกลงมาเป็นน้ำตก ผลงานนี้เกิดขึ้นจาก Moshe Safdie สถาปนิกชื่อดังระดับโลก จุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อให้คนท้องถิ่น และคนต่างถิ่นได้เห็น และได้สัมผัสประสบการณ์จากอาคารที่มีการออกแบบอย่างประณีตงดงามดั่งอัญมณี ในคอนเซปที่ว่า ‘โลกพบกับสิงคโปร์และสิงคโปร์พบกับโลก’ ในช่วงกลางวันละอองน้ำจะสะท้อนเป็นประกายสวยงาม ส่วนยามกลางคืนจะมีโชว์แสงและเสียงสวยงามตระการตาไปอีกแบบ สำหรับคนที่ต้องการเห็นวิวมุมสูง

สามารถเช้าชมผ่านเส้นทางเดินลอยฟ้าที่เรียกว่า Canopy Bridge ได้เส้นทางนี้จะสูงจากพื้นดินกว่า 23 เมตรทีเดียว นอกจากนี้ยังมีร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆ อาทิเช่น Nike สาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, MUJI, Tokyu Hands, UNIQLO รวมไปถึง Pokémon Centre เพื่อตามล่าโปเกม่อน ที่นี่เป็นร้านค้าปลีกถาวรแห่งเดียวที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่นและมีตุ๊กตาขนนุ่มมากกว่า 140 แบบ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต้องชอบที่นี่เป็นแน่ โรงภาพยนตร์ Shaw Theatres Jewel โรงภาพยนตร์ถึง 11 โรง มีโรงภาพยนตร์ IMAX สำหรับคนที่ต้องการชมภาพยนตร์ช่วงเวลาสั้นๆ ครอบครัวที่เดินทางมากับเด็กๆ สามารถจองตั๋วได้ที่ Dreamers โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก และถ้าเด็กสูงไม่ถึง 90 เซนติเมตรก็สามารถเข้าชมได้ฟรี

มารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands)

รีสอร์ทครบวงจรขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนเส้นขอบฟ้าสิงคโปร์ ที่อ่าวมารีนา เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของสิงคโปร์เลยก็ว่าได้ อาคารพื้นที่ 581,000 ตารางเมตร ที่มีมูลค่ามากถึง 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 1.71 แสนล้านบาท พัฒนาโดยบริษัทลาสเวกัสแซนส์ ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Moshe Safdie รูปทรงของโรงแรมนี้ ประกอบด้วยตึก 3 ตึกและมีลานคล้ายเรืออยู่ที่ยอดตึก เชื่อมทั้ง 3 ตึก ไว้ด้วยกัน ประกอบไปด้วยโรงแรม, ศูนย์ประชุมและนิทรรศการ, พิพิธภัณฑ์, โรงละคร, สถานบันเทิง,

จุดที่สวยงามและเด่นสุดคงไม่พ้น สวนลอยฟ้าแซนด์ส สกายพาร์ค (Sands SkyPark) ที่มีความยาว 340 เมตร (1,120 ฟุต) จุคนได้ 3,900 คน ที่อยู่บนชั้นบนสุดของโรงแรม ซึ่งมีสระว่ายน้ำลอยฟ้าที่เรียกว่าสระว่ายน้ำแบบไร้ขอบ (Infinity Edge Pool) เป็นสระว่ายน้ำที่ไร้ขอบสระ 150 เมตร (490 ฟุต) ยาวที่สุดในโลก และตั้งอยู่เหนือพื้นดิน 191 เมตร ผู้ที่จะใช้บริการสระว่ายน้ำได้ต้องเป็นแขกของโรงแรมเท่านั้น  ราคาห้องพักอยู่ที่ประมาณคืนละ 7,000 บาท

การเดินทาง มีทางเชื่อมกับสถานีรถไฟ MRT Bayfront Station

การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์ (Gardens by the Bay)

บนพื้นที่ 101 เฮคตาร์ หรือ 1 ล้านตารางเมตรของอ่าวมารีน่า เบย์ พื้นที่ภายในสวนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ Bay East Garden, Bay Central Garden และ Bay South Garden  ซึ่งเปิดใช้งานในรูปแบบสวนสาธารณะริมอ่าวมารีน่าส่วนพื้นที่ไฮไลต์อย่าง Bay South Garden ซึ่งมีทั้งส่วนที่เปิดให้เข้าชมฟรีและส่วนที่ต้องซื้อบัตรเข้าชมคือเรือนกระจก 2 อาคาร ทั้ง Flower Dome (ฟลาวเวอร์โดม) และ Cloud Forest (คลาวด์ฟอเรสต์) รวมถึงทางเดินลอยฟ้า OCBC Skyway

แม้จะต้องจ่ายเงินค่าเข้าชมในส่วนเรือนกระจกปรับอากาศฟลาวเวอร์โดมและ คลาวด์ฟอเรสต์ ต้องบอกว่าคุ้มค่ามาก เรือนกระจกแห่งนี้ ได้รับชื่อว่าเป็น เรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่ออยู่ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์เมื่อปี 2015 หลังคากระจกที่ไม่มีอะไรค้ำนี้ครอบคลุมพื้นที่กว้างโล่งซึ่งไม่มีเสาต้นใหญ่ขวางกั้นแต่อย่างใด นอกจากการออกแบบอันล้ำสมัยแล้ว เรือนกระจกเหล่านี้ยังใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยเพื่อประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ดียิ่งขึ้น สำหรับฟาวเวอร์โดมนั้นจะจำลองภูมิอากาศของภูมิภาคต่างๆ และมีการปลูกต้นไม้มากกว่า 160 ชนิดกว่า 32,000 ต้น

ส่วนคลาวด์ฟอเรสต์ ชื่อก็บ่งบอกถึงความเป็นป่าที่สวยงามเทียมเมฆ ด้วยมีการสร้างภูเขาที่สูงกว่า 35 เมตร ปกคลุมไปด้วยกล้วยไม้ เฟริ์น และสัปปะรดสี มีน้ำตกในร่มที่สูงกว่า 30 เมตรที่คุณต้องประทับใจอย่างแน่นอน ถ้าคุณไม่กลัวความสูง แนะนำให้ลองเดินเที่ยวบนทางเดินลอยฟ้า OCBC Skyway ระยะทาง 128 เมตร ซึ่งเชื่อมระหว่างซูเปอร์ทรีสองต้น คุณสามารถชมวิวมุมสูงของสวนแห่งนี้ได้ชัดเจนขึ้น

สำหรับซูเปอร์ทรี ที่มีลักษณะเป็นเหมือนต้นไม้นั้นเป็นสวนแนวตั้งสูง 25 ถึง 50 เมตร โดยเป็นแหล่งเก็บกักน้ำฝน และทำหน้าที่ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นเครื่องระบายอากาศสำหรับเรือนกระจกของสวนแห่งนี้นั่นเอง แนะนำให้อยู่ให้ถึงในช่วงโชว์ในตอนกลางคืน จะเห็นความสวยงามของที่นี่ ไม่ว่าคุณจะดูจากที่สวนหรือดูมาจากฝั่งของอ่าว

การเดินทาง สถานีรถไฟ MRT Bayfront Station ทางออก B จะเห็นป้ายชี้ทางไป Garden By the bay ผ่านทางอุโมงค์ใต้ดินขึ้นที่ด้านหน้าเลยทางเข้าสวนเลย

สิงคโปร์ฟลายเออร์ (Singapore Flyer)

เมื่อคุณเดินจากการ์เดนส์บายเดอะเบย์ไปตามทางเท้าริมน้ำของมารีน่าเบย์ไปยังมารีน่าเบย์แซนด์ส คุณจะเห็นทิวทัศน์ของสิงคโปร์ฟลายเออร์ ซึ่งเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ที่นั่งของชิงช้าทำเป็นแคปซูลปรับอากาศจำนวน 28 แคปซูล ระยะเวลาในการหมุน 1 รอบประมาณ 30 นาที

เมื่อขึ้นไปคุณจะได้มองเห็นทัศนียภาพแบบ 360 องศาของเมืองสิงคโปร์ รวมไปถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมารีน่าเบย์ (Marina Bay) ไปจนถึงแม่น้ำสิงคโปร์ โรงแรมราฟเฟิลส์ เพลซ (Raffles Place) เมอร์ไลออน พาร์ค (Merlion Park)และในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งคุณจะได้เห็นไกลไปถึงสนามบินชางงี เกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa Island) และพื้นที่บางส่วนของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ค่าใช้จ่ายในการขึ้นกระเช้าสำหรับผู้ใหญ่อยู่ 33 ดอลล่าร์สิงคโปร์

การเดินทาง ใกล้กับสถานีรถไฟ MRT Promenade Station ออกทางออก A จะเห็นป้ายสีน้ำเงินก็เดินตามได้เลยประมาณ 400 เมตรก็จะถึง

พิพิธภัณฑ์ศิลปะวิทยาศาสตร์ (Art Science Museum)

โครงสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก มีการออกแบบให้เป็นสัญลักษณ์ของการผายมือต้อนรับสู่สิงคโปร์ด้วยสิบนิ้ว ปลาย “นิ้ว” แต่ละนิ้วกรองแสงธรรมชาติเพื่อแสดงให้เห็นว่าการจัดแสดงนิทรรศการภายใต้แสงที่ดีที่สุด

ที่นี่มีห้องแสดงภาพ 21 ห้องเรียงรายกันไปทั้งสามชั้น โดยแต่ละชั้นมีพื้นที่ 50,000 ตารางฟุต ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการที่มีชื่อเสียงซึ่งช่วยขยายขอบเขตความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความรู้แขนงอื่นๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละเดือน สำหรับค่าเข้าชมนิทรรศการถ้าต้องการชมทุกนิทรรศการอยู่ที่ 37 ดอลล่าร์สิงคโปร์

การเดินทาง สถานีรถไฟ  Bayfront Station ออกทางออก  D และเดินต่ออีกประมาณ 7 นาที

ย่านไชน่าทาวน์ (China Town)

สิงคโปร์ ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีการผสานวัฒนธรรม ศาสนาหลากหลายเข้าด้วยกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน หากชื่นชอบวัฒนธรรมสิงคโปร์เหมาะแก่การเยี่ยมชมเป็นอย่างมาก

เริ่มต้นจากย่านไชน่าทาวน์  ย่านชาวจีนที่ใหญ่สุดและเป็นย่านที่คักคักมากสุดในสิงคโปร์ เนื่องจากเต็มไปด้วยร้านค้า ของฝาก ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก และเป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันของคนหลากเชื้อชาติ และหลากหลายความเชื่อ

ย่านนี้ประกอบด้วยทั้ง วัดฮินดู  วัดพุทธ  มัสยิด  นอกจากศาสนสถานที่กระจายอยู่บริเวณย่านนี้แล้วสิ่งที่น่าสนใจ คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง หรือภาพสตรีทอาร์ตที่อยู่บนกำแพงของบ้านเรือนในย่านไชน่าทาวน์ที่มีความสวยงาม น่าสนใจไม่แพ้กัน

ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้เป็นผลงานของศิลปินชื่อดัง Yip Yew Chong และคนอื่นๆ โดยบอกเล่าเรื่องราวในอดีต และความเป็นชุมชนจีนได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างผลงานเช่น Old Trades ซึ่งอยู่บนผนัง หัวถนน Mohamed Ali Lane  อย่าพลาดลองกินง ร้านข่าวมันไก่ Tian Tian Chicken Rice และ ร้านขนมปังสังขยาแบบดั้งเดิม Ya Kun Kaya Toast ที่ย่านนี้ได้

การเดินทาง เริ่มต้น สถานีรถไฟใต้ดิน  MRT Chinatown Station ทางออก A

วัดศรีมาริอัมมันต์ (Sri Mariamman Temple)

หากคุณเดินไปมา บริเวณย่านไชน่าทาวร์ คุณก็จะเป็นวัดฮินดูเก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์วัดหนึ่งนั่นก็คือวัดศรีมาริอัมมันต์

ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2370 อายุกว่าร้อยปี เพื่ออุทิศให้กับพระศรีมาริอัมมัน หรือ พระแม่อุมาเทวี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ สันติสุข และความงดงาม โดยมีความเชื่อว่าสามารถช่วยปกปักษ์รักษาผู้คนให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทำให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมแรงศรัทธาของชาวฮินดูในสิงคโปร์

จุดเด่นของวัดแห่งนี้ คือ ความสวยงามของรูปแกะสลักจำนวนมาก มีซุ้มทางเข้าที่เรียกว่า โกปุรัม ที่วิจิตรงดงามอลังการ ช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนของทุกปี จะมีเทศกาลใหญ่เรียกว่า  “เทศกาลทิมิติ” หรือ เทศกาลลุยไฟ

วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple)

หนึ่งในสถานที่ขอพร แก้ปีชง เสริมดวง ที่นิยมของผู้ใหญ่ โดดเด่นด้วยอาคารสีแดงสด ถอดแบบจากสถาปัตยกรรมจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ภายในเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทันตธาตุ หรือ ฟันของพระพุทธเจ้าถูกบรรจุอยู่ในสถูปทองคำ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัด

แบ่งเป็นทั้ง 4 ชั้น มีทั้งพิพิธภัณฑ์ หอสมุด วัตถุโบราณชิ้นสำคัญของวัด โดยพระทันตธาตุจัดแสดงอยู่ชั้น 4 จากนั้นจะมีชั้นนดาดฟ้าอีกชั้นที่สวนดอกไม้สวยงาม และระฆังยันต์ใบใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง บนตัวระฆังนั้นมีคำย่อสั้นๆ ของบทสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

การเดินทาง สถานีรถไฟใต้ดิน  MRT Chinatown Station ทางออก A

สถานีตำรวจถนนโอลด์ฮิลล์ (Old Hill Street Police Station)

อาคาร 6 ชั้นที่มีการทาสีสันสะดุดตาแห่งนี้เคยใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษ และเป็นที่ตั้งสถานีตำรวจของกองกำลังตำรวจสิงคโปร์ตั้งอยู่ที่ Hill Street ภายใน Downtown Core ใน Central Area ของสิงคโปร์ อาคารมีหน้าต่างทั้งหมด 927 บาน และทาสีด้วยสีรุ้ง

บางคนอาจสังเกตเห็นว่าแม้หน้าต่างสี่ชั้นแรกจะมีสีสันสดใส แต่ความเข้มของสีจะค่อยๆ เข้มขึ้นบนในชั้นด้านบนเพื่อเน้นระเบียงที่มีคานยื่นออกมา ซึ่งเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจของอาคารประวัติศาสตร์หลังนี้

การเดินทาง สถานีรถไฟใต้ดิน  MRT Clarke Quay

ย่านคลาร์กคีย์ (Clarke Quay)

ย่านนี้เรียกได้ว่าเป็นย่านที่คึกคักและชื่อเสียงแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะมีความคึกคักเป็นพิเศษตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงตอนกลางดึก ตั้งอยู่ริม 2 ฝั่งของแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River) โดยมีสะพานคนเดินที่ชื่อว่า สะพาน Read Bridge หรือสะพานมาละกา (Malacca Bridge) เป็นตัวเชื่อม

ในอดีตเป็นย่านโกดังเก็บสินค้าที่รับมาจากเรือลำเลียงเล็กๆ ที่เรียกกันว่า BumBoat ปัจจุบันท่าเรือแห่งนี้ปรับเปลี่ยนให้เป็นห้างสรรพสินค้า, ศูนย์รวมของร้านอาหารแบบกินดื่มที่ผ่อนคลายสำหรับทั้งชาวสิงคโปร์และนักท่องเที่ยว

การเดินทาง’ ทางเดินริมน้ำที่ย่าน Clarke Quay จะอยู่ข้างหลังตึก Clarke Quay Central ที่ติดกับสถานีรถไฟใต้ดิน MRT Clarke Quay Station

 อุโมงค์ต้นไม้ สิงคโปร์ (Fort Canning Park Tree Tunnel)

ภาพมุมเงยที่เห็นแสงสีเหลืองทองร่ำไรผ่านต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ที่มองย้อนขึ้นไปจากบันไดวน เป็นความลงตัวของการออกแบบทางสถาปัตยกรรมอย่างหนึ่ง ความสวยงามของแสง เลย์เอาท์ ที่ลงตัวจนทำให้อุโมงค์ใต้ดินเชื่อมกับสถานีรถไฟใต้ดิน Dhoby Ghaut ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิง (Fort Canning Park) กลายจุดหมายปลายทาง เช็คอินของเหล่าผู้คนออนไลน์แห่งนี้  

สำหรับสวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิง เดิมเคยเป็นเขตพระราชฐานของกษัตริย์มาเลย์ที่ปกครองเกาะนี้ สวนนี้เป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์ของประเทศ และมีบทบาทสำคัญมากมายเคยเป็นที่พักของผู้นำแห่งยุคล่าอาณานิคมตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ขณะเดียวกันก็เป็นที่ตั้งของสถานตากอากาศอันโอ่อ่าของอดีตกษัตริย์ในอาณาจักรมัชปาหิต (Majapahit) ด้วยในปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถชมการขุดค้นทางโบราณคดี ร่องรอยอดีตจากสมัยอาณานิคมอังกฤษ และสุสานของผู้ปกครองชาวมาเลย์ในอดีต

การเดินทาง จากสถานีรถไฟใต้ดิน MRT Dhoby Ghaut ทางออก B ไปยัง Fort Canning Park เดิน 5 นาที

ไชมส์ (Chijmes)

ไชมส์ โบสถ์สีขาวแบบกอธิคสไตล์อังกฤษ-ฝรั่งเศสสร้างในปี ค.ศ. 1904 เดิมทีเป็นโรงเรียนสตรีที่ชื่อว่า Convent of the Holy Infant Jesus Middle Education School หรือชื่อย่อๆคือ Chijmes ปัจจุบันที่นี่ไม่ได้เป็นโรงเรียนแต่เป็นสถานที่รับจัดงานแต่งงานที่งดงามและเป็นที่นิยมที่สุดของสิงคโปร์ หลายคนอาจรู้จักสถานที่นี้จากภาพยนตร์เรื่อง Crazy Rich Asians

ความสวยงามของสถานที่ งานปูนปั้น จิตรกรรมฝาผนัง หน้าต่างกระจกสี น้ำตกหินอ่อน ลานกว้าง สวนสีเขียว อาคารพื้นที่จัดกิจกรรม และพื้นที่รับประทานอาหาร ได้รับการออกแบบในสไตล์นีโอคลาสสิก ที่อยู่ล้อมรอบทำให้ที่นี่เป็นเสมือนโอเอซิลของเมืองเหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ

การเดินทาง จากสถานีรถไฟใต้ดิน MRT Bras Basah แล้วออกทางออก B  หรือ MRT City Hall ออกทางออก A

โรงแรมราฟเฟิลส์ (Raffles Hotel) สิงคโปร์

โรงแรมราฟเฟิลส์ อาคารสไตล์โคโลเนียแห่งนี้ เป็นโรงแรมหรูในย่านดาวน์ทาวน์หลักเขตของสิงคโปร์ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสิงคโปร์ และสะท้อนประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมได้ดีที่สุดก่อตั้งโดยผู้ประกอบการโรงแรมชาวอาร์เมเนีย Sarkies Brothersในปี พ.ศ. 2430 โรงแรมแห่งนี้ได้รับการตั้งชื่อตามรัฐบุรุษชาวอังกฤษท่านเซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles) เซอร์โทมัสสแตมฟอร์ดราฟเฟิลส์ผู้ก่อตั้งสิงคโปร์ในยุคอาณานิคม

โรงแรมมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ให้มีความสอดคล้องกับสภาพอากาศเขตร้อนและไลฟสไตล์ในแต่ละยุคสมัย บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนเคยเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2  นักแสดงชาลี แชปลิน เป็นต้น เรียกได้ว่าโรงแรมแห่งนี้เป็นตัวแทนของมรดกล้ำค่าและความสง่างามของสิงคโปร์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน สำหรับราคาห้องพักต่อคืนอยุ่ที่ประมาณ 1,100 ดอลล่าร์สิงคโปร์ (หรือประมาณ 30,000 บาท)

การเดินทาง สถานีรถไฟใต้ดิน MRT Esplanade เป็นสถานีที่ใกล้ที่สุด

น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง  (Fountain of Wealth)

เป็นน้ำพุขนาดใหญ่ สูง 13.8 เมตรที่ได้รับการบันทึกใน Guinness Book of Records ว่าเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี 1988 เป็นจุดรับพลังฮวงจุ้ยที่ดีที่สุด ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกลุ่มอาคารซันเทค ซิตี้ (Suntec city)อาคารทั้งห้าที่อาคารที่ว่ากันว่าออกแบบตามหลักฮวงจุ้ยทุกประการนั้นเปรียบเสมือนนิ้วทั้ง 5

โดยมีน้ำพุแห่งนี้เป็นเสมือนกลางฝ่ามือที่เป็นจุดศูนย์รวมของพลังงาน ว่ากันว่า หากใครได้สัมผัสน้ำในน้ำพุแห่งนี้ ก็จะมีโชคลาภ มั่งคั่ง ร่ำรวย รวมถึงโชคดีตลอดปีและตลอดไป วิธีการขอพร คือ ให้เอามือขวาสัมผัสสายน้ำ และ อธิษฐาน 1 ข้อ (ขอให้ตัวเราเอง) จากนั้น เดินวนตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ เชื่อว่าคำอธิฐานจะเป็นผล

การเดินทาง :สถานีรถไฟใต้ดิน MRT สถานี Esplanade ทางออก A หรือ MRT สถานี Promenade ทางออก C

ห้องสมุด library@orchard

ห้องสมุดแห่งนี้ เปิดครั้งแรกปี 2014 เป็นห้องสมุดสาธารณะภายใต้ National Library Board of Singapore library @ Orchard ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า Orchard Gateway Shopping ชั้น 3 และ ชั้น 4  บนถนน Orchard ในพื้นที่ตอนกลางของสิงคโปร์ ด้วยการออกแบบทันสมัย ผสมผสานกับศิลปะที่แตกต่างจากห้องสมุดธรรมดาทั่วไป

ภาพของชั้นวางหนังสือสีขาว เป็นรูปแนวโค้งคล้ายคลื่น เรียก ได้ว่าเป็นจุดเด่นของที่นี่ก็ว่าได้ ที่นี่มีหนังสือกว่า 100,000 เล่มทุกแขนงให้เลือกอ่าน เน้นไปทางออกแบบ ดีไซน์ แต่โดยพื้นฐานที่นี่คือ ห้องสมุด ดังนั้น หากเข้ามาใช้บริการไม่ว่าจะอ่านหนังสือหรือถ่ายรูป ไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น

การเดินทาง  สถานีรถไฟ MRT Somerset

เมอร์ไลออน พาร์ค (Merlion Park)

เมอร์ไลออน เป็นรูปปั้นกึ่งสิงโตกึ่งปลาที่เป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์แห่งนี้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์ มีสูง 8.6 เมตรและหนัก 70 ตัน และพ่นน้ำออกมาอยู่เสมอ

สำหรับส่วนลำตัวของ Merlion ที่เป็นปลาเป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายของสิงคโปร์ในฐานะหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า Temasek (เทมาเส็ก) ซึ่งมีรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า ทาสิก (แปลว่า “ทะเลสาบ” ในภาษามาเลย์) หัวเป็นตัวแทนของชื่อดั้งเดิมของสิงคโปร์ คือ สิงหะปุระ หรือ เมืองสิงโต ในภาษามาเลย์

การเดินทาง สถานีรถไฟ  MRT Raffles Place station ทางออก H และเดินประมาณ 10 นาที

ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ (Universal Studios Singapore)

สวนสนุกที่ตั้งอยู่ในรีสอร์ทเวลิ์ดซานโตซ่า (Resorts World Sentosa)  หนึ่งในหกสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ทั่วโลก สำหรับที่นี่แบ่งออกเป็น 7 โซน ประกอบด้วย Hollywood, New York, Sci-Fi City, Ancient Egypt, Lost World, Far Far Away และ Madagascar

แต่ละโซนก็จะมีเครื่องเล่นที่ธีมที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นและโชว์ต่างๆ ตามธีมของภาพยนตร์ หรือแอนิเมชั่นดัง ไม่ว่าจะเป็นไดโนเสาร์สุดคลาสสิคยอดฮิตตลอดกาลอย่าง จูราสสิคปาร์ค (Jurassic Park) ที่สุดแห่งหุ่นยนต์ของโลกอนาคตแบบ ทรานฟอร์เมอร์ (Transformers) เป็นต้น

การเดินทาง หากใช้รถไฟฟ้า นั่งมาที่สถานี Harbour Front Station แล้วเดินต่อมายังห้างสรรพสินค้า Vivo ตามป้าย Sentosa Express มายังชั้นบนสุดของห้าง จากนั้นก็โดยสารรถไฟ Sentosa Express มายังสถานี Waterfront station  บนเกาะ Sentosa

แม้สิงคโปร์จะเป็นเกาะเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่พักผ่อน อาหารและวัฒนธรรมประเพณีที่หลากหลายเหมาะกับการท่องเที่ยวทั้งแบบเดี่ยว แบบกลุ่ม คู่รัก ครอบครัว ประกอบกับการเดินทางที่แสนสะดวกสบาย ใช้เวลาเพียงไม่น้อย คุณก็สามารถใช้เวลาของครอบครัวในวันหยุดสัปดาห์ได้ที่สิงคโปร์

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0