Spicy Mexico

ว่าด้วยเมืองเม็กซิโก สำหรับคนอื่นสิ่งที่นึกถึงวิ่งรี่นำมาก่อนเรื่องอื่นๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องของอาชญากรรมที่ขึ้นชื่อ (ไม่ดี) ว่ากันว่า ที่นี่มักจะโดนอุ้มไปเรียกค่าไถ่กันง่ายๆ แต่สำหรับผมที่เชื่อว่าอยู่ไหน คุณก็เผชิญอันตรายไม่แพ้กัน ดังนั้นถ้าพูดถึงเม็กซิโก สองสามสิ่งที่วิ่งรี่เข้ามาในหัวผม แบบสูสีคู่คี่อย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน ก็คือ “ทาโก้ (Taco)” ของว่างรสชาติจัดจ้าน

ต่อด้วย “ตอร์ติญา (Tortilla)” แผ่นแป้งที่เสมือนอาหารหลักอย่างข้าวบ้านเรา

ตามติดมาด้วยพิพิธภัณฑ์ให้เยี่ยมชมมากกว่า 150 แห่ง หอศิลป์ที่จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยกว่า 100แห่ง และ สถานที่รุ่งเรืองด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์กว่า 30 แห่ง ที่ทำให้คนชื่นอบการเสพงานศิลป์ ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์อย่างผม หลงใหลอย่างโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว ปิดท้ายที่ขาดไม่ได้ด้วย “เตกีลา (Tequila)” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดีกรีแรงที่คุณไม่ควรพลาด

หากมาเม็กซิโก เอาแค่ที่เมืองหลวงเม็กซิโกซิตี้ มีร้านอาหารมากกว่า 50,000 ร้าน เป็นร้านขายทาโก้ ตอร์ติญาและเตกีลา กว่า 10,000 ร้านให้เราได้เลือกลิ้มชิมรสได้อย่างไม่อั้นแต่แม้ว่าอาหารเม็กซิกัน จะขึ้นชื่อเรื่องของรสชาติที่จัดจ้าน แต่อากาศของที่นี่ค่อนข้างสบายไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป สามารถเดินทางท่องเที่ยวอย่างสบายได้ตลอดทั้งปี อาจจะมีหงุดหงิดบ้างในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ที่มีฝนตกมากกว่าเดือนอื่น แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่รำคาญใจจนไม่อยากไปเที่ยวเม็กซิโกเอาเสียเลย

การเดินทางของผมเริ่มต้น ที่จัตุรัสกลางเมืองอย่างจัตุรัส โซกาโล่ (Zocalo) เฉกเช่นกับหลายคน อารมณ์ของจัตุรัสก็ละม้ายคล้ายกับสนามหลวงบวกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นศูนย์กลางแห่งสถานที่ท่องเที่ยว ใจกลางเมืองมีพื้นที่ 57,600 ตร.ม. (240 ม. × 240 ม.)

รอบๆ จัตุรัสก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักไม่ว่าจะเป็น ทำเนียบรัฐบาล (Palacio Nacional) ที่มีความโดดเด่นในเรื่องภาพเขียนฝาผนัง บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์กว่าหลายร้อยปีของเม็กซิโก ตั้งแต่ยุคแอซเทกส์ (The Aztecs) มาจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ผลงานของดิเอโก้ ริเวอรา (Diego Rivera) สามีของฟรีด้า คาฮ์โล (Frida Kahlo) ศิลปินหญิงโด่งดังของเม็กซิโกภาพเหล่านี้ใช้เวลาวาดถึง 22 ปี เนื่องจากเป็นเรื่องราวของเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ตั้งแต่ประกาศอิสรภาพจากสเปนเรื่อยๆ มา จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นว่าคนเม็กซิกันจะสนใจดูอย่างจริงจัง นอกจากนั้นหากมองเข้าไปในห้องต่างๆ ของทำเนียบรัฐบาล จะได้เห็น เฟอร์นิเจอร์โบราณ การตกแต่งแบบโคโลเนียลและศิลปะของสะสม มากมายเต็มไปหมด ก่อนเข้าจะต้องมีตรวจกระเป๋า กับตรวจเอกสารเดินทาง พาสปอร์ตก่อน และมีไกด์อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ตามจุดต่างๆ

ใกล้กันนั้น เดินแค่ 5 นาทียังมีสิ่งก่อสร้างการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์บาโรก และนีโอคลาสสิก ที่ใช้เวลาในการก่อสร้างมากกว่า 300 ปีที่น่าสนใจ นั่นก็คือ โบสถ์ Cathedral Metropolitan มหาวิหารขนาดใหญ่และสำคัญ เป็นอันดับต้นๆ ของทวีปอเมริกาเหนือ เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวลาตินอเมริกาถ้าเราแหงนมองดูหลังคาทรงโดมในส่วนปีกของโบสถ์ จะเห็นถึงรูปปั้นที่แสดงถึง ความหวัง ความศรัทธา และความรักอยู่ โบสถ์แห่งนี้เคยถูกทุบทำลาย และสร้างขึ้นเป็นมหาวิหารแห่งใหม่บนตำแหน่งเดิมเหนือพีระมิด แห่งดวงอาทิตย์ของชาวแอซเทกส์ แม้ว่าสภาพโบสถ์จะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่เราก็จะสังเกตเห็นเค้าโครงความงดงามที่ซ่อนอยู่ มหาวิหารสามารถเยี่ยมชมได้ฟรีทุกวันตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น บางครั้งจะเปิดให้ขึ้นชมหอระฆังด้านบน ซึ่งคุณจะเห็นวิวมุมสูงของเมืองเม็กซิโกได้อย่างเต็มตา

ถัดจากโบสถ์ไปก็เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสถานที่ประกอบพิธีกรรมของชนเผ่าแอซเทกส์เรียกว่า Templo Mayor (The Teocalli of Tenochtitlan) ว่ากันว่าที่นี่เดิมเป็นเมืองหลวงเก่าของเผ่าแอซเทกส์ โดยสถาปัตยกรรมที่มีรูปร่างคล้ายพีระมิดแห่งนี้สร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งสงครามแห่งดวงอาทิตย์ (Huitzilopochtli) และเทพเจ้าแห่งสายฝนและความอุดมสมบูรณ์ (Tlaloc) โดยพีระมิดถูกสร้างซ้อนทับๆ กันเป็นชั้น ประมาณ 7 ชั้นแม้ว่าจะถูกทำลายในยุคสมัยล่าอาณานิคมของสเปน แต่ด้านใต้พีระมิด ยังพบรูปปั้นของเทพเจ้าที่มีความสมบูรณ์อยู่เป็นจำนวนมาก ภาพเขียนบางชิ้นยังคงสีสันที่งดงาม การเข้าชม สถานที่และพิพิธภัณฑ์เสียค่าเข้าชมประมาณ 100 กว่าบาทเท่านั้น

แต่คุ้มค่ามาก โรงละคร Alameda and Palacio de Bellas Artes (Palace of Fine Arts) อาคารจัดแสดงงานนิทรรศการและการแสดงต่างๆ ข้อดีของที่นี่คือ เข้าฟรี และสามารถถ่ายรูปด้านในได้ด้วย ด้านนอกของอาคารเป็นสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) เป็นแบบกรีก โรมัน เห็นหลังคาโดมทองเด่น แต่ด้านในเป็นอาร์ตเดโค (Art Deco) เป็นงานออกแบบที่รวมรูปแบบมาจากหลากแหล่งหลายสไตล์ ใช้เส้นโค้งและเส้นตรงเรียบง่ายแต่แข็งแรง พื้นที่โถงกว้างขวาง สว่างไสวไปด้วย แสงธรรมชาติที่ส่องลอดกระจกเข้ามา มีการจัดแสดงงานศิลปะแทรกตัวอยู่ และในช่วงค่ำ ก็มีการจัดแสดงละครโอเปร่า รวมไปถึงดนตรีคลาสสิกดนตรีพื้นเมือง ของเม็กซิกัน ให้ได้ชมกัน ความพิเศษของโรงละคร อยู่ที่ม่านบนเวที ซึ่งผลิตโดยบริษัท Tiffany’s ในกรุงนิวยอร์กและทำจากกระจกสี เกือบหนึ่งล้านชิ้น รวมถึงภาพจิตรกรรม Valley of Mexico และภูเขาไฟทั้งสองด้วย ทางโรงละครเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวชมม่านบนเวทีทุกวันในช่วง เวลาทำการ พร้อมบริการไกด์ฟรีอีกเช่นกันเมื่อ

คุณเดินไปตามถนน Paseo de la Reforma ก็จะพบกับอีกหนึ่งในแลนด์มาร์กของเม็กซิโกซิตี้ คือ Monumento a la Independencia หรือ Angel of Independence : รูปปั้นสัญลักษณ์นางฟ้าแห่งเสรีภาพสีทองอร่าม ตั้งบนอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่อนุสาวรีย์แห่งนี้ถือเป็นเครื่องสดุดีแด่วีรบุรุษแห่งสงคราม เรียกร้องอิสรภาพของชาวเม็กซิโกต่อสเปน โดยถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประกาศอิสรภาพครบรอบหนึ่งร้อยปีของเม็กซิโก เมื่อปี ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) ฐานเป็นวงกลม ส่วนแท่งเสาหินสี่เหลี่ยมและฐานทรงลูกบาศก์เป็นที่ตั้งของรูปปั้น Enrique Alciati จำนวน 4 องค์ ตัวแทนของความยุติธรรม, กฎหมาย, สันติภาพ และสงคราม ใต้ฐานของอนุสาวรีย์เป็นที่เก็บศพที่บรรจุ ส่วนที่เหลืออยู่ของวีรบุรุษแห่งการปฏิวัตินับสิบคนเม็กซิโกตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ

ตรงกลางมีแท่งเสาแบบคอรินเทียนสูงตระหง่านบนยอดเสามีเทพธิดากรีก ไนกี้ หรือ ปีกแห่งชัยชนะ ยืนอยู่ที่ระดับ 115 ฟุต (35 เมตร) เหนือพื้นถนน ผมแนะนำให้คุณมาชม ตอนกลางคืนถ้ามีโอกาสเพราะหินชิลูกา (Chiluca) ที่ใช้สร้างเป็นแท่งเสานี้ จะสะท้อนแสง ระยิบระยับงดงามราวกับเทพธิดาไนกี้สีทองนั้นกำลังจะโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเลยทีเดียว สำหรับคนที่ชื่นชอบวิว 360 องศาในมุมเบิร์ดอาย การขึ้นไปชมวิวของเมืองหลวง อย่างเม็กซิโกซิตี้บนดาดฟ้าของอาคาร Torre Latinoamericana จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ตึกที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ยุคใหม่ของเม็กซิโก ออกแบบตามยุค 1960 และเป็นตึกระฟ้าแห่งแรกของเม็กซิโกซิตี้ เมื่อคุณขึ้นไปด้านบน คุณเห็นว่าเม็กซิโกซิตี้มีความงดงามที่แทรกอยู่ในแต่ละมุมเมือง แม้ว่าใครจะว่าอันตราย ไม่น่าเที่ยว แต่สำหรับผมแล้วเม็กซิโก ก็คงยังเป็นหนึ่งในรายชื่อเมืองที่มาแล้ว ต้องมาอีกแน่นอน

สกุลเงิน : เม็กซิกันเปโซ (MXN) มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 MXN ~ 2.5 THB
ภาษาราชการ : ภาษาสเปน
เวลา : GMT-6 หรือช้ากว่าประเทศไทย 13 ชั่วโมง ในช่วงปลายเดือน ต.ค. – ต้นเดือน เม.ย. ส่วนในช่วงต้นเดือน เม.ย. – ปลายเดือน ต.ค. จะช้ากว่าประเทศไทย 12 ชั่วโมง เพราะมีการปรับ เวลาสำหรับฤดูหนาวเพื่อให้ได้รับแสงอาทิตย์ยาวนานขึ้นในช่วงเย็น

ชาวไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดา จำเป็นต้องขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าประเทศเม็กซิโก ทั้งนี้หาก ท่านมีวีซ่าสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว ท่านสามารถเดินทางเข้าเม็กซิโกได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่าเม็กซิโกอีก โดยสามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 180 วัน หากท่านประสงค์ที่จะขอวีซ่าเม็กซิโก กรุณาติดต่อ สถานเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำประเทศไทย

การเดินทางจากประเทศไทยมาเม็กซิโกนั้นไม่ได้มีราคาสูงมากอย่างที่คิด โดยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1,100 เหรียญสหรัฐฯ ไปจนถึงสามพันเหรียญ การเดินทางนั้นมีสองวิธี คือผ่านมาทางสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่มีราคาถูกกว่าผ่านมาทางยุโรปมาก ปัจจุบันมีสายการบินหลายสายที่เริ่มเปิดเส้นทางมายังเม็กซิโก ทำให้การเดินทางจากไทยมาที่นี่สะดวกขึ้นมาก เช่น China Southern Airline หรือสายการบิน Aeromexico ของเม็กซิโกเองก็เริ่มเปิดเส้นทางบินตรงจากเม็กซิโกไปยังเซี่ยงไฮ้และโตเกียวแล้วด้วย

การเดินทางภายในเมืองหลวง เม็กซิโกซิตี้ สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินที่เก็บค่าโดยสารแค่ 5 เปโซ หรือประมาณ 13 บาท ตลอดสาย หากต้องการเรียกแท็กซี่ให้เรียกที่จุดจอดรถแท็กซี่ เพื่อความปลอดภัย และหลีกเลี่ยงการเดินทางคนเดียวในที่เปลี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกาลในร้านอาหาร มีธรรมเนียมการให้ทิปประมาณ 10-15% กรุณาตรวจสอบในใบเสร็จว่าร้านอาหาร ได้รวมค่าบริการไปแล้วหรือยัง นอกจากนี้ บริการอื่นๆ ก็มีธรรมเนียมการให้ทิปเช่นกัน เช่น ทิป สำหรับยามในที่จอดรถ และทิปสำหรับพนักงานขนสัมภาระในโรงแรม เป็นต้น


Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0