ไต้หวัน ท่วงทำนองแห่งความสุข
เรื่องและรูปโดยทีมงาน Vacationist
15 องศา (ที่รู้สึกเหมือน 10 องศาเซลเซียส) เป็นอุณหภูมิได้หวัน บริเวณสนามบินนานาชาติเถาหยวน (Taoyuan International Airport : TPE) ต้อนรับแขกที่มาเยือนในวันนี้
คนที่มาจากเมืองร้อน 29 องศาแต่รู้สึกเหมือน 32 องศาเซลเซียสทุกวันอย่างฉันรู้สึกเย็นจนต้องกระชับเสื้อคลุมที่ใส่อยู่เข้าอีกนิด อาการตื่นเต้นกับการได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศของไต้หวันที่ห่างหายไปนาน ทำให้มีรอยยิ้มประทับใบหน้าของผู้ร่วมเดินทางแทบทุกคน แม้ว่าสายฝนจะเริ่มโปรยปรายตามมา แต่เราก็ยินดีที่ได้กลับมาไต้หวันอีกครั้ง
The best thing one can do when it’s raining is to let it.
สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้เมื่อฝนตก คือ การปล่อยให้มันเป็นไป
การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้บริการ สายการบิน STARLUX Airlines อีกหนึ่งสายการบินระหว่างประเทศ สำหรับเส้นทางกรุงเทพฯ ไต้หวัน ให้บริการด้วยเครื่อง Airbus A330-900 (twin-jet) (A339) ทั้งขาไปและขากลับ เที่ยวบินขาไป (JX742) จากกรุงเทพฯ ไปไต้หวัน เครื่องขึ้นตามกำหนดเวลาประมาณ 14.50 น. ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ก็เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเถาหยวน ส่วนเที่ยวบินขากลับเป็นช่วงเช้า (JX741) เวลาประมาณ 10.50 น. เดินทางถึงไทยเวลาประมาณ 13.30 น. ใช้เวลาประมาณ 3.40 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แบบไม่รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางเลย
ความพิเศษของสายการบินนี้ อันดับแรก เป็นสายการบินที่เพิ่งจะเปิดใหม่ทำให้ภายในเครื่องบินและบรรยากาศโดยรอบสดใสเป็นพิเศษ ประกอบกับช่วงเวลาเดินทางของฉันเป็นช่วงกลางวันทั้งขาไปขากลับ ทำให้ฉันและผู้ร่วมเดินทางทุกคนดูตื่นตัวเป็นพิเศษ สิ่งหนึ่่งที่ประทับใจฉัน คือ มีสัญญาณอินเตอร์เนตให้บริการแบบไม่มีค่าใช้จ่าย (ในช่วงแรกของการดำเนินการ) ทำให้สามารถแจ้งข่าวสารการเดินทางให้ครอบครัว และเพื่อนๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
ที่สำคัญเที่ยวบินขากลับมากรุงเทพฯ ทางสายการบินเสิร์ฟไอศกรีมยี่ห้อดังอย่าง Ninao Gelato (ฉันได้รส Red Oolong Tea x Caramel Crunch) เนื้อไอศกรีมเนียน เย็นจัด อร่อยไม่แพ้อาหารที่เสริ์ฟมาก่อนหน้านั้นเลย
ราคาไปกลับไต้หวัน อยู่ที่ประมาณเก้าพันถึงหมื่นต้นๆ สามารถโหลดกระเป๋าได้ 1 ใบ น้ำหนักกระเป๋า 23 กิโลกรัมและสามารถแจ้งขอน้ำหนักเพิ่มได้ถึง 32 กิโลกรัม ถือขึ้นเครื่องได้ 1-2 ใบน้ำหนักรวม 7 กิโลกรัมตามมาตรฐานสายการบิน ถือได้ว่าสายการบิน STARLUX Airlines เป็นสายการบิน Full Service ที่น่าสนใจและเป็นทางเลือกของการเดินทางไปไต้หวันที่อยากแนะนำอีกสายการบินหนึ่ง
การเดินทางครั้งนี้ฉันจะเริ่มจากไทเป (Taipei) ไปต่อที่เมืองไถหนาน (Tainan) ก่อนจะไปสนุกสนานกับงานเทศกาลดนตรีที่เมืองเจียอี้ (Chaiyi) กับเทศกาลดนตรี Chiayi City International Band Festival
ความสุขจากธรรมชาติ
จากสนามบินเถาหยวน ฉันเดินทางต่อมาที่เมืองเป่ยโถว (Beitou) ไทเป สิ่งแรกและเป็นสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ทุกครั้งที่มาไต้หวัน คือ ความบริสุทธิ์ของอากาศและบรรยากาศที่รายล้อม
เช้าวันใหม่ของฉันที่เมืองเป่ยโถว เมืองเล็กที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อเกี่ยวกับด้านน้ำพุร้อน ฉันเองได้รับความรื่นรมย์ตั้งแต่ก้าวเข้าพักที่โรงแรม Sweetme Hotspring Resort (北投水美溫泉會館) ซึ่งเป็นที่พักคืนแรกของฉัน เพราะภายในห้องพักที่แสนอบอุ่นของฉันนั้นมีออนเซนส่วนตัว การได้แช่ผ่อนคลายจากการเดินทาง ก่อนเริ่มต้นทริปท่องเที่ยวเป็นอะไรที่รู้สึกสบายจนเกินบรรยายทีเดียว แต่สำหรับใครเดินทางมาแล้วไม่ได้จองห้องพักแบบมีออนเซนส่วนตัว ที่โรงแรมก็มีห้องออนเซนแบบรวมแยกชายหญิงให้บริการเช่นกันไม่ต้องน้อยใจไป
โรงแรมอยู่ในทำเลที่ดี นอกจากจะมีร้านค้า ร้านอาหาร รายล้อม ตรงกับข้ามกับโรงแรมเพียงเดินข้ามถนนไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็เป็นสวนสาธารณะเป่ยโถว (Beitou Park) ที่เราสามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ได้ทุกช่วงเวลา สวนแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานีซินเป่ยโถว (Xinbeito) ซึ่งถ้าเรามาจากตัวเมืองไทเป ให้นั่งรถไฟความเร็วสูงไต้หวัน (THSR) หรือรถไฟธรรมดา (TRA) ไปลงสถานี Taipei จากนั้นต่อรถไฟฟ้าไทเป (Taipei MRT) มาลงสถานี Xinbeitou แห่งนี้ได้ นอกจากสวนจะมีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง มีลำธารไหลผ่าน ต้นไม้ใหญ่ตั้งตะหง่านให้ความเขียวขจีร่มรื่นแล้ว ภายในสวนยังมีอาคารที่น่าสนใจหลายอาคาร ไม่ว่าจะเป็น
ห้องสมุดสาธารณะเป่ยโถว (Beitou Library)
อาคารห้องสมุดแห่งนี้เปิดให้บริการครั้งแรกปี 2006 ออกแบบโดยสถาปนิก KUO YING-CHAO และในปี 2012 ห้องสมุดเป่ยโถวถูกจัดอันดับโดยเว็บไซต์ Flavourwire.com ของสหรัฐอเมริกา เป็น 25 ห้องสมุดสาธารณะที่สวยที่สุดในโลก แถมเป็นห้องสมุดสีเขียว (Green library) แห่งแรกในไต้หวันที่ได้ใบรับรองให้เป็น Green Building หรือาคารสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม DIAMOND – RATED ภายใต้การรับรอง EEWH-Ecology, Energy Saving, Waste Reduction, And Health ของไต้หวัน ซึ่งเปรียบเสมือนการรับรอง LEED –Ledership in Energy and Environmental Design)
อาคารห้องสมุด นอกจากสวยงามแล้ว ยังทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมนวัตกรรมและการออกแบบเพื่อการประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระจกบานใหญ่เพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านให้ความสว่างแทนหลอดไฟ และสามารถเปิดกว้างเพื่อช่วยเรื่องการหมุนเวียนอากาศภายในอีกทาง บนหลังคามีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานให้ได้ 16,000 วัตต์หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ของการใช้พลังงานทั้งหมดของอาคาร น้ำฝนที่ไหลลงมาจากหลังคามาก็กักเก็บไว้สำหรับใช้ในห้องน้ำและรดน้ำต้นไม้ เป็นต้น ภายในมีหนังสือหลากหลายจำนวนมากมายกว่า 63,000 เล่มและมีมุมให้ได้พักผ่อนอีกหลายจุด
เดินมาอีกนิดใกล้กับห้องสมุด เป็นพิพิธภัณฑ์น้ำพุร้อนเป่ยโถว (Beitou Hot Spring Museum) อาคารสีส้มอิฐที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนสีเขียวสดแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 1913 เดิมเคยเป็นห้องอาบน้ำสาธารณะที่ใช้ชื่อ Hokuto Bathhouse ตั้งชื่อตามอาณานิคมญี่ปุ่นที่เข้ายึดครองไต้หวันอยู่ในขณะนั้น
ต่อมาหลังจากที่ญี่ปุ่นได้มอบไต้หวันคืนให้กับจีน อาคารแห่งนี้ได้ปิดลง และถูกทิ้งให้รกร้าง จนกระทั่งมีกลุ่มนักเรียนที่ไปทัศนศึกษาค้นพบในปี 1994 และได้มีการเข้ามาดูแลรักษา จนเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1998 ในที่สุด
อาคารหลังนี้มี 2 ชั้น ชั้นล่างที่เดิมเป็นบ่ออาบน้ำขนาดความกว้าง 6 เมตร ยาว 9 เมตร เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนั้น โดยรอบมองเห็นหน้าต่างกระจกสีสวยงามไม่ผิดจากในอดีต ความสวยงามนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความร่วมมือของชาวบ้านที่นำภาพในอดีตที่เคยมีมาให้ช่างตอนมีการบูรณะนั่นเอง
ส่วนชั้นที่สองก็จะเป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ พื้นที่สันทนาการ มีการจัดแสดงรูปภาพในอดีตและมีส่วนกิจกรรมให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วม ที่ฉันชื่นชอบมาเป็นพิเศษ คือส่วนที่ปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิแบบญี่ปุ่นแท้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสงบอย่างบอกไม่ถูก ที่นี่ให้เข้าฟรี แต่จะหยุดทุกวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
จากด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ เราเดินทางตามเส้นทางขึ้นเนินไปนิด ก็จะเป็นที่ตั้งของ
บ่อน้ำพุร้อนเป่ยโถว (Beitou Thermal Valley)
เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดของเมือง บ่อน้ำร้อนธรรมชาติจากภูเขาไฟขนาดใหญ่แห่งนี้ ยังคงมีความร้อนที่ครุกรุ่น แค่ยืนใกล้ๆ ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นกำมะถันและไอร้อนที่เกิดจากอุณหภูมิของน้ำในบ่อที่สูงกว่า 100 องศา
ส่วนน้ำสีเขียวมรกตที่มองเห็นก็ร้อนเกินกว่าที่เราจะลงไปแช่ได้ ทำได้เพียงชมเท่านั้น สำหรับวันไหนที่อากาศเย็นหรือฝนตกอย่างวันที่ฉันเดินทางไป ก็จะเห็นไอน้ำลอยหนาเหนือบ่อน้ำเป็นภาพที่สวยแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง
บ่อน้ำพุร้อนมีทางเดินที่เราสามารถเดินรอบๆ บ่อได้ เป็นลักษณะทางเดินวงกลมที่กลับมายังบริเวณจุดเริ่มต้น ระหว่างทางจะมีจุดนั่งพักและจุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ
ธรรมะ ศรัทธา ความเชื่อ
เมืองเป่ยโถวนอกจากจะเป็นแหล่งธรรมชาติที่สวยงามอย่างบ่อน้ำพุร้อนที่ฉันแวะไปแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมของผู้ที่สนใจศึกษาธรรมะอีกด้วย
อารามหนงฉาน (Nung Chan Monastery)
อารามหนงฉานเป็นสถานธรรมรุ่นบุกเบิกของวัดฝากู่ซัน (Fagushan Nongchan Temple) หรือที่รู้จักกันในชื่อวัดกลองธรรม (Dharma Drum Mountain) ตั้งอยู่ในเขตเป่ยโถว ไทเป ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1975 โดยพระอาจารย์ตงชู (Master Ven Dongchu) พระภิกษผู้คงแก่เรียนและพระอาจารย์เซิ่งเอี๋ยน (Master Sheng Yen) ผู้ก่อตั้งวัดฝากู่ซาน
ในยุคเริ่มต้นที่นี่มีเพียงโรงเรือนสูงสองชั้น 1 หลังเท่านั้น โรงเรือนนี้ปัจจุบันปรับปรุงเป้นอาคารแสดงนิทรรศการประวัติความเป็นมาของที่นี่ สำหรับผู้อยู่อาศัยในช่วงแรกนอกจากจะดำเนินชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมเป็นหลัก ยังทำเกษตรกรรม ปลูกผัก ทำสวน ใช้บริโภคในชีวิตประจำวันภายในวัดและแบ่งปันให้ประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง จนได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนในบริเวณรอบๆ และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วทั้งไต้หวัน ปัจจุบันมีการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางปฏิบัติธรรมสำหรับผู้ที่สนใจ
พื้นที่ของอารามแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบกวนตู้ (Gudndu) หันหน้าให้กับทางแม่น้ำและมีเขาต้าเถือน (Datun Mountain) อยู่ด้านหลัง อาณาบริเวณโดยรอบ มีจุดเด่นคือ สระบัวอยู่ด้านหน้าซึ่งผิวน้ำสะท้อนถึงอาคารหลัก เปรียบเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนเมฆและท้องฟ้า พระอุโบสถ และทางเดิน
อาคารหลักที่ตั้งอยู่เบื้องหลังของสระบัวขนาดใหญ่ ใช้โทนสีที่เรียบง่าย สื่อถึงหลักคิดของศาสนาพุทธนิกายเซน (ZENBUDDHISM) ชั้นหนึ่งของอาคารคือโถงขนาดใหญ่สำหรับนั่งปฎิบัติธรรม ทางซ้ายของอาคารบริเวณชั้นบน มีกำแพงไม้สลักเป็นอักษรจีน มีความหมายว่า “HEART SUTRA” เมื่อมีแสงส่องมายังตัวหนังสือจะทาให้พื้นที่โถงนี้มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ตัวหนังสือจะเปลี่ยนตามแสงที่ส่องมาเป็นเครื่องเตือนใจว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
ส่วนอีกจุดที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมจิดใจ ในเมืองนี้คือ
วัดเสียไห่เฉิงหวง (Xia Hai City God Temple)
วัดเสียไห่เฉิงหวง ตั้งอยู่บริเวณย่านเมืองเก่าต้าเต้าเฉิง (Dadaocheng) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1859 ภายในศาลเจ้าที่เก่าแก่มีเทพประดิษฐานอยู่มากมายหลายองค์ โดยพระประธานเป็นเทพเฉิงหวง (City God) ที่ย้ายมาจากมลทลฟูเจี้ยน (Fujian) ของประเทศจีนในยุคราชวงศ์ฉิง (Qing Dynasty) เป็นเทพคอยปกปักษ์รักษาเมือง
และที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงโจษจันกันในเรื่องการขอพรแล้วสัมฤทธิ์ผล นอกจากวัดหลงซานที่เป็นรู้จักในหมู่คนไทยและนักท่องเที่ยว
โดยเฉพาะด้านความรัก คนโสดก็มาขอเรื่องเนื้อคู่ ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็มาขอให้ชีวิตคู่ราบรื่นกับเทพเย่ว์เหล่า (Yue Lao) หรือเฒ่าแห่งดวงจันทร์ ผู้นำพาความรักมาให้
มีเรื่องเล่ากันว่า มีหญิงชาวญี่ปุ่นมาขอพร พากลับบ้านเมืองก็ได้แต่งงาน ทำให้นอกจากคนไต้หวัน คนญี่ปุ่นก็เดินทางมาที่นี่กันเป็นอย่างมาก โดยเครื่องรางที่นิยมมากที่สุดคือรองเท้าแห่งความสุขเชื่อกันว่าเมื่อซื้อรองเท้าแล้ว ให้นำไปวนที่กระถางธูป 3 รอบจากนั้นให้เอากลับไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าห้องนอน หันหัวรองเท้าเข้าหาตู้จะทำให้คู่ชีวิตไม่หนีไปไหน
ตลาดและเทศกาล เติมความสุข
หลังจากขอพรแล้ว ไปเดินเที่ยวที่ย่านเมืองเก่าต้าเต้าเฉิง ซึ่งตั้งอยู่บนถนนตี๋ฮว่า (Dihua Street) หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่อ Twatutia (การทับศัพท์ของภาษาฮกเกี้ยน Tōa-tiū-tiâⁿ) กันต่อ ถนนแห่งนี้เป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญในศตวรรษที่ 19 และยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และแหล่งช็อปปิ้งที่สำคัญ มีสินค้าจำหน่ายหลากหลายสไตล์ อาทิ เครื่องเซรามิคแบบโบราณ ชา เครื่องยาวัตถุดิบหรือเสื้อผ้าแบบจีน รวมไปถึงอาหารท้องถิ่นของไต้หวันอีกด้วย
สำหรับใครที่ไม่ใช่สายกิน แต่เป็นคนที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรม ชอบอาคารหรือตึกสวยๆแล้วล่ะก็ที่นี่ก็นับได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนที่ชื่นชอบก็ว่าได้ เนื่องจากเดิมที่นี่เป็นศูนย์รวมการค้าขายสำหรับคนหลากหลายเชื้อชาติมาก่อน ทำให้อาคารและตึกเก่าแก่ยามมีกลิ่นไอของของการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตกได้อย่างลงตัว
คุณจะเห็นสถาปัตยกรรมทั้งแบบฝูเจี้ยน, บารอก และญี่ปุ่นที่แทนที่จะถูกปล่อยทิ้งร้างให้เสื่อมโทรมไป แต่กลับได้รับการเปลี่ยนเป็นร้านค้า ร้านชา ตลอดแกลลอรี่แสดงงานศิลปะและสินค้าที่สร้างสรรค์สวยงามแปลกตา แต่ละร้าน แต่ละอาคารตกแต่งได้เข้ากับของเดิมและเข้ากับยุคสมัย แค่ได้เดินเล่นถ่ายรูปอาคารก็ถือว่าคุ้มสำหรับที่นี่
Christmasland in New Taipei City
ค่ำคืนที่สองของฉันพักที่โรงแรม Hotel Cham Cham Taipei 趣淘漫旅 ตั้งอยู่ใจกลางของเขตป่านเฉียว (Banqiao) ห้องอาหารเช้าเป็นห้องอาหารไทยที่ชื่อ Lotus Thai Cuisine ห้องพักสบายและอาหารเช้าหลากหลาย ที่พิเศษคือ ที่พักอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่จัดงาน Christmasland in New Taipei City ที่เรียกได้ว่าเป็น ดินแดนแห่งความสุขในวันคริสต์มาส เดินไปไม่ถึง 3 นาที
สำหรับงาน Christmasland in New Taipei City จัดแสดงไฟประดับหลากหลายสีสันแห่งนี้ จัดในพื้นที่ในเขตป่านเฉียว บริเวณ New Taipei City Plaza , Wanping Park, Banqiao Station Square, Fuzhong Shopping Area ของเมืองนิวไทเป
กิจกรรมปี 2022 จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 22 ถึงวันที่ 2 ม.ค.23 ในรูปแบบ Snow Town with White Romance เราจะเห็นรูปปั้นโอลาฟจากเรื่อง Frozen ใกล้ต้นคริสต์มาสสีขาวสูงประมาณตึก 3-4 ชั้น ยิ้มและโบกมือให้กับผู้ที่มางาน นอกจากการถ่ายรูปกับโอลาฟแล้ว ยังมีการฉายวิดีโอความสนุกของงานคริสต์มาสบนผนังศาลาว่าการเมืองนิวไทเปเป็นรอบๆอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีตัวละครจากดิสนีย์อีกมากมายที่พร้อมจะต้อนรับผู้มาเที่ยวงาน และยังมีเครื่องเล่นที่จะสร้างความบันเทิง การแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง ขบวนพาเหรดงาน ร้านขายสินค้าทำมืออื่นๆอีกมายมาย สามารถเช็คจุดที่จัดงานได้ตามรูปประกอบ
ความสุข ความสนุกจากอดีตสู่ปัจจุบัน
เช้าวันต่อมา เราขึ้นรถไฟ เดินทางต่อไปยังเมืองไถหนาน (Tainan) อีกหนึ่งเมืองสำคัญในภาคใต้ของไต้หวันมีเส้นทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานที่สุดแห่งหนึ่ง ที่นี่เราจะเห็นอาคาร สถานที่หลายแห่งที่มีร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ให้ได้ชม รวมไปถึงอีกหลายอาคารที่การปรับเปลี่ยนจากสถานที่ทิ้งร้างให้กลายเป็นสถานที่สร้างความสุขให้กับผู้ที่มาเยือน อย่างเช่นที่ หมู่บ้านวัฒนธรรมหอกลอง (Ten Drum Culture Village)
หมู่บ้านวัฒนธรรมหอกลอง (Ten Drum Culture Village)
ชื่อเต็มของที่นี่คือ Ten Drum Rende Sugar Culture and Creativity Park หรือ Ten Drum Cultural Village หมู่บ้านวัฒนธรรมที่มีพื้นที่กว่า 47 ไร่ เดิมทีเป็นโรงงานน้ำตาลที่สร้างขึ้นในช่วงยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น ต่อมาต้องปิดตัวลงเพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็โชคดีในปี 2005 Ten Drum Art Percussion Group ได้เข้ามาเช่าโรงงานร้างแห่งนี้ และจัดตั้งเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมหอกลอง (Ten Drum Cultural Village) ขึ้น โดยได้ปรับปรุงและเนรมิตโกดังของโรงงานน้ำตาลเก่า 16 หลัง ให้กลายเป็นสถานที่แห่งความสุขของทุกคนทุกวัย
ภายในอาคารแต่ละหลังมีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมฝึกตีกลอง กิจกรรมการชมโชว์การที่โรงละคร Tainan Dream Sugar Theater อันนี้อยากแนะนำมาก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที คุณจะได้เห็นความมหัศจรรย์ของจังหวะดนตรีที่ถูกรังสรรค์ด้วยกลุ่มศิลปิน Ten Drum บนเวทีภายในโรงงานเดิมที่ถูกปรับปรุงเป็นเวทีสุดแสนพิเศษอลังการ
แต่สำหรับคนที่ต้องการความท้าทายสามารถเดินขึ้นบันไดวน ไปเดินไต่หลังคาของโรงงาน
ด้านบนหลังคาของโรงงานมีบรรยากาศยามเย็นที่สวยงาม หนุ่มสาวไต้หวันมักมาถ่ายรูปลงอินสตราแกรมกันบ่อยๆ หรือจะเล่นเครื่องเล่นอย่างสไลเดอร์สูง 5 ชั้นเพื่อเพิ่มอะดีนาลีนก็ย่อมได้
ไม่เพียงเท่านั้น แทบทุกจุดไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ส่วนจัดแสดง บริเวณพักผ่อน ได้รับการตกแต่งให้เข้ากับโรงงานเดิมได้อย่างลงตัว เวลาเพียง 2 ชั่วโมงหรือครึ่งวันไม่พอสำหรับที่นี่ แนะนำให้เวลาสัก 1 วันเติมเต็มความสุขให้เต็มที่จะดีกว่า
ถ้ากำลังมองหาของฝากจากเมืองไถหนาน หรือของที่ระลึกแฮนด์เมดสุดพิเศษ ให้แวะไปที่
ห้างสรรพสินค้าฮายาชิ (Hayashi Department Store)
ห้างสรรพสินค้าฮายาชิ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไถหนาน ตั้งชื่อตามเจ้าของหรือผู้ก่อตั้งนั่นก็คือนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น Hayashi Houichi ซึ่งเปิดห้างสรรพสินค้าแห่งนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี 1932
ในอดีตห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวันและใหญ่ที่สุดในภาคใต้ ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันห้างที่มีความสูง 5 ชั้นแห่งนี้ ก็สามารถเรียกผู้คนหลากหลายมาเยี่ยมชมประวัติศาสตร์และความสวยงามที่ผ่านกาลเวลามาได้ตลอด
ความพิเศษอีกอย่างนอกจากประวัติศาสตร์ของห้าง คืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกของห้าง ไม่ว่าจะเป็นลิฟต์ของห้างฯ ที่สมัยนั้นเป็นลิฟต์ตัวแรกของเมือง เป็นระบบมือหมุนที่โดยสารเพียง 5 คนเท่านั้น ห้องน้ำก็เป็นแบบชักโครกซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีที่ไหนมี เรียกว่าเป็นศูนย์รวมความทันสมัยในยุคนั้น แต่น่าเสียดายที่ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ห้างแห่งนี้ได้ถูกทิ้งระเบิดทำให้บางส่วนเสียหาย (ชั้นบนสุดของห้างมีการเก็บร่องรอยความเสียหายให้เห็น) ทำให้ห้างถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานผลิตเกลือและถูกทิ้งไปช่วงหนึ่ง จนกระทั่งในปี 2013 ได้มีการปรับปรุง ซ่อมแซมโดยยังคงอนุรักษ์โครงสร้างสำคัญรวมถึงลิฟต์ของห้างฯ เอาไว้เหมือนในอดีต ก่อนจะเปิดให้สัมผัสถึงกลิ่นไอในวันเก่าๆ อีกครั้งในปี 2014
แนะนำให้เดินขึ้นบันได หรือรอขึ้นลิฟต์ที่มีตั้งแต่สมัยยุคเปิดห้างขึ้นไปด้านบนดาดฟ้า เพื่อชมวิวมุมสูงของเมือง และยังได้สักการะศาลเจ้าแบบญี่ปุ่น ที่มีเสาโทริอิ ซึ่งตั้งอยู่ด้านบนอีกด้วย
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เดินชมลงมาทีละชั้นจากบนสุด จะเห็นสินค้าต่างๆภายในห้างแต่ละชั้น ปัจจุบันเต็มไปด้วยสินค้าทำมือ (Hand Made) จากผู้ผลิตที่โดยมากจะ Made in Taiwan ซึ่งมีทั้งของฝาก ของที่ระลึก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า สินค้าเครื่องใช้ในบ้าน งานประดิษฐ์ งานฝีมือ งานแฮนดคราฟ (HandCraft) ที่น่ารัก สวยงาม สามารถเรียกเงินจากในกระเป๋าเราไปได้ไม่ใช่น้อย
ของขวัญจากธรรมชาติ
เป็นเช้าอีกวันของการเดินทางที่ฉันตื่นแต่เช้า พวกเราออกจากโรงแรม The Place Tainan ที่มีทำเลแสนสะดวก เมื่อคืนเชื่อว่าเพื่อนร่วมทางหลายคนจับจ่ายได้กันอย่างเต็มที่ เพราะที่พักของเราอยู่เชื่อมกับห้างสรรพสินค้า Taiwan Spinning (T.S.) Mall แบบเดินข้ามประตูก็เข้าห้างได้เลย หรือไม่บางคนก็คงส่งงานกัน เพราะห้องพักมีการจัดโต๊ะสำหรับทำงานที่แสนสะดวกสบายให้ กลับมาช่วงเช้านี้ ฉันตั้งนาฬิกาปลุกสองรอบเตรียมตื่นให้ทันเพื่อเดินทางไปสัมผัสกับของขวัญจากธรรมชาติของเมืองไถหนาน (Tainan) ชิ้นสำคัญ
อุโมงค์ต้นไม้สีเขียวซื่อเฉ่า (Sihcao Green Tunnel)
ย้อนไปเมื่อ 200 ปีที่แล้ว คลองที่เป็นเส้นทางธรรมชาติกลางป่าชายเลนของกว้าง 20 เมตรยาว 750 เมตรแห่งนี้ถูกใช้เพื่อขนส่งเกลือตากแห้งไปจัดเก็บในโกดัง ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไต้หวัน และนักท่องเที่ยวที่ต้องการศึกษาธรรมชาติที่ต่างเดินทางมาชมความสวยงามและมหัศจรรย์ของเส้นทางแห่งนี้ ผ่านการล่องเรือไปตามลำน้ำ
เส้นทางล่องเรือมี 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางล่องเรือไท่เจียง (Taijiang Boat Ride) เป็นเรือแบบมีหลังคาขนาดใหญ่ พาคุณออกไปที่ชายฝั่งเพื่อสำรวจแนวชายฝั่งของพื้นที่ชุ่มน้ำ ใช้เวลาประมาณ 70 นาที
ส่วนอีกเส้นทางคือ เส้นทางอุโมงค์ต้นไม้สีเขียวซื่อเฉ่า แบบที่ฉันที่เลือกใช้เวลาประมาณ 30 นาที ตลอดเส้นทางสองฟากฝั่งน้ำ เราจะเห็นต้นไม้สีเขียวขจีเติบโตสูงใหญ่ และโน้มเข้าหากันเป็นพุ่มเขียวทึบคล้ายอุโมงค์ต้นไม้ให้ความร่มรื่นและร่มเงาตลอดเส้นทาง เห็นความสมบูรณ์ของป่าโกงกาง ระบบนิเวศน์ นกหลายสายพันธุ์และพันธุ์ไม้หายาก
ด้วยความสวยงามและร่มรื่นทำให้อุโมงค์สีเขียวที่สวยงามแห่งนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำมากที่สุดในไถหนาน
จากเส้นทางล่องเรืออุโมงค์ต้นไม้สีเขียวซื่อเฉ่า สำหรับคนที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติมให้ไปที่ ศูนย์กลางการเรียนรู้ทางธรรมชาติไท่เจียง ได้ แต่ถ้าใครไม่ต้องการความรู้แน่นๆ ที่นี่ก็จุดถ่ายรูปสวยๆ ควรค่าแก่การแวะแน่นอน
ศูนย์กลางการเรียนรู้ทางธรรมชาติไท่เจียง (Taijiang National Park and Visitor Center)
อาคารสีขาวกลางน้ำ ที่กลายเป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของวัยรุ่นเมืองไถหนานแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่วิจัยเชิงอนุรักษ์ของนักวิจัยเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติไท่เจียง ที่นี่ยังเป็นพื้นที่ธุรการ สถานีตำรวจอุทยานแห่งชาติ หอพักสำหรับเจ้าหน้าที่ และศูนย์กลางการเรียนรู้ทางธรรมชาติที่ให้ข้อมูลรวมไปถึงสถานที่พักผ่อนแก่ชาวเมืองไถหนาน และนักท่องเที่ยว
ด้วยการออกแบบเชิงสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ตัวอาคารที่สร้างอยู่เหนือฟาร์มปลาเดิมตอบรับกับบริบททางธรรมชาติของพื้นที่ได้อย่างลงตัว มีการสร้างทางน้ำที่เชื่อมต่อกันเพื่อรวมฟาร์มปลาแต่ละแห่งในพื้นที่ให้เข้ากับระบบแม่น้ำไท่เจียงที่อยู่ใกล้เคียง ตัวอาคารแต่ละหลังออกแบบให้มีการระบายอากาศและลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาคารสีเขียวที่นอกจากสวยงามและยังมีประโยชน์มากมาย
ไม่ไกลจากศูนย์กลางการเรียนรู้ทางธรรมชาติไท่เจียง เป็น ภูเขาเกลือชีกู่ (Qigu Salt Mountains)
ในอดีตบริเวณเขตชีกู่ (Qigu) และเขตเจียงจวิน (Jiangjun) เคยเป็นนาเกลือที่ผลิตด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน ผลิตเกลือทั้งสำหรับบริโภคและใช้ในอุตสาหกรรม ที่นี่มีการผลิตเกลือเรื่อยมาโดยตลอดกว่า 338 ปี จนถึงปี ค.ศ. 2002 จึงเลิกไป เนื่องจากว่าต้นทุนการผลิตสูงกว่าการนำเข้าจึงไม่คุ้มทุนที่จะทำต่อ
เมื่อเลิกผลิตเกลือไปแล้ว เกลือที่มีการเก็บรวบรวมไว้ไม่มีการจำหน่ายก็กลายเป็นยอดเขาเกลือสูงประมาณตึกเกือบ 6 ชั้น แล้วก็กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ในธีมเกลือที่ไม่เหมือนใคร สำหรับกลุ่มนักเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศในเวลาต่อมา
แต่ด้วยช่วงเวลาที่ฉันไปนั้นสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจ เกิดพายุฝนและละอองดินทำให้ภูเขาเกลือสีขาวที่ควรจะเป็นกลายเป็นสีน้ำตาลจากฝุ่นผงแทน รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เราก็สามารถมองเห็นภาพความขาวของภูเขาเกลือได้จากห้องจัดแสดงประติมากรรมเกลือที่อยู่ใกล้ๆ กัน พร้อมกับเรียนรู้และสนุกสนานไปกับกิจกรรมที่มีในอาคารข้างเคียงแทน เรียกว่าไม่เสียเที่ยวเสียทีเดียวที่ได้เดินทางมา
จากภูเขาเกลือ ฉันเดินทางต่อไปยัง นาเกลือจิ่งไจ๋เจี่ยว (Jingzaijiao Tile-paved Salt Fields) เพื่อสัมผัสการทำเกลือแบบไต้หวัน
นาเกลือกระเบื้องจิ่งไจ๋เจี่ยว อยู่ในเขตเป่ยเหมิน เมืองไถหนาน สร้างขึ้นในปี 1818 โดยชาวนาเกลือ ใช้ชื่อว่าทุ่งเกลือไหลตง (Laidong Salt Fields ) เรียกได้ว่าเป็นทุ่งเกลือที่เก่าแก่ที่สุดในไต้หวันก็ว่าได้ ต่อมาในปี 1952 ที่นี่ได้รับการออกแบบให้กลายเป็นนาเกลือที่มีความพิเศษมากขึ้น
โดยชาวนาเกลือจะนำแผ่นกระเบื้องแตกมาปูบนพื้นนา เพื่อไม่ให้ผลึกเกลือติดกับหน้าดิน และช่วยทำให้ผลึกเกลือดูใสบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นด้วย โดยเฉพาะเมื่อกระเบื้องที่เเช่อยู่ใต้น้ำทะเล ถูกแสงแดดสาดส่องลงมา จะทำให้เกิดสีสันสวยงามราวกับกระเบื้องโมเสคเป็นที่มาของชื่อสถานที่นั่นเอง
พอหลังจากปี 2002 สิ้นสุด 338 ปีแห่งอุตสาหกรรมเกลือที่เริ่มถดถอย นาเกลือที่เคยครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดนี้ก็ถูกทิ้งร้างไปชั่วขณะ ดังนั้นเพื่อเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมของอุตสาหกรรมเกลือและเติมชีวิตชีวาให้กับนาเกลือ ที่นี่จึงได้รับการบูรณะเพื่อจุดประสงค์ด้านการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับการตาก การคราด และการเก็บเกลือ
นอกจากจุดเด่นของพื้นโมเสก ภาพของพระอาทิตย์ตกจะส่องแสงบนนาเกลือและสะท้อนความงามของท้องฟ้า โดยมีเมฆเหนือทะเลสาบเป่ยเหมินอยู่ที่ขอบฟ้าทุกเมื่อเชื่อวัน ก็เป็นความงดงามที่ดึงดูดให้นาเกลือแห่งนี้เต็มไปด้วยช่างภาพและนักกท่องเที่ยวมากมาย ปริมาณนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมา เพิ่มความมีชีวิตชีวาของผู้อยู่อาศัย และฟื้นความทรงจำของคนทำนาเกลือให้มีความสุขอีกครั้ง
เมืองแห่งดนตรี และท่วงทำนองความสุข
จากไถหนาน เมื่อคืนฉันเดินทางต่อมายังเมืองเจียอี้ (Chiayi) ที่ตั้งอยู่บนที่ราบทางตะวันตกเฉียงใต้ของไต้หวัน และเข้าพักที่โรงแรม Maison De Chine Hotel (兆品酒店嘉義) โรงแรมที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและรักสิ่งแวดล้อม ที่โรงแรมที่ไม่ได้แจกน้ำเป็นขวดพลาสติกเหมือนที่อื่นและมีขวดน้ำให้ไปกรอกน้ำซึ่งตั้งอยู่ด้านนอกของแต่ละชั้นเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่ง
ฉันมาเมืองเจียอี้เพื่อร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลวงดนตรีนานาชาติเมืองเจียอี้ที่เรียกว่าเป็นงานเทศกาลเกี่ยวกับดนตรีที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง พิธีเปิดงานมีในช่วงบ่าย ดังนั้นในช่วงเช้าเราพอมีเวลาเล็กน้อย จึงเดินทางไปเที่ยวกันที่หมู่บ้านฮิโนกิ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่จัดงานมากนัก
หมู่บ้านฮิโนกิ (Hinoki Village)
อาคารบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่สร้างด้วยไม้ฮิโนกิ (ไม้สนไซเปรส) เรียงรายกว่า 28 หลัง รวมเป็นหมู่บ้านที่เดิมเป็นหอพักของกรมป่าไม้ ระหว่างที่ญี่ปุ่นได้เข้าปกครองไต้หวัน ปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้ได้ผ่านการอนุรักษ์และปรับปรุงบำรุงรักษา ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวศิลปะวัฒนธรรมของจังหวัดเจียอี้
ภายในหมู่บ้าน ได้จัดและตกแต่งสวนในสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม อาคารแต่ละหลังที่มีการปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร ร้านขายขนมเครื่องดื่ม ร้านขายของที่ระลึก งานขายของตกแต่งเฟอร์นิเจอร์และของฝากแฮนด์เมดที่ทำจากไม้ฮิโนกิ
ซึ่งอาคารแต่ละหลังภายในก็จะมีสินค้าแตกต่างกันออกไป รวมไปถึงมีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตของที่นี่ ที่นี่ไม่มีค่าเข้าชม เราสามารถเข้าไปเที่ยวชมและสัมผัสบรรยากาศแบบญี่ปุ่นได้ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าใครสนใจจะเช่าชุดกิโมโนจะมีค่าบริการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (ราคาNT$450/2ชั่วโมง) หรือใครจะชิมชา กินขนมสไตล์ญี่ปุ่นก็ย่อมได้
จากหมู่บ้านฮิโนกิ เราได้ทดลองนั่งรถไฟ Taiwan Cypress ที่จะนำไปยังสถานีรถไฟ Alishan Forest แต่เราทดลองนั่งระยะสั้นจากสถานี Garage Park มายังสถานี Chiayi ใช้เวลาเพียง 10 นาทีนิดๆ เพื่อสัมผัสความพิเศษของตู้รถไฟสีเหลืองทองที่ทำขึ้นจากไม้ฮิโนกิ ไม้หอมอันขึ้นชื่อ
รถไฟแล่นผ่านสถานีเป่ยเหมิน สถานีรถไฟสไตล์ญี่ปุ่นคลาสสิก ที่สร้างด้วยไม้เช่นกัน โดยสถานีนี้ได้รับการกำหนดให้เป็นโบราณสถานโดยเมืองเจียอี้ในปี 1998 เมื่อเวลารถไฟวิ่งผ่านในโซนที่เป็นต้นไม้สีเขียวร่มรื่น เราจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศการเดินทางในสมัยก่อนขึ้นมาทันที
ในที่สุดก็ถึงเวลาร่วมงานหนึ่งในงานเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่ไหน
เทศกาลวงดนตรีนานาชาติเมืองเจียอี้ (Chiayi City International Band Festival)
เทศกาลนี้เริ่มจัดมาตั้งแต่ปี 1993 เพื่อดึงดูดผู้ที่หลงใหลในวงดนตรี โดยจุดเริ่มต้นของเทศกาลนี้มาจากเทศกาลท้องถิ่นและมีเพียงวงดนตรีเล็กๆ เท่านั้น ปัจจุบันกลายเป็นเทศกาลระดับโลก และสำหรับปี 2022 ถือว่าการครบรอบ 30 ปีของงานเทศกาลนี้
เนื่องจากเป็นการจัดงานหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้งานในปีนี้ไม่เพียงฟื้นฟูจิตใจของผู้คนที่ผ่านสถานการณ์เลวร้ายมา แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเมืองศูนย์กลางแห่งศิลปศาสตร์ของไต้หวันอย่างเจียอี้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยรองผู้ว่าการเมืองเจียอี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
ก่อนหน้านี้เมืองเจียอี้เป็นเมืองศูนย์กลางแห่งศิลปศาสตร์ของไต้หวัน ทางรัฐบาลเมืองเจียอี้จึงได้ริเริ่มจัดงานส่งเสริมเทศกาลดนตรีขึ้นมา โดยในปี 2011 ได้สมัครเข้าร่วมสมาพันธ์ดนตรีระดับโลก (WASBE) ตั้งแต่นั้นมาพวกเราคิดว่างานดนตรีทำให้การเรียนการสอนในด้านดนตรีของเจียอี้เป็นที่ประจักษ์ ดนตรีทำให้เจียอี้ครึกครื้น มีชีวิตชีวามากขึ้น
ตลอดระยะเวลา 3 ทศวรรษ พวกเราได้ปลูกฝังในด้านการเรียนการสอนดนตรี อีกทั้งยังมีผลงานมากมายอันเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นทุกปีพวกเราจะอาศัยการจัดเทศกาลดนตรีนี้ เหมือนเป็นสะพานสร้างเสริมมิตรภาพกับผู้ที่สนใจในดนตรีทั่วโลก
เจียอี้ เมืองแห่งนี้ ครึกครื้นเพราะดนตรี ยิ่งใหญ่ ก็เพราะดนตรี
แม้วันงานในปีนี้ สายฝนจะโปรยปรายลงมา ทำให้ขบวนพาเหรดและวงโยธวาทิตทั้งจากไต้หวันและต่างประเทศทุกทีมเปียกปอนไปด้วยสายฝน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเห็นคือ รอยยิ้มแห่งความสุขของนักดนตรี ผู้เข้าขบวนพาเหรด และประชาชนที่มาร่วมงานเทศกาล
ภาพของเด็กน้อย พ่อแม่รวมไปถึงคนรุ่นปู่ย่าตายาย ที่ให้ออกมาชื่นชมพร้อมทั้งปรมมือ ยามที่ขบวนพาเหรดเดินผ่าน สร้างความสุขใจและชุ่มชื่นไม่แพ้สายฝนเม็ดเล็กๆที่โปรยปราย
เห็นได้ว่างานเทศกาลนี้ไม่ใช่แค่งานวัฒนธรรมที่พิเศษที่สุดของเมืองเจียอี้เท่านั้น แต่เป็นงานที่ชุมชนดนตรีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างพร้อมยกย่องให้เมืองเจียอี้ เป็นเมืองแห่งเสียงและเมืองแห่งดนตรีแห่งสายลม City of Sounds and the Town of Wind Music อย่างแท้จริง
เป็นการปิดท้ายการเดินทางไต้หวัน ท่วงทำนองแห่งความสุขได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับใครที่สนใจร้านอาหารที่ฉันได้ไปลิ้มรสในทริปนี้สามารถตามอ่านได้ที่ https://www.vacationistmag.com/taiwanesefood/