Rome – Roma

ชีพจรแห่งโรมมิใช่พื้นหินอ่อนแห่งรัฐสภา แต่เป็นพื้นทรายแห่งโคลอสเซียม
– Gladiator

โรม (Rome) หรือชื่อในภาษาอิตาลีและละตินคือโรมา (Roma) นอกจากจะเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดใน อิตาลี แล้ว ยังเมืองที่มีประวัติยาวนานกว่า 2,700 ปี โรมได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองอันเป็นนิรันดร์ (Eternal City) เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมตะวันตกในหลากหลายแง่มุม

จากกรุงเทพฯ ไปกรุงโรม ประเทศอิตาลีมีสายการบินหลายสายการบินในเลือกทั้งบินตรง และต่อเครื่อง สำหรับบินตรงใช้เวลาประมาณ 10 – 12 ชั่วโมง เช่น ของการบินไทย (Thai Airways)ให้บริการเที่ยวบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปสนามบินโรมหรือท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี-ฟีอูมีชีโน (Leonardo da Vinci-Fiumicino Airport) ภาษาอิตาเลียนใช้สนามบินฟูมิชิโน(Fiumicino Aeroporto) หรือแบบไปพัก 1 จุดก็ใช้เวลาประมาณ15-16 ชั่วโมง เช่น สายการบินเอมิเรตต์ (Emirates) ที่มีการเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ สายการบินเตอร์กิซแอร์ไลน์ (Turkish airlines) ที่เปลี่ยนเครื่องที่ตุรกี เป็นต้น สำหรับราคาก็มีตั้งแต่ 2 หมื่นไปจนถึงเกือบ 3 – 4 หมื่นแล้วแต่ช่วงเวลาเทศกาลวันหยุดต่างๆ

โคลอสเซียม (Colosseum)

สนามบินตั้งอยู่ห่างจากกรุงโรมประมาณ 30 กิโลเมตร จากสนามบินนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าเมืองไปยังสถานีรถไฟหลักคือสถานี Roma Termini ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางของกรุงโรม สำหรับการเดินทางภายในกรุงโรมนิยมใช้รถบัสหรือการเดินเท้ามากกว่า เนื่องจากยังไม่ได้มีรถไฟฟ้าเชื่อมถึงไปยังแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก จึงแนะนำให้เตรียมรองเท้าที่สวมใส่สบายและกระเป๋าที่พกพาสะดวกไป ตั๋วรถบัสที่ใช้แบบไม่จำกัดมีทั้งแบบ 1 วันหรือ 2 วันนับเวลาบัตรตอนที่เราเริ่มใช้ตั๋ว 24 ชั่วโมง 48 ชั่วโมงตามลำดับ เมื่อเราขึ้นรถบัสครั้งแรกต้องตอกบัตรเลยเพราะถ้าไม่ตอกบัตรเวลามีการตรวจขึ้นมาโดนปรับเยอะพอสมควร

ส่วนมากผู้คนจะเลือกที่พักบริเวณ Roma Termini หรือแถวสถานีรถไฟใหญ่เพราะเป็นจุดศูนย์กลางการเดินทาง เครื่องบิน และรถไฟจากเมืองอื่นมาจอดที่นี่ไม่ต้องลงใต้ดินสะดวกดี ผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน ต้องระมัดระวังทรัพย์สินและข้าวของต่างๆ แต่แถว Piazza Navona, Pantheon ก็จะคึกคักหน่อย เพราะเป็นบริเวณที่มีร้านค้าร้านอาหารมากมาย ไม่ต้องกลัวหิวหรือเหงา แต่ต้องเลือกโรงแรมที่ไม่ไกลจากป้ายรถเมล์หรือถนนเส้นหลักมากนัก เพราะบางพื้นที่ที่นี่ห้ามรถเข้าคุณต้องลากกระเป๋าเข้าไปเอง หรือบริเวณ Piazza republica เดินทางสะดวกมีทั้งรถใต้ดินและรถบัส เมื่อลากกระเป๋าเก็บของเข้าที่พักแล้ว ก็ออกเดินทางไปชมกรุงโรมกันได้

ถ้ามาจากสถานี Termini line B เดินทางโดยรถไฟใต้ดินให้มาที่สถานี Piramide สถานีแห่งนี้ห่างจากโคลอสเซียมประมาณ 260เมตร แต่ถ้าเดินทางโดยรถบัส สถานีที่ใกล้ที่สุดคือOstiense/Matteucci ห่างจากโคลอสเซียมประมาณ 220 เมตรเท่านั้นโคลอสเซียม โคลิเซียม หรือทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน (Flavian Amphitheatre) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรีเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคใหม่ (New 7 Wonders) อีกด้วย

โคลอสเซียมเริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซี่ยน (Vespasianus) แห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี โคลอสเซียมเปิดใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ. 80 สมัยจักรพรรดิติตุสซึ่งสนามยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ดี เพื่อเปิดสนามแข่งขันกีฬาต่างๆ ทั้งนักสู้กลาดิเอเตอร์(Gladiator) สู้กันเอง สู้กับ อาทิ สิงโต เสือและช้าง หรือแม้กระทั่งการสู้กันระหว่างสัตว์ป่าด้วยกันเอง
ที่นี่เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.30 น.ไปจนถึงเวลา 19.00 น. มีค่าเข้าชม 21.50 ยูโร นอกจากนี้ยังมีตั๋วที่สามารถเข้าชมเพิ่มบวกกับสถานที่อื่นๆ เช่น Combi ticket + Arena Floor 29 ยูโร เป็นต้น แนะนำให้ซื้อตั๋วไปก่อนเพราะผู้คนที่รอเข้าชมเยอะมาก

โรมัน ฟอรัม (Roman Forum)

โรมัน ฟอรัม อยู่ไม่ไกลจากโคลอสเซียมมากนัก สามารถลงที่สถานี Colosseo หรือเดินมาจากโคลอสเซียมได้เลย อยู่ระหว่างเนินพาเลติเน (Palatine hill) กับเนินแคปิโตลิเน (Capitoline hill) เป็นซากของกลุ่มสิ่งปลูกสร้าง บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในอดีต อาณาจักรนี้มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 6.5 ล้านตารางกิโลเมตร โดยมีศูนย์กลางคือซากปรักหักพังแห่งนี้

ไฮไลต์คือเสาด้านหน้าของวิหารแซทเทิร์น (TheTemple of Saturn) และซุ้มประตูหินอ่อนแห่งเซปติมุส เซเวรุส (Septimius Severus) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 203 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของจักรพรรดิที่มีต่อชาวปาร์เธียน (Parthian) ซุ้มประตูแห่งติตุส (Arch of Titus) ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 1 วิหารแห่งเวสตา (Vesta) และโบสถ์ซานติลูคา เอ มาร์ตินา (Santi Luca eMartina) สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 7 เป็นต้นทั้งโรมัน ฟอรัมและเนินพาเลติเน ใช้ตั๋วเดียวกับที่ใช้เข้าโคลอสเซียม ราคา 21.50 ยูโร และเด็กกลุ่ม EU อายุ 18-25 ปี ราคา 6 ยูโร สำหรับเด็กเล็กต่ำกว่า 17 ปี ราคา 2 ยูโร

จัตุรัสคัมปิโดลยิโอ (Piazza del Campidoglio)

อยู่บริเวณทางผ่านระหว่างทางจากโคลอสเซียม (Colosseum) ไปบันไดสเปน (Spanish Square) จากสถานีโคลอสเซียมเดินไปประมาณ10 นาที จัตุรัสที่ในอดีตเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของอาณาจักรโรมันออกแบบ และสร้างบางส่วนโดยศิลปินชื่อ มีเกลันเจโล (Michaelangelo) หรือที่คนไทยมักจะเรียก ไมเคิล เอเจโล นั่นเอง สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1536

ในบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์คาปิตอลิเน ที่เกิดจากการรวมเอาอาคารพระราชวังโบราณ 3 แห่ง ประกอบด้วย คือ Palazzo Senatorio ปัจจุบันดัดแปลงเป็นที่ทำการเทศบาลเมือง Palazzo dei Conservatori อาคารพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลังงามนามว่า “Capitoline Art Museum” และ Palazzo Nuovo ที่ปรับเป็นพิพิธภัณฑ์เช่นกัน ให้ชื่อคล้ายกันว่า “Capitoline Museum” และอีกหนึ่งจุดเด่นของ Piazza del Campidoglio ก็คือ“Cordonata” ซึ่งเป็นบันไดขนาดใหญ่ที่ทอดยาวตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปจนถึงจนถึงจัตุรัสด้านบน

จัตุรัสเวเนเซีย (Piazza Venezia)

บริเวณเชิงเขา Capitoline ณ ใจกลางกรุงโรม เป็นจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรมเป็นจุดนัดพบของถนนใหญ่ 4 แห่งได้แก่Via del Corso, Via del Plebiscito, Via di Teatre Marcelloและ Via dei Fori Imperiali รู้กันว่าเป็นจุดที่การจราจรวุ่นวายที่สุดแห่งหนึ่ง ถ้ามองจากระยะไกลเหมือนเค้กแต่งงานขนาดใหญ่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการรวมชาติอิตาลีในปี 1870 ใช้เวลา 25 ปีในการก่อสร้าง

ชื่อของจัตุรัสตั้งตามชื่อพระราชวังเวเนเซีย (Palazzo Venezie) สร้างโดยคาร์ดินัลแห่งเวเนเซียในปี 1455 สถาปนิก Francesco del Borgo เป็นผู้ออกแบบ โดย Palazzo Venezia มีบริเวณระเบียงของพระราชวังที่สามารถมองเห็นจัตุรัส เป็นที่ตั้งของสถานทูตแห่งสาธารณรัฐเวนิสในโรมและถูกใช้โดยเอกอัครราชทูตออสเตรีย ซึ่งรัฐบาลอิตาลีได้เข้ายึดในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ปัจจุบัน Palazzo Venezia ได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหากมองไปทางทิศใต้ของจัตุรัสจะเห็นอนุสาวรีย์รูปปั้นขี่ม้าของวิคโดเอแมนเนล (Victor Emmanuel II) กษัตริย์องค์แรกหลังจากได้รวมอิตาลีเป็นหนึ่งเดียวในปี 1871 ส่วนทิศเหนือของจัตุรัสจะมี Palazzo Bonaparte บ้านของมารดาแห่งนโปเลียนและไม่ห่างจากพระราชวังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซาน มาโครอีกด้วย

มหาวิหารแพนธีออน (Pantheon)

นอกจากโคลอสเซียมแล้วมหาวิหารแพนธีออนก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมากัน วิหารแพนธีออนเปิดตั้งแต่ 09.00-19.00 น. (เข้าชมครั้งสุดท้าย 18.30 น.) แม้จะเปิดให้เข้าชมฟรี แต่การใช้บริการ AudioTour (8.50 ยูโร) หรือ Guided Tour (20 ยูโร) ก็ทำให้เราเข้าใจสถานที่ได้มากขึ้น

เทวสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยประมาณ27-25 ปีก่อนคริสต์ศักราช ยุคของมาร์คุส วิบซานิอุส อะกริบปา (Marcus Vipsanius Agrippa) แม่ทัพซึ่งเปรียบเสมือนมือขวาของจักรพรรดิออกุสตุส (Augustus) จักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน โดยได้ปรากฎการแกะสลักมาร์คุส วิบซานิอุสอะกริบปา ไว้ที่บริเวณหน้าบันของตัวอาคารแพนธีออน ในภาษากรีก แปลว่า “เกียรติศักดิ์แห่งทวยเทพ” ซึ่งเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพ ยุคของจักรพรรดิฮาเดรียน ในปี ค.ศ. 126 บูชาเทพเจ้าแห่งกรีก-โรมันทั้ง 7 แห่งดาวในระบบสุริยะ ได้แก่ พระอาทิตย์ (Apollo) พระจันทร์(Diana) อังคาร (Mars) พุธ (Mercury) พฤหัส (Jupiter) ศุกร์(Venus) และ เสาร์ (Saturn) ตลอดเวลากว่า 2,000 ปี วิหารแพนธีออน ได้ผ่านการซ่อมแซมต่อเติมนับไม่ถ้วน

แต่ด้วยการออกแบบและการก่อสร้างที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ยักษ์เป็นเสาหินก้อนเดียวทั้งเสาโดยไม่ได้มีการตัดต่อเลยวางเรียงที่ด้านหน้าอาคารเป็นแนวยาว หน้ามุขที่เป็นทรงสามเหลี่ยมและมีเสาศิลปะคอรินเธียน (Corinthian) 8 ต้น บริเวณภายในวิหารคุณจะได้พบกับความกว้างขวางใหญ่โต มี ช่องวงกลม (Oculus) หรือที่เรียกว่า “ช่องตา” อยู่ตรงกลางโดมเพื่อเปิดให้แสงสาดส่องเข้ามาในตัววิหาร จึงทำให้วิหารแห่งนี้นั้นนับเป็นสิ่งก่อสร้างเดียวที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยยุคโรมันและยังคงสภาพสมบูรณ์ไว้ได้มากที่สุดที่มีเหลืออยู่

จัตุรัสนาโวนา (Piazza Navona)

เคยเป็นสนามกีฬาโรมันโบราณในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ที่ชื่อว่า Stadium of Domitian ซึ่งชาวโรมันจะเดินทางมาที่นี่เพื่อชมกีฬา จัตุรัสแห่งนี้สวยงามโดดเด่นเพราะสร้างด้วยศิลปะแบบบารอก โดยในสมัยนั้นสถานที่แห่งนี้รู้จักในชื่อว่า ‘Circus Agonalis’ (สนามกีฬา) เชื่อกันว่าชื่อของจัตุรัสนี้มาจากการเรียกชื่อสถานที่เพี้ยนจาก ‘in agone’ เป็น ‘navone’ จนกระทั่งกลายมาเป็น ‘navona’ ในที่สุด

จุดเด่นที่ดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวเมื่อมาเยือน Piazza Navona ก็คือน้ำพุสวยงามที่รายล้อมอยู่รอบจัตุรัส โดยเริ่มต้นที่ น้ำพุจตุมหานที (Fountain of the Four Rivers) ที่ตั้งโดดเด่นใจกลางจัตุรัสซึ่งเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในจำนวนทั้งหมด สร้างโดย Bernini ศิลปินชื่อดัง ประกอบไปด้วยรูปปั้นที่เป็นตัวแทนของการแสดงถึงแม่นำสายสำคัญของทั้ง 4 ทวีป ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำไนล์ แม่น้ำดานูป และแม่น้ำพลาต้า ซึ่งเป็นที่มาของชื่อจตุมหานทีนั่นเอง

ตามมาด้วย Fountain of Neptune และ Fountain of Moor ทั้งยังมีโบสถ์ Sant’ Agnese in Agone ที่สวยงามจากการออกแบบหน้าโบสถ์ด้วยศิลปะบารอกเช่นกัน และถือเป็นงานศิลป์ชิ้นเอกหนึ่งในโรมเลยทีเดียวนอกจากนี้บริเวณรอบๆ จัตุรัสนาโวนา ยังรายล้อมไปด้วยตึกสวยๆ สีสันสดใส ร้านอาหารหลากหลาย สินค้าแฮนด์เมด ของที่ระลึก ให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจัตุรัสแห่งนี้ได้กินดื่มและช้อปปิ้งกันอย่างเพลิดเพลิน

น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain)

เทรวี มาจากคำภาษาอิตาเลียน หมายถึงการพบกันของถนน 3 สาย ซึ่งน้ำพุแห่งนี้สร้างตรงจุดที่เชื่อมต่อของถนน 3 สาย และเป็นจุดปลายทางของท่อส่งน้ำ เรียกว่า Aqua Virgo ความหมายว่า Virgin Water หรือน้ำแห่งผู้บริสุทธิ์ เป็นท่อส่งน้ำที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงโรม น้ำพุเทรวี่แห่งนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นจากภาพยนตร์เรื่อง Three Coins in the Fountain

ด้วยความสวยงามทางสถาปัตยกรรมสไตล์บารอกและความยิ่งใหญ่ที่มีความกว้างถึง 19.8 เมตร สูง 25.9 เมตร บริเวณตรงกลางน้ำพุมีเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) “เทพแห่งท้องทะเล” ขี่รถม้าติดปีก แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรงและความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร ขนาบข้างด้วยไทรทัน (Triton) เทพครึ่งคนครึ่งปลา ต่างคนต่างควบม้าที่มีลักษณะแตกต่างกันตัวหนึ่งพยศ อีกตัวดูเชื่องกว่า เปรียบเสมือนท้องทะเลที่ไม่มีความแน่นอน สามารถสงบราบเรียบสวยงามแต่สามารถเปลี่ยนเป็นทะเลที่บ้าคลั่งน่ากลัวได้เพียงเสี้ยวนาทีนั่นเอง

นอกจากในเรื่องของความสวยงามแล้วที่นี่ยังมีเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในการโยนเหรียญเพื่ออธิษฐานขอให้ได้กลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง ก่อนหันหลังแล้วโยนเหรียญสกุลเงินใดก็ได้ ข้ามไหล่ซ้ายให้เหรียญหล่นลงไปในน้ำพุให้ได้ หากเหรียญหล่นไปใต้น้ำพุนั้นเชื่อกันว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งนั่นเอง เหรียญที่โยนไปจะถูกเก็บและนำไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ในกรุงโรม ว่ากันว่าวันหนึ่งมีคนโยนเหรียญ ตีค่าเป็นสกุลเงินยูโรปมากถึง 3,000 ยูโร

บันไดสเปน (Spanish Steps)

การเดินทางมาบันไดสเปนง่ายมาก โดยนั่งรถไฟใต้ดิน มาลงที่สถานีที่ใกล้ที่สุดคือ Spagna หลังจากนั้นให้มองหาป้ายบอกทางไป Piazza di Spagna แล้วเดินตามป้ายไปได้เลย บันไดนี้เรียกว่า Scalinata เป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป มีที่ชื่อนี้อาจเพราะมีสถานทูตสเปนอยู่ด้านล่างนั่นเองผู้ออกแบบบันได คือ Francesco de Sanctis ด้วยขั้นบันไดทั้งหมด 138 ขั้น

บริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมโรมันที่มีความงดงาม ลานด้านหน้าบันได เรียกว่า Piazza di Spagna ตรงกลางลานจะมีน้ำพุรูปเรือโบราณ เรียกว่า La Fontana della Barcaccia สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1627-1629 โดยเป็นศิลปะบารอกยุคต้น สร้างโดย Pietro Bernini ที่มาของการสร้างน้ำพุเรือโบราณนี้มาจากพระสันตะปาปา อูรบาโน ที่ 8 พบเรือลำหนึ่งที่ถูกน้ำพัดมาถึงบริเวณนี้ จึงมีความคิดที่จะสร้างเรือน้ำพุนี้เป็นอนุสรณ์

ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งเพราะที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Roman Holiday ในปี ค.ศ. 1953 เป็นฉากที่พระเอกและนางเอกมานั่งกินไอติมกันที่ขั้นบันได อีกทั้งโดยรอบยังย่านช้อปปิ้งและร้านค้าอย่างถนนCondotti Street มีสินค้าแบรนด์เนมมากมายอาทิ Prada, Gucci, Valentino, Amarni, Dior, Versace, Fendi ฯลฯ และมีร้านอาหารคาเฟ่ ให้ได้นั่งจิบกาแฟหอมๆ รสชาติดี รวมถึงร้านกาแฟชื่อดังที่เก่าแก่ที่สุดของโรมอย่างร้านคาเฟ่เกร็กโก (Caffe Greco) ด้วย

จัตุรัสโปโปโล (Piazza del Popolo)

เป็นชื่อในภาษาอิตาเลียนสมัยใหม่ แปลว่า People’s Square จัตุรัสขนาดใหญ่ในกรุงโรมที่เหมือนพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนชอบนัดมาเจอกันตั้งอยู่ภายในประตูทางตอนเหนือของกำแพงเมือง Aurelian ของ Porta Flaminia กรุงโรมโบราณที่ตอนนี้เรียกว่า Porta del Popolo

โดดเด่นด้วยอนุเสารีย์ตรงกลางขนาดใหญ่ซึ่งเคยตั้งอยู่บนจุดเริ่มต้นของ Via Flaminia เข้าสู่ถนน Ariminum เป็นเส้นทางเข้าหลักของเมืองในสมัยจักรวรรดิโรมัน นอกจากเสาโอเบลิสค์ที่เป็นอนุสาวรีย์ ที่สำคัญของจัตุรัสแห่งนี้แล้ว ที่นี่ยังมีความสวยงามของสถาปัตยกรรมน้ำพุให้ได้ชมกัน

จัตุรัสแห่งนี้เขื่อมโยงไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและจัตุรัสที่สำคัญอื่นๆ มากมายของกรุงโรม และยังเป็นที่ตั้งของ Santa Maria del Popolo วิหารที่มีชื่อเดียวกับจัตุรัส หากต้องการมองเห็นทัศนียภาพอันน่าประทับใจอีกมุมมองหนึ่งของจัตุรัสสามารถเดินขึ้นไปบนบันไดที่อยู่ทางตะวันออกของจัตุรัสไปยัง Pincio park piazza del popolo ที่ซึ่งคุณจะสามารถเก็บภาพอันสวยงามของ Piazza del Popolo ได้โดยรอบ

สำหรับคนที่ชื่นชมสถาปัตกรรม ประวัติศาสตร์ความรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน ต้องไม่พลาดเดินทางมาโรมสักครั้งในชีวิต และควรที่จะให้เวลาอย่างน้อย 3-4 วันเพราะโรมมีอะไรมากมายให้ได้ชมมากกว่าที่คุณคิดนัก

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0