Slow life in Kichijoji
Story & Photo by Orawan
เพียง 15 นาทีโดยรถไฟสายด่วน JR Chuo line จากสถานีชินจุกุ (Shinjuku) หรือ 18 นาทีโดยรถไฟสายด่วน Keio Inokashira line จากสถานีชิบูย่า (Shibuya) คุณก็สามารถมาเดินเตร่เที่ยวแบบ slow life กับที่นี่ เมืองคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านที่ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติยกให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในญี่ปุ่นหลายต่อหลายครั้ง เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังมีธรรมชาติที่สวยงามให้สัมผัสในทุกฤดูกาล
Let’s go shopping
เพียงก้าวแรกที่คุณเดินออกมาจากสถานีคิชิโจจิคุณจะเห็นร้านค้าและร้านอาหารมากมาย สำหรับขาช้อปคงตาลุกวาวกันเลยทีเดียว ถ้าออกจากสถานีทางทิศเหนือจะเห็นวงเวียนที่มีรถบัสมากมายจอดอยู่ ข้ามถนนไปก็จะเจอกับโซนแรกคือ SUNROAD ซึ่งจุดเด่นหลักคือหลังคาสีฟ้า ด้านในเต็มไปด้วยร้านค้าทั้งเสื้อผ้า ร้านขายยา ร้านอาหารแม้จะไม่ใช่อาหารพื้นบ้าน เป็นอาหารแฟรนไชส์ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่ก็เหมาะสำหรับคนที่กินอาหารญี่ปุ่นเบื่อแล้ว หรือต้องการใช้เวลาในการกินไม่นาน เพื่อจะได้เดินเที่ยวต่อก็เหมาะทีเดียว
ส่วนด้านซ้ายมือของสถานีคือห้างสรรพสินค้าพาร์โก้ (Parco) ที่มีร้านมากกว่า 100 ร้านทั้งร้านอุปกรณ์ตกแต่ง ร้านเครื่องสำอาง อุปกรณ์กาน้ำ ร้านนวด ร้านทำเล็บ เสริมสวย ที่สำคัญ ร้านค้าบางร้านร่วมบริการเป็นร้านปลอดภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ถัดไปอีกหน่อยคือตรอก Harmonica ตรอกนี้แนะนำให้มาช่วงเย็นหรือค่ำ จะคึกคักสุดๆ เพราะเป็นแหล่งรวมของร้านอาหารแบบสังสรรค์ที่เรียกว่า Izakaya มีเครื่องดื่มและเมนูปิ้งย่างพูดคุยกันให้บรรยากาศของพนักงานออฟฟิศญี่ปุ่นหลังเลิกงานสุดๆ
จากทางออกทางเหนือนี้เอง เดินตรงไปทางซ้ายเรื่อยๆ จะเห็นตึกยูนิโคล่ (Uniqlo) ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เสื้อผ้าลดราคาที่นี่มีครบแทบทุกไซซ์ ไม่ต้องแย่งใครแบบห้างในโตเกียว และข้างๆ ตึก 7 ชั้นของยูนิโคล่มีถนนเล็กๆ ที่ชื่อถนน Nakamichi
สำหรับคนที่มาคิชิโจจิแล้วมาไม่ถึงโซนนี้ถือว่าพลาดตลอดถนนเรียงรายด้วยร้านขายของประดับและเสื้อผ้าสไตล์ Zakka เน้นความเรียบง่าย เป็นทั้งงานประดิษฐ์และทำมือ โทนจะออกหวานแนวพาสเทล หรือมินิมอล แต่เก๋ไก๋
มาโซนนี้เชื่อได้ว่าเงินเยนในกระเป๋าของคุณต้องสั่นระริกเป็นแน่แท้ ฉันสังเกตเห็นของตกแต่งบ้านหลายชิ้น น่ารักน่าซื้อไปหมด
เสื้อผ้าก็เป็นแนวที่ใส่สบายเหมาะกับนำกลับมาใส่เมืองร้อนเช่นเมืองไทยของเรา เครื่องประดับก็กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักน่าซื้อไปหมด
นอกจากเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้านและร้านคาเฟ่หรือร้านอาหารของที่นี่ก็น่าเข้าไปนั่งพักไปเสียหมดทุกร้าน
บางร้านมีเมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ หอมกรุ่นมาก หรือบางร้านก็มีการตกแต่งประดับให้เราสามารถปล่อยอารมณ์จนลืมเวลากันทีเดียว
อย่างเช่นร้านโดนัท : ฮะระ HARA DONUTS แค่หน้าร้านสีขาวก็น่ารักน่าถ่ายรูปแล้ว ร้านนี้เดิมเขาขายเต้าหู้มาก่อน ก่อนที่จะนำกากเต้าหู้มาดัดแปลงเป็นแป้งโดนัทสูตรพิเศษ และนำมาทำโดนัทถั่วเหลืองเพื่อสุขภาพ
ซึ่งโดนัทมีรสให้เลือกมากมาย กลิ่นหอมมาก กรอบนอกนุ่มใน มีรสของถั่วเหลืองนิดๆ แปลกลิ้นแต่ประทับใจไม่ใช่น้อย นอกจากจะมีรสปกติแล้วบางทีก็จะมีรสพิเศษตามเทศกาลอีกด้วย
ใกล้ๆ กันนั้น ร้านที่มีประตูสีฟ้าสดใส ร้านกาแฟ Light Up Coffee เหมาะสำหรับนั่งพักหลังจากเดินมาตลอดเส้นทาง
มีกาแฟหลากหลาย แต่ที่พิเศษคือ มีเมล็ดกาแฟจากหลากหลายประเทศให้คนที่ติดใจซื้อติดมือกลับบ้านไปด้วย Nature is all around me
สำหรับคนที่ไม่ใช่ขาช้อปและไม่ได้เป็นแนว zakka แต่เป็นแนว Nature ที่นี่มีสวนสาธารณะเก่าแก่อีกแห่งของโตเกียว ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917 ซึ่งครบ 100 ปี ในปี ค.ศ. 2017 ที่ผ่านมา
นั่นคือสวนอิโนคะชิระ (Inokashira Park) จากสถานีรถไฟเดินมาที่สวนใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น สามารถเข้าชมได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่ไกลกันนั้นก็มีสวนสัตว์ (จุดนี้มีค่าบริการเข้าชมเล็กน้อย)
ภายในสวนมีสระน้ำที่กว้างใหญ่มากชื่อ อิโนคะชิระ ชื่อเดียว กับสวนซึ่งโชกุนโทกุกะวะที่ 3 เป็นผู้ตั้งชื่อให้มีความหมายว่าแหล่งต้นน้ำของน้ำกินน้ำใช้ เพราะแต่เดิมที่นี่เคยเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของผู้คนสมัยเอโดะที่ช่วยกักเก็บน้ำจากแม่น้ำคันดะ (Kanda River) นั่นเอง
ผู้คนสมัยนั้นนิยมนำน้ำจากที่นี่ไปใช้ในพิธีชงชา แต่ปัจจุบันผู้คนใช้สระแห่งนี้เป็นที่พายเรือหรือถีบเรือเป็ดในช่วงเวลาว่างหรือวันหยุดเสียมากกว่า ด้วยเพราะในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเห็นต้นซากุระผลิดอกสีชมพูสะพรั่ง งดงาม รายล้อมสระน้ำไปหมด คนญี่ปุ่นก็จะออกมานั่งปิกนิกชมซากุระในเทศกาลฮานามิกัน
หากใครมาช่วงดังกล่าวไม่ควรพลาดที่จะแวะมาที่นี่ นอกจากได้ชมดอกไม้ คุณจะ ได้เห็นวิถีชีวิตที่แสนอบอุ่น และเรียบง่ายของเมืองนี้ เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจมาก หรือจะออกกำลังกายโดยการใช้บริการถีบเรือเป็ด ก็ไม่แพงมากนัก ราคาเพียง 700 เยนต่อเวลา 30 นาที ไม่เพียงแต่หนุ่มสาวที่นิยมมาถีบเรือเป็ดกัน ฉันเห็นครอบครัวพ่อแม่ลูกหรือแม้แต่คุณตาคุณยาย แทบทุกคน ทุกเพศทุกวัยก็ใช้เวลาออกไปถีบเรือกันอย่างสนุกสนาน
ยิ่งในวันหยุดแล้วก็ยิ่งเห็นผู้คนคึกคักมากเป็นพิเศษเพราะในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะมีตลาดนัดขนาดย่อมๆ ให้ได้จับจ่ายซื้อสินค้าทำมือน่ารักๆ จากศิลปินเอง หรือชมการแสดงเช่น ละครใบ้ การเล่นดนตรี การเล่านิทาน การวาดภาพ ซึ่งเป็นที่ชื่นชมสำหรับเหล่าเด็กๆ เป็นอย่างมาก สวนเปิดบริการตั้งแต่ 09.30 – 17.20 น. ของทุกวัน (เวลาอาจปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล) นอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามทั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงแล้ว
ที่นี่ยังมีสวนสัตว์อยู่ภายในสวนสาธารณะอีกด้วย ชื่อ สวนสัตว์อิโนคะชิระปาร์ก (Inokashira Park Zoo) ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูและหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราต้องแวะมาสวนสัตว์นี้ แต่ถ้าบอกว่าสวนสัตว์แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของช้างไทยที่มีชื่อว่า “ฮะนะโกะ” แล้วละก็คงพอคุ้นกันบ้าง เมื่อช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ช้างน้อยที่ชื่อฮะนะโกะในวัย 2 ขวบได้ถูกส่งตัวมาที่ญี่ปุ่นเพื่อเป็นทูตสันถวไมตรี
ฮะนะโกะเคยอยู่ที่สวนสัตว์อุเอะโนะเมื่อปี 1949 ก่อนจะย้ายมาที่นี่ ฮะนะโกะอยู่ที่ญี่ปุ่นนานมากจนถูกเรียกว่าคุณยายฮะนะโกะ และเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 คุณยายฮะนะโกะได้ล้มลง (เสียชีวิต) มีอายุรวม 69 ปี สร้างความสะเทือนใจต่อชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก เพราะคนรุ่นก่อนจะผูกพันกับคุณยายฮะนะโกะมาก หลายคนเคยมาเยี่ยมและพาลูกหลานมาสัมผัสกับความเป็นมิตรของคุณยายฮะนะโกะ
เมื่อคุณยายฮะนะโกะเสียชีวิต จึงรู้สึกเสียใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนหลังจากคุณยายฮะนะโกะเสีย ทางสวนสัตว์เปิดโอกาสให้คนมาวางดอกไม้ เขียนข้อความส่งถึงฮะนะโกะเป็นครั้งสุดท้าย มีคนมาวางดอกไม้และเขียนจดหมายมอบให้กว่า 10,000 ฉบับและงานอาลัยที่จัดขึ้นในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ก็มีคนมาร่วมงานกว่า 3,000 คน
ซึ่งความผูกพันนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งรวบรวมเงินเพื่อทำรูปปั้นช้างฮะนะโกะขึ้นมา รูปปั้นนี้อยู่บริเวณหน้าสถานีคิชิโจจิ รูปปั้นมีความสูง 2.5 เมตร โดยช้างอยู่ในท่าที่ยื่นขาขวาออกมาข้างหน้า เป็นลักษณะของการแสดงการทักทาย ใช้เงินในการสร้างประมาณ 14 ล้านเยน
ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีเงินบางส่วนที่ได้รับการบริจาคจากประเทศไทยด้วย นอกจากช้างไทย ที่เป็นตำนานที่นี่แล้วในสวนสัตว์ก็ยังมีสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย ค่าเข้าชมคนละ 400 เยนเท่านั้น
เดินกินลมชมวิวกันไปอีกหน่อย ท้ายสวนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์อนิเมะสุดน่ารักของค่ายหนังสตูดิโอ จิบลิ พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) จิบลิ (Ghibli) หรือที่คนญี่ปุ่นอ่านว่า จิ-บุ-หริ นั้นเป็นชื่อเครื่องบินรบของอิตาลีระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหมายถึงสายลมร้อนที่พัดผ่านทะเลทรายซาฮาร่า
ชื่อนี้ไม่ได้ตั้งเพียงเพราะความหลงใหลในเครื่องบินของฮะยะโอะ มิยะซะกิ (Hayao Miyazaki) ผู้ก่อตั้งเท่านั้นแต่ยังแฝงไปด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้ลมแห่งความมหัศจรรย์ในโลกแอนิเมชันของเขาพัดผ่านไปถึงคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ และเชื่อว่าตอนนี้พัดเข้าสู่ภายในใจของคนทั่วโลกก็ว่าได้
พิพิธภัณฑ์สตูดิโอจิบลิแห่งนี้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2001 ด้านในได้เก็บรวบรวมผลงานอนิเมะของสตูดิโอจิบลิมาจัดแสดงให้ดูแบบเต็มอิ่ม ไม่ว่าจะเป็นตัวละครสุดน่ารักอย่างเจ้าโตโตโร่จากเรื่อง My Neighbor Totoro เด็กน้อยโปเนียว จากเรื่อง Ponyo และการ์ตูน Spirited Away
ด้านชั้นบนสุดที่จะเป็นชั้นลอยยังจะได้เห็นการประดับตกแต่งด้วยหุ่นยักษ์จากเรื่อง Laputa-Castle in the Sky ที่สูงถึง 15 ฟุต เรียนรู้สถานที่จริงเบื้องหลังฉากดังในภาพยนตร์ “Howl’s Moving Castle” ชมหุ่นต้นแบบของเครื่องจักรไอน้ำ และเครื่องบิน ดูการจัดแสดงมากมาย เช่น Totoro zoetrope
นอกจากจะมีการจำลองบางฉากบางตอนจากตัวการ์ตูนดังๆ เหล่านั้นมาจัดแสดง ให้เราได้สัมผัสได้ ถ่ายรูปได้ ยังมีการนำเสนอกระบวนการทำงานแอนิเมชันตั้งแต่เริ่มต้นจากลากเส้นจนกลายเป็นตัวการ์ตูนแสนน่ารักบนแผ่นฟิล์มที่มีบรรยากาศสมจริง
มีโรงหนังที่หมุนเวียนฉายเรื่องสั้นของ Ghibli ตลอดทั้งวัน เดินเหนื่อยๆ ก็สามารถแวะพักดื่มชาหรือกินขนมชิลๆ ในร้าน Straw Hat Cafe ได้
การเข้าชมที่นี่ต้องมีการจองตั๋วล่วงหน้าเท่านั้นไม่มีการจำหน่ายตั๋วด้านหน้า แต่ด้านหน้าที่เห็นจะเป็นที่แลกบัตร และเมื่อแลกบัตรแล้วยังจะได้รับฟิล์มจากแอนิเมชันเป็นของที่ระลึก สำหรับการจองตั๋วสามารถจองออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ www.lawson.co.jp/ghibli_museum/ หรือสามารถซื้อตั๋วผ่านทางเอเจนต์เมืองไทยได้ แต่ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 เดือนก่อนเดินทาง ถ้าได้มาชมที่นี่แม้ไม่รู้จักตัวการ์ตูนเหล่านี้มาก่อน ฉันก็เชื่อว่า กลับออกไปคุณต้องกลายเป็นแฟนคลับตัวการ์ตูนสักตัวอย่างแน่นอน
การเดินทาง : สามารถมาได้ 2 วิธี จากสถานีคิชิโจจิเดินมาทางสวนอิโนคะชิระ และทะลุออกทางด้านหลังของสวนแบบฉัน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็คือลงที่สถานีมิทากะ (Mitaka Station) ออกทางออกทางทิศใต้แล้วขึ้นรถบัสจากป้ายหมายเลข 9 สาย Loop Bus Via Ghibli Museum พิพิธภัณฑ์เปิดตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 1,000 เยน / เด็ก 13-18 ปี 700 เยน / เด็ก 7-12 ปี 400 เยน / เด็ก 4-6 ปี 100 เยน
คิชิโจจิ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายจุดและมีร้านค้า ร้านอาหารอีกหลายร้านที่น่าแวะ สำหรับฉันการเดินทางมาที่นี่ 1 วันแบบช้าๆ ไม่เพียงพอ ครั้งหน้าจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน