London Sightseeing

คุณเคยประสบปัญหาเวลาน้อยเงินจำกัด แต่อยากเที่ยวเยอะบ้างหรือไม่ ฉันเคยเจอปัญหาแบบนี้ ตอนครั้งที่มีเวลาโฉบไปเยือนลอนดอนเพียงแค่เวลา 1 วันครึ่ง แต่อยากเห็นเจ้านาฬิกาบิ๊กเบน อยากขึ้นลอนดอนอายอยากชมพระราชวังบักกิงแฮม และอีกหลายอยาก จนเพื่อนคนสนิทเจ้าถิ่นบอกว่าเยอะขนาดนี้ แกกระโดดขึ้นกระโดดลงรถบัสเอาแล้วกัน เฮ้ย
ทำได้เหรอ คำตอบคือ ได้สิ

เพราะที่ลอนดอนก็มีบริการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถบัสนำเที่ยวแบบที่เมืองใหญ่หลายเมือง
ทำกัน BIG BUS Tours เป็นบริการรถบัสที่จะพาเราเดินทางไปตามเส้นทางยอดนิยม เราสามารถขึ้นลงเดินเที่ยว ถ่ายภาพแล้วกลับมาที่จุดจอดรถหรือขึ้นรถบัสคันถัดไปได้ ที่ลอนดอนมีบริษัททัวร์แบบ Hop-On, Hop-Off Sightseeing เจ้าใหญ่ๆอยู่ 2 บริษัท คือ Big Bus และ Original tourการบริการและเส้นทางของทั้งสองเจ้าต่างกันไม่มากนัก แต่ฉันเลือกที่จะใช้บริการของ Big Busด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าใกล้ที่พักนั่นเอง ราคาทัวร์เช่นนี้จะนับเป็นชั่วโมง 24 ชั่วโมง (41 ยูโร) หรือ48 ชั่วโมง (59 ยูโร) แต่ถ้าซื้อผ่านเอเจนซี่ หรือจองล่วงหน้าจะได้ราคาที่ต่ำกว่านี้ ลองหาดูได้ตามเว็บไซด์ทั่วไป

สำหรับเส้นทางการเดินทางไปที่ Big Bus มี 3 เส้นทางคือClassic Red Tour, Blue Tour และ Green Link แต่ละเส้นทางก็เดินทางไปในสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล สามารถดูเส้นทางได้ผ่านเว็บไซต์ของ Big Bus ได้เลย ก่อนจะกระโดดขึ้นรถ ฉันอยากแนะนำที่เที่ยวใกล้ที่พักของฉันเพียงข้ามถนนอย่างไฮด์ปาร์ก (Hyde Park) สวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า875 ไร่ ใจกลางกรุงลอนดอน เป็นเสมือนปอดขนาดใหญ่คล้ายกับสวนลุมบ้านเรามีต้นไม้ขนาดใหญ่ให้ความร่มรื่น มีทะเลสาบกว้างอย่าง The Serpentine ที่สร้างความสดชื่นให้กับผู้ออกมาพักผ่อนหรือออกกำลังกาย ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนเราจะเห็นชาวเมืองออกมาทำกิจกรรมกันอย่างคึกคักทีเดียว

หากเดินไปตามทางเดินด้านตะวันตกริมทะเลสาบก็จะเห็นรูปปั้นปีเตอร์แพน (Peter Pan) ซึ่งสร้างไว้เพราะเจมส์ แมทธิว แบร์รี่ (James M. Barrie) คนแต่งเรื่องนี้ชอบมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้นั่นเอง ส่วนการเดินทางมาที่นี่ก็แสนง่ายจากสถานี Hyde Park Corner (สาย Piccadilly)ทางออก 1 เดินเข้าซุ้มประตูเข้าสวนได้เลย หรือมาจากสถานีMarble Arch (สาย Central) ออกมาก็จะใกล้กับมุมปราศรัยของสวนสาธารณะ (Speakers’ Corner) สถานที่ที่คนนิยมมาปราศรัยกัน และทั้งสถานี Hype Park Corner กับสถานีMarble Arch ก็เป็นสองสถานีที่รถบัสนำเที่ยวของเราจอดอีกด้วย เดินสวนวอร์มร่างกายแล้วกระโดดขึ้นรถบัสตามมาเลย

หลังจากที่ฉันกระโดดขึ้นรถบัสใกล้กับสวนสาธารณะ รถบัสก็จะวิ่งไปตามถนน Edgware Road ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าถนนMarylebone Road และจอดที่ป้ายใกล้กับ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ (Madame Tussauds) พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งสาขาแรกในโลก จากทั้งหมด 12 แห่ง แต่ฉันไม่ได้แวะลงก่อนจะเลยไปตามถนนผ่านสถานที่สำคัญๆ อย่างเช่น วงเวียนพิคคาดิลลี่ (Piccadilly Circus) จุดศูนย์กลางแห่งการนัดพบของลอนดอน โดยเฉพาะตรงบริเวณรูปหล่อสัมฤทธิ์ของเทพแห่งความรักหรือกามเทพน้อยยิงลูกศรอีรอส (EROS) มีผู้คนมากมายต่างมารวมตัวกันที่นี่ ถ้ามาโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน(Underground) ลงสถานี Piccadilly Circus โผล่ออกมาจากพื้นดินก็จะเห็นรูปปั้นนี่เลย รอบบริเวณมีทั้ง สถานที่ท่องเที่ยวอย่างพิพิธภัณฑ์ริปลีย์ เชื่อหรือไม่ (Ripley’s Believe it or not)ร้านค้าขายของที่ระลึกหรือเสื้อบอลของสโมสรฟุตบอลอังกฤษราคาย่อมเยาสำหรับผู้ชายให้ช้อปปิ้ง หรือจะเดินเลยไปยัง
ย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown) หรือโซโห(Soho)ก็อ้างอิงเอาบริเวณวงเวียนนี้เป็นที่ตั้งกันจากวงเวียนเลยมาอีกนิดก็จะเห็น

อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของลอนดอน นั่นก็คือ เสาหินเนลสัน (Nelson’s Column) กลางทราฟัลการ์สแควร์ (Trafalgar Square) เสาหิน สูง 51.5เมตร ด้านบนสุดเป็นรูปปั้นของลอร์ดเนลสัน (Lord Nelson) ผู้บัญชาการเรือรบหลวงวิคทอรี่ ผู้นำมาซึ่งชัยชนะครั้งสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ในสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสที่แหลมทราฟัลการ์ แต่ท่านก็ถูกยิงสูญเสียดวงตา 1 ดวงและแขนหนึ่งข้างและเสียชีวิตในที่สุด ด้านล่างรอบมุมจะมีรูปหล่อสิงโตหมอบอยู่ ใกล้ๆ กันกับเสาหินมีอีกหนึ่งสถานที่สำหรับผู้ชื่นชอบศิลปะควรแวะ นั่นคือหอศิลป์แห่งชาติ (National Gallery) ถือเป็นหอศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลงานศิลปะหลายชิ้นถูกเก็บไว้ที่นี่ไม่ว่าของมีเกลันเจโล อันโตนีโอนี หรือไมเคิลแองเจลโล (Michelangelo Antonioni)เลโอนาร์โด ดา วินชี (อิตาลี : Leonardo da Vinci) ฟินเซนต์ วิลเลิมฟัน โคค หรือวินเซนต์ แวน โก๊ะ ( Vincent Willem van Gogh) เป็นต้น

จากนั้นรถก็มาถึงที่สถานี Coca-Cola London Eye ถ้าเราลง จะเป็นด้านหลังของโคคา โคล่า ลอนดอนอาย (Coca Cola London Eye) ชื่อที่ถูกตั้งตามข้อตกลงกับบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคมปี 2015 เป็นต้นมา ด้วยระดับความสูงกว่า 135 เมตร มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางวัดได้ 120 เมตร และประกอบไปด้วยห้องปรับอากาศ 32 แคปซูลที่เป็นตัวแทนของ 32 เมืองแห่งอังกฤษ แต่เวลาเรามองตัวเลขจะเห็นเป็น 1-33 เขาก็เว้นเลข
13 ตามความเชื่อและโชคลางไว้ แต่ละแคปซูลสามารถจุผู้โดยสารได้ถึง 25 คนตัวชิงช้าสวรรค์นี้จะค่อยๆ หมุนขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ใช้เวลากว่า 30 นาทีถึงจะครบ 1 รอบ ถ้ามาในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกจะสวยมาก แต่ถ้ามาช่วงกลางวันก็จะเห็นทัศนียภาพที่กว้างไกลคุ้มค่าไม่ต่างกัน พอก้าวลงจากแคปซูลเจ้าหน้าที่ก็จะบันทึกภาพ ใส่กรอบสวยงามและขายให้กับผู้ที่สนใจซื้อ สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานด้านล่างได้เลย สำหรับฉันงบน้อยขอผ่านเลยไป

จากโคคาโคล่า ลอนดอนอายจะเห็นบิ๊กเบน สัญลักษณ์ของอังกฤษอยู่อีกฟากฝั่งแต่ฉัน
เก็บไว้ก่อน ค่อยรอรถบัสวนกลับมา ฉันกระโดดขึ้นรถต่อไปยังสะพานหอคอย(Tower Bridge) สะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสะพานว่า “Tower Bridge” อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของลอนดอน เหตุไม่อยากไปลงบริเวณนั้นช่วงเย็น เพราะที่นั่นติดอันดับสถานที่น่ากลัวอีกแห่งของลอนดอนเลย อันที่จริงจะเรียกว่าหอคอยอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะพื้นที่รวมไปถึงปราสาท พระราชวัง ป้อมปราการ ท้องพระคลังคลังเก็บอาวุธและที่คุมขังนักโทษที่มียศศักดิ์สูงเข้าไปด้วย อาคารหนึ่งซึ่งเป็นที่โจษจันกันมากว่ามักจะเจอเรื่องสยองขวัญกันก็คือหอคอยเลือด (Bloody Tower) ที่เคยใช้เป็นที่ประทับและคุมขังเจ้าชายสองพระองค์ คือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้า วัย 12 พรรษา กับ เจ้าชายริชาร์ด ดยุกออฟยอร์ก พระอนุชาวัย9 ชันษา ที่หายไปอย่างลึกลับก่อนที่ริชาร์ด ดยุก ออฟ กลอสเตอร์ พระปิตุลา(อา) ของเจ้าชายทั้งสองจะขึ้นครองราชย์แทน หรือที่มักจะได้พบเห็นกันเสมอ(แม้ไม่อยากจะเห็น) คือ พระนางแอน โบลีน มเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งถูกดาบฟันคอ และเจ้านายอีกหลายพระองค์ที่สิ้นพระชนม์เพราะการแก่งแย่งอำนาจกัน

แต่แค่สองเรื่องนี้ยังรู้สึกขนแขนลุกขนาดนี้ ไม่ต้องเล่าหมดก็แทบไม่อยากลงจากรถ แต่พอไปถึงสถานที่ด้วยผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาทำให้บรรยากาศไม่ได้วังเวงอย่างที่คิดไว้เลย ด้านในมีการแสดงเครื่องประดับหลายชิ้นทั้งมงกุฎ ลูกแก้ว ผ้าคลุมที่งดงามน่าประทับใจทีเดียว เดินวนไปมาแบบอดคิดในใจไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งของความน่ากลัวของสถานที่คงเป็นเพราะแสง เงาและความมืดทึบของอาคารเป็นแน่แท้

ว่าแล้วก็ทิ้งเรื่องราวไว้ด้านหลังกระโดดขึ้นรถบัสไปเก็บตกสถานที่ที่เหลือกันเกือบ 40 นาทีได้ที่รถวนกลับมาที่บริเวณของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ หรือ ตึกรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ (หรือ Houses of Parliament หรือ Westminster Palace) และหอนาฬิกา
พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Clock Tower, Palace of Westminster)หรือที่เรารู้จักดีในชื่อ บิ๊กเบน (Bigben) บิ๊กเบนเป็นสถานที่ที่หลายคนมาลอนดอนก็ต้องมา ความสำคัญของบิ๊กเบนอยู่ที่หอดูดาวที่เมืองกรีนิช ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมเวลามาตรฐานของโลก ใช้เป็นเครื่องบอกเวลามาตรฐานผ่านทางสถานีวิทยุ บีบีซี จะถ่ายทอดเสียงการตีบอกเวลาของนาฬิกาเรือนนี้ ให้ได้ยินไปทั่วโลก ไม่มีนาฬิกาใดอีกแล้ว ที่จะตีดังได้ยินทั่วโลกเช่นนาฬิกาเรือนนี้ ภายในหอนาฬิกาไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม เว้นแต่สำหรับผู้ที่อาศัยในประเทศอังกฤษ จะต้องทำเรื่องขอเข้าชมผ่านสมาชิกรัฐสภาอังกฤษประจำท้องถิ่นของตน ถ้าเป็นเด็กต้องมีอายุเกิน 11 ปี จึงจะเข้าชมหอได้

สำหรับชาวต่างประเทศนั้นยังไม่อนุญาตให้ขึ้นไป การมาหอนาฬิกาบิ๊กเบนมาง่ายๆ ด้วยรถไฟใต้ดิน Underground สถานี Westminsterเดินออกมาข้ามถนนก็ถึง และจุดยอดฮิตที่ต้องมาถ่ายรูปก็คือ ภาพหอนาฬิกาบิ๊กเบนและอาคารรัฐสภา ริมแม่น้ำเทมส์ จุดที่ดีที่สุดคือ
เดินไปถ่ายจากบนสะพานเวสต์มินสเตอร์รถบัสวิ่งมาเรื่อยๆ จนถึงป้าย Buckingham Palace

เตรียมตัวลงไปชมพระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) กันได้ นอกจากชมพระราชวังภายนอกแล้ว ยังสามารถเข้าชมภายในตัวพระราชวังด้านในกันได้ โดยจะเปิดให้เข้าชม ในเดือนสิงหาคมและตุลาคม ตั้งแต่เวลา09.30 – 16.30 น.

และกิจกรรมที่คนนิยมทำนอกจากแวะมาดูความสวยงามของพระราชวัง คือ การชมพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาพระองค์ ซึ่งโดยปกติแล้ว วันจันทร์ – เสาร์ จะเริ่มประมาณเวลา 11.00-11.30 น. ส่วนวันอาทิตย์เริ่ม 10.00 น. ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ว่าวันนี้ฉันเดินทางมาถึงบ่ายกว่า เลยเวลาสวนสนามไปนานแลว้จึงได้แต่ถ่ายรูปทหารยืนนิ่งเป็นรูปปั้นแทน

หากมาทางรถไฟใต้ดินVictoria ให้ออกทางออกถนน Buckingham Palace Road เดินเลาะเลียบรั้วไปประมาณ 10 นาทีก็จะเห็นตัวพระราชวังแล้ว ส่วนฉันนั่งรถบัสมาก็สะดวกสบายกว่านิด แนะนำเลยถ้าคุณมีเวลาน้อย แต่อยากได้ชมสถานที่เยอะการนั่งรถบัสทัวร์ชมเมืองเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่
น่าสนใจ

สนใจการเดินทางแบบรถบัสทัวร์ชมเมืองสามารถเลือกใช้บริการได้ที่Big Bus Tour เว็บไซต์ www.bigbustours.com หรือ Original Tour เว็บไซต์ www.theoriginaltour.com

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0