The Magic of Lapland

Story by Vacationist Team

“ไปล่าหาแสงเหนือ”
“ไปโรงแรมที่เป็นโดมกระจกนะพี่”
“นั่งรถเลื่อนให้สุนัขลากไปตามทางหิมะ”
“ล่องเรือตัดน้ำแข็งเลย”
“ต้องไปหาซานตาคลอสสิ ขอของขวัญ มาเผื่อด้วย”

นี่คือส่วนหนึ่งของคำตอบที่ผมถามว่าถ้าไปแลปแลนด์ (Lapland) แล้วจะไปทำอะไร ฟังแล้วเป็นอะไรที่น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับดินแดนแสนหนาวเย็น ทางเหนือของประเทศฟินแลนด์ (Finland) แค่ได้ยินชื่อกิจกรรมก็ฟินแล้วใช่ไหม แลปแลนด์อยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ บางพื้นที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง บางครั้งอาจเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนได้พระอาทิตย์ไม่ตกดินเป็นเวลา 73 วันในช่วงฤดูร้อน และไม่ขึ้นเลยเป็นเวลา 51 วันในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นจึงรับประกันว่าคุณจะได้ความหนาวเย็นแบบสุดขั้ว

บรรยากาศที่จัดว่ายากต่อการอยู่อาศัยแต่ก็ยังมีคนอยู่อาศัยและดั้นด้นไปอย่างผมเป็นต้น ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยในแถบนี้ เรียกว่าชาวซามิ (Sami) ที่ตั้งรกรากและสืบเชื้อสายมาจนถึงทุกวันนี้มีเหล่ากวางเป็นตัวช่วยทุกอย่างในการดำเนินชีวิต คือเป็นทั้งพาหนะ อาหาร และเครื่องนุ่งห่ม ซานตาคลอสไม่ใช่แค่ความเชื่อไร้เดียงสาสำหรับคนที่นี่ แต่เป็นตำนานที่มีความหมายสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของชาวแลปแลนด์มาอย่างยาวนาน นี่คืออารัมภบทคร่าวๆให้คุณรู้จักก่อนว่าแลปแลนด์คือแผนที่แบบไหน รู้แล้วตามผมไปสัมผัสแสงเหนือ นั่งรถเลื่อน นอนโรงแรมและพูดคุยกับคุณซานตาคลอสกันได้เลย

จากเมืองไทยสามารถไปแลปแลนด์ได้โดยการขึ้นเครื่องจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แล้วไปเปลี่ยนเครื่องที่เมืองเฮลซิงกิ (Helsinki) ที่ท่าอากาศยานเฮลซิงกิ-แวนต้า (Helsinki-Vantaa) จากนั้นใครจะบินต่อไปแลปแลนด์เลยหรือเที่ยวที่เมืองเฮลซิงกิก่อนก็ไม่ว่ากัน สำหรับการเดินทางในประเทศมีหลายสายการบินให้เลือกใช้เช่น สายการบิน Finnair, Norwegian, Sas แนะนำให้จองไว้แต่เนิ่นๆ ถ้าออกจากกรุงเทพฯ เที่ยวบินประมาณ 5 ทุ่ม ใช้เวลาบิน 11 – 12 ชั่วโมงก็ถึงท่าอากาศยานเฮลซิงกิ-แวนต้าประมาณตี 5 หรือ 6 โมง สำหรับเวลาของฟินแลนด์นั้นในช่วงฤดูหนาวจะช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 5 ชั่วโมง จากสนามบินนั่งรถไฟเข้าเมืองใช้เวลา 30 นาที หรือจะนั่งแท็กซี่ไปโรงแรมก็ได้

ผมเลือกที่จะเที่ยวเฮลซิงกิก่อน ส่วนหนึ่งเพราะผมแก่ละ เหนื่อยจากการเดินทางระยะยาวขอพักสักหน่อยก่อน อีกส่วนเพราะเมืองเฮลซิงกิก็มีที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายทีเดียว เฮลซิงกิเป็นเมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ เป็นเจ้าของสมญานาม ธิดาแห่งทะเลบอลติก ประชาชนส่วนใหญ่กว่าสี่แสนคน เป็นคนฟินแลนด์และสวีเดน เนื่องมาจากแต่ก่อนฟินแลนด์เคยอยู่ในการอารักขาของสวีเดนต่อมาในสมัยพระเจ้าซาร์ของรัสเซีย ได้ทรงขยายอำนาจเข้ามาในฟินแลนด์ และได้ย้ายเมืองหลวงมาตั้งอยู่ที่เฮลซิงกินับแต่นั้นมา

ผังเมืองถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ถนนกว้างสวยงาม มีสวนสาธารณะ ระบบขนส่งสาธารณะที่ดีเยี่ยมซึ่งมีเรือไปยังหมู่เกาะและรถไฟไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ในฟินแลนด์ตรงท่าเรือก็คับคั่งไปด้วยเรือที่มาจากเมืองต่างๆ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอยู่บริเวณใจกลางเมืองสามารถเดินเท้าหรือปั่นจักรยานเที่ยวชมได้ อย่างที่บอกเสมอ การเริ่มต้นท่องเที่ยวจากจัตุรัสเมืองดีสุดตรงบริเวณเฮลซิงกิ เซเนตสแควร์ (Senate Square)

ลานกว้างที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ศูนย์กลางเมือง ไว้จัดกิจกรรม เป็นพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์ของเมือง บริเวณรอบๆ รายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สวยงามจำนวนหลายแห่งตรงกลางคือพระราชานุสาวรีย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (Emperor Alexander II) หนึ่งในกษัตริย์แห่งราชวงศ์โรมานอฟผู้ทรงได้รับการถวายฉายาว่า “อเล็กซานเดอร์ ผู้ปลดปล่อย” จากการประกาศอิสรภาพของฟินแลนด์จากจักรวรรดิรัสเซีย แต่กลับถูกลอบปลงพระชนม์ในปี 1881

จึงมีการสร้างพระราชานุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้นในปี 1894 เพื่อรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ที่ทรงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับรัสเซียซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงถึงการพัฒนาฟินแลนด์ด้วย พระราชานุสาวรีย์นั้นประดิษฐานอย่างโดดเด่นอยู่ใจกลางจัตุรัส ทิศเหนือของจัตุรัส คือ มหาวิหารเฮลซิงกิ (Helsinki Cathedral) เป็นมหาวิหารสีขาวบริสุทธิ์ที่ตั้งตระหง่าน อันนี้แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลย เพราะมองมาจากตรงไหนก็เห็นเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก

เดิมเรียกมหาวิหารแห่งนี้ว่า “โบสถ์นิโคลัส”เป็นศาสนสถานแห่งคริสตจักรนิกายลูเธอรันและสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1852 ภายหลังมีการบูรณะและสร้างต่อเติมทั้งส่วนของโดมและใต้อาคารมหาวิหาร ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเดินมาอีกนิดก็จะเป็น มหาวิหารอุสเปนสกี้ (Uspenski Church) โบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1862 – 1868 โดยได้รับการออกแบบก่อสร้างโดย Aleksei Gornostajev

มหาวิหารอุสเปนสกี้นี้ถือว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อแทนความสัมพันธ์ที่มีต่อรัสเซียซึ่งเคยเข้ามาปกครองฟินแลนด์นานเกินกว่า 100 ปี ทำให้มหาวิหารแห่งนี้มีความงดงามด้วยลักษณะสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียเป็นอย่างมาก มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจากการใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง เรดส์ วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1864

ภายนอกและภายในมหาวิหารมีความงดงามแปลกตาเป็นสีน้ำตาลอิฐ โดมสีฟ้าอ่อน และยอดโดมเป็นสีทอง ภายในตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามด้วยสีทองและอัญมณี มหาวิหารอุสเปนสกี้ถูกสร้างอยู่บนหน้าผาสูงแถบชานเมืองที่เป็นเหมือนจุดชมวิวเมืองได้ทั่วและกว้างไกล

หลังจากได้พักผ่อนเต็มที่ วันถัดมาผมก็เดินทางต่อไปยังแลปแลนด์ (Lapland) ทางตอนเหนือของฟินแลนด์ จุดเริ่มต้นของการตามล่าแสงเหนือและพูดคุยกับซานตาคลอสในครั้งนี้ การไปแลปแลนด์ของฟินแลนด์ นั่งเครื่องบินสะดวกสุด เวลาชั่วโมงนิดๆ อารมณ์เหมือนเราไปเชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ จะสะดวกที่สุด มีเมืองหลักคือโรวาเนียมิ (Rovaniemi) แล้วก็มีเมืองเล็กน้อย กระจายตัวเช่น อินาริ (Inari) โซดานคึลา (Sodankyla) คิททิล่า (Kittila) อิวาโล (Ivalo) เป็นต้น

ผมเลือกบินลงที่เมืองอิวาโล (Ivalo) ที่ท่าอากาศยานอิวาโล (Ivalo Airport) ที่เมืองอิวาโล ก็เหมือนกับอีกหลายเมืองมีทัวร์นั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์และเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวซามิ กิจกรรมนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงสำหรับการลากเลื่อนและ 1 ชั่วโมงสำหรับเยี่ยมชมฟาร์มกวางเรนเดียร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจะได้พบคนเลี้ยงกวางและชมกวางเรนเดียร์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้ ราคาเริ่มต้นที่ 99 ยูโร / คน ราคานี้รวมรถรับส่งจากที่พักมายังจุดเริ่มต้นกิจกรรม ค่าเข้าชมฟาร์มเลี้ยงกวาง เครื่องนุ่งห่มกันหนาว ของว่างและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าต้องการกินอาหารเที่ยงที่ฟาร์มนั้นจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนิดหน่อย

การนั่งเลื่อนแบบนี้จะทำให้เราได้ชื่นชมบรรยากาศ และทัศนียภาพของเมืองได้จากที่นี่เราขึ้นเหนือขึ้นไปอีกที่เมืองอินาริ (Inari) เป็นเมืองเล็กๆ เงียบ และคนที่ไม่เยอะเท่าไร แต่หลายคนแวะที่นี่เพื่อทำกิจกรรมฤดูหนาวอย่างเล่นสกี ขี่สโนว์โมบิล (Snowmobile) และตามหาแสงเหนือ (Northern Lights หรือ Aurora) แสงเรืองงดงามหลากหลายสีที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน

ปรากฏการณ์สุดมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขตขั้วโลกเหนือ โดยจะเกิดในชั้นบรรยากาศที่มีความสูงจากพื้นโลก ประมาณ 100 ถึง 200กิโลเมตร บางครั้งปรากฏเป็นวงนิ่ง แล้วระเบิดออกมาเป็นสีต่างๆ บางทีก็เป็นแสงหลากสีวิ่งไปวิ่งมาอย่างสวยงาม

อีกสิ่งที่น่าสนใจของเมืองนี้คือ ทะเลสาบอินาริ (Lake Inari) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในแลปแลนด์และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือของฟินแลนด์ เป็นทะเลสาบที่สงบและสวยงามในช่วงฤดูหนาว

ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส หรือติดลบทำให้ที่ทะเลสาบอินาริกลายเป็นน้ำแข็ง และกลายเป็นลานกว้างสำหรับขี่สโนว์โมบิล อีกทั้งการได้ชมแสงเหนือบนทะเลสาบน้ำแข็งนั้น เป็นประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาเลย

จากเมืองอินาริ เราไปกันที่ บ้านหลังคากระจก (Levin Igloo) เมืองคิททิล่า (Kittila) นำเข้าพักในหมู่บ้านเรือนกระจก ถูกออกแบบพิเศษผลิตจากกระจกนำความร้อนแบบพิเศษมีการปรับอุณหภูมิภายในห้องอบอุ่นตลอดเพื่อให้ป้องกันหิมะเกาะเป็นน้ำแข็งและไม่ให้บดบังทัศนียภาพความงามด้านนอกห้อง เพื่อให้ได้ชมวิวภายนอกอย่างชัดเจน และไม่ควรพลาดกับประสบการณ์การเข้าพักช่วงฤดูหนาว

ในวันที่ท้องฟ้าเปิดคุณจะได้นอนบนเตียงแสนอุ่นพร้อมชมวิวแสงเหนือสุดสวยที่รอคอยในค่ำคืนฤดูหนาวไปต่อกันที่โรงแรมกักสเลาต์ตาเนน อาร์กติก รีสอร์ต – อิกลูส แอนด์ชาเลต์ (Kakslauttanen Arctic Resort – Igloos and Chalets) บอกก่อนว่าผมไม่ได้พักที่นี่นะ เพราะที่พักได้รับความนิยมมากต้อง จองล่วงหน้าอย่างน้อย 5-6 เดือนเลยทีเดียว แต่การพักห้องพักที่เป็นแบบ Glass Igloo ที่พักโดมที่คล้ายกับที่พักของชาวเอสกิโม

เชื่อว่าหลายคนอยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้เป็นอย่างยิ่งถ้าได้ไปอยู่ในอิกลูแล้ว ท่ามกลางป่าสน ห้องพักแต่ละหลังมีพื้นห้องติดตั้งระบบทำความร้อน และผนังกระจกรอบด้าน หลังคากระจกทำความร้อนที่มองเห็นวิวท้องฟ้าแบบไม่ต้องกลัวหนาว คุณได้ตื่นตากับแสงเหนือที่จะปรากฏให้เห็นกันจากในห้องเลยทีเดียว

ปลายทางต่อไปเมืองโรวาเนียมิ (Rovaniemi) เป็นบ้านเกิดและที่อยู่ของซานตาคลอส ที่เที่ยวยอดนิยมของที่นี่จึงหนีไม่พ้นหมู่บ้านซานตาคลอส (Santa Claus Village) หมู่บ้านอยู่ห่างจากตัวเมืองโรวาเนียมิประมาณ 7 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 10 นาที

ที่นี่มีลานสนุกกับหิมะ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ฟาร์มน้องหมาฮัสกี้ ฟาร์มพี่กวางเรนเดียร์ พร้อมกิจกรรมต่างๆ และมีลุงซานต้าตัวจริงเสียงจริงให้ถ่ายรูปและอวยพรเมืองโรวาเนียมิทางตอนเหนือของประเทศฟินแลนด์พิเศษที่อยู่บนเส้น Arctic Circle (วงกลมอาร์กติก) วงกลมที่ว่านี้คือ เส้นวงกลมละติจูดที่อยู่เหนือสุด

ที่นี่ถูกตั้งเป็นบ้านของซานตาคลอสที่อยู่ท่ามกลางป่าสนกว้างใหญ่ ภายในหมู่บ้านจัดทำให้มีคอนเซปต์เป็นหมู่บ้านซานตาคลอส การตกแต่งอาคารต่างๆ จะน่ารักสดใสไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข ถ้าได้ไปช่วงคริสต์มาสฟินสุดๆ ทีเดียว มีที่ทำการไปรษณีย์ของลุงซานต้า เป็นจุดรวมสำหรับการส่งของขวัญและจดหมาย โดยมีกิมมิกน่ารักๆ ก็คือ แสตมป์ที่ประทับตราพิเศษของ Santa Claus Village นั่นเอง จะส่งให้ใครก็ได้รับรองเป็นปลื้มไม่หายแน่นอน มีร้านขายของที่ระลึก

ที่ห้ามพลาดเลย คือคุณต้องไปถ่ายรูปกับคุณลุงซานต้าที่ใจดีเป็นที่ระลึกในการมาเยือนพร้อมรับประกาศนียบัตร ชมกวางเรนเดียร์สัมผัสกับพาหนะสำคัญของคุณลุงซานต้าที่ใช้เทียมเลื่อนหิมะ หรือไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยการขับเคลื่อนสุนัขลากเลื่อน (Husky Safari) ฮัสกี้เป็นสุนัขที่มีมายาวนานกว่า 3,000 ปีมาแล้วเพื่อใช้ในการลากเลื่อนบรรทุกสิ่งของหรือเป็นพาหนะในพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะฮัสกี้จึงได้กลายมาเป็นสุนัขลากเลื่อนพันธ์แุท้ที่มีประสิทธิภาพในการลากเลื่อนสูงสุดในบรรดาสุนัขลากเลื่อนทั้งหมด ซึ่งนอกจากนี้สุนัขลากเลื่อนยังเป็นกีฬายอดนิยม โดยมีมัชเชอร์ (Musher) เป็นผู้บังคับเลื่อนในการแข่งขันแต่ละครั้งจนแพร่หลายไปยังหลายประเทศแถบขั้วโลก

ใกล้กันนั้นขับรถไม่ถึง 5 นาทีเป็นซานต้า พาร์ก (Santa Park) เป็นสวนสนุกในแถบขั้วโลกเหนือเพียงแห่งเดียว ที่ถูกสร้างอยู่ใต้ดิน ภายในมีทั้งเครื่องเล่น และโซนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาสมากมาย เช่น มีเอลฟ์โชว์, ชมความน่ารักของเหล่าบรรดาสัตว์ที่ Elf’s Farm YardPetting Zoo, ทั้งยังสนุกสนานกับสโนว์แมนที่ Snowman World, ครีเอตขนมปังขิง-ชิมขนมปังขิงคริสต์มาสแท้ๆ

มีเซาน่าควันที่มีชื่อเสียงระดับโลก, ขับสโนว์โมบิลล่าแสงเหนือ, นั่งสุนัขไซบีเรียนลากเลื่อน, นั่งกวางเรนเดียร์ลากเลื่อน, ลงเรือตัดน้ำแข็ง, ลอยน้ำท่ามกลางน้ำแข็งขั้วโลก สวนสนุกแห่งนี้จะมีทั้งร้านอาหารและคาเฟ่หลายแห่งคอยให้บริการ มีบาร์น้ำแข็งอย่าง Snowman World Ice Restaurant & Ice Bar ที่ทุกอย่างในบาร์คือน้ำแข็งทั้งหมดไม่เว้นกระทั่งโต๊ะ เก้าอี้ แก้ว เสิร์ฟด้วยเมนูเฉพาะที่ผลิตจากวัตถุดิบท้องถิ่น โดยบาร์แห่งนี้จะเปิดตั้งแต่ ธันวาคม-มีนาคมเท่านั้น

สำหรับใครที่พอมีเวลาขับต่อไปสัก 2 ชั่วโมงมีโรงแรมน้ำแข็งชื่อ Snow hotel of Kemi มีห้องพักที่ทำจากหิมะและน้ำแข็ง แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะหนาว เพราะเขามีผ้าห่มอุ่นขนแกะและถุงนอนบุนุ่มที่จะทำให้คุณผ่านคืนหนาวอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -5 องศาเซลเซียสไปได้

นอกจากนั้นยังมีปราสาทหิมะ (Snow Castle) เป็นปราสาทหิมะที่สวยงามโบสถ์หิมะ Snow Chapel สำหรับจัดงานแต่งงาน รูปสลักมากมายที่ตกแต่งด้วยแสงไฟ แกลเลอรี Gemstone Gallery และโปรแกรมกิจกรรมประจำสัปดาห์ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0