New Golden Route via HOKURIKU Part1-Fukui
Story & Photo by Orawan
“มีบัตรรถไฟ บัตรไหนที่จะเชื่อมต่อเมืองสำคัญอย่างโอซาก้าและโตเกียวได้บ้าง?”
เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ฉันมักได้ยินเสมอ ถ้าต้องการเที่ยวญี่ปุ่นในงบที่จำกัด แต่มีเงื่อนไขว่าอยากไปหลายๆ เมือง ฉันตอบได้เลยว่า มีแน่นอน บัตรนั้นคือ บัตร Hokuriku Arch Pass บัตรโดยสารเดียวที่ครอบคลุมตั้งแต่โอซาก้า ถึงโตเกียว และคุณสามารถใช้ยาวต่อเนื่องภายใน 7 วัน ราคาเพียงแค่ 24,440 เยนเท่านั้น
แล้วคุณก็สามารถใช้โดยสาร
- รถNarita Express (จำกัดพื้นที่การใช้งาน) และ Kansai-Airport Express “HARUKA” (nonreservedseat) จากสนามบินเข้าเมืองได้
- สามารถขึ้นได้ไม่อั้น ในแถบพื้นที่โฮคุริคุ (Hokuriku) ซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดโทยามะ(Toyama) กับจังหวัดอิชิคะวะ (Ishikawa) หรือจังหวัดฟุคุอิ (Fukui)
- สามารถขึ้นรถไฟ Hokuriku Shinkansen (Kanazawa -Kurobe – Unazuki Onsen)
- ใช้ขึ้นรถ limited express, local trains แบบ rapid service, รถสาย “HARUKA” แบบไม่สำรองที่นั่ง
- รถบัส West JR Bus ภายในพื้นที่ (รวมไปถึงรถไฟเร็ว) แบบไม่ระบุที่นั่ง
- และ Tokyo Monorail lines ได้
ไม่สามารถใช้กับ
- Hokuriku Shinkansen “KAGAYAKI” และ Tokaido และ Sanyo Shinkansen
ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ติดกับทะเลญี่ปุ่นมีขุนเขากว้างใหญ่ มีธารน้ำใส และมีแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมมากมาย เรียกว่า คุ้มครบใน 7 วันอย่างแน่นอน อย่างฉันเดินทางครั้งนี้ไป 4 พื้นที่ ได้แก่
ฟุคุอิ (Fukui) อาณาจักรของคนรักครอบครัว
จากเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างโอซาก้า ฉันนั่งรถไฟ JR Limited Express Thunderbird ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้นก็เดินทางถึงจังหวัดฟุคุอิ (Fukui) ที่อยู่ตอนบนของเกียวโต ทื่หลายคนอาจไม่คุ้นหูเพราะเป็นเหมือนเมืองผ่านที่ไปเมืองหลักทั้งคานาซาว่า (Kanazawa) และกิฟุ (Gifu) แต่สำหรับฉันนั้นค่อนข้างจะคุ้นเคย เพราะเดินทางมาหลายครั้ง บอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าฟุคุอิพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่มาเป็นครอบครัว
ฟุคุอิเป็นจังหวัดหันหน้าออกสู่ทะเลญี่ปุ่นและรายล้อมไปด้วยขุนเขาและธรรมชาติสถานที่ท่องเที่ยว อย่างในตัวเมืองฟุคุอิ ถ้าไม่นับรูปปั้นไดโนเสาร์ขนาดมหึมาที่ด้านหน้าลานของสถานีฟุคุอิ ที่ใครๆ ต่างก็มาถ่ายรูปแล้วฉันว่า สวนโยะโกะคัง (Youkoukan) ที่สามารถเดินจากสถานีไปได้เพียง 15 นาทีก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มาแล้วก็ไม่ควรพลาด
สวนแห่งนี้เป็นบ้านพักหลังที่สองของขุนนางฟุคุอิ (Fukui lord) ของตระกูลมัตสึไดระ(Matsudaira) เป็นสวนญี่ปุ่นสไตล์ไคยุชิกิรินเซ็นเทเอ็น (Kaiyushiki Rinsenteien) ที่มีสระน้ำขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยหินและต้นไม้มากมาย
สวนนี้มีความพิเศษคือ เราสามารถมองเห็นสระน้ำและทิวทัศน์ของสวนที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลต่างๆ ได้จากภายในคฤหาสน์
มีห้องที่ชมพระจันทร์ได้รอบทิศทาง ไม่ว่าฤดูกาลไหนสวนแห่งนี้ก็สวยงามอยู่เสมอ
ภายในห้องชมจันทร์เราจะสามารถมองเห็นดวงจันทร์ที่เคลื่อนตัวผ่านจากฟากด้านหนึ่งผ่านไปอีกด้านหนึ่ง
จากสวนเราจะเห็นความงดงามของตำหนักที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม
รายละเอียด สวน
ที่อยู่ 3-11-16 Hoei, Fukui City, Fukui
เวลาเปิด 9:00-19:00 น.
ค่าเข้าชม 210 เยน
ตอนกลางของจังหวัดที่เมืองสึรูงะ (Tsuruga) มีศาลเจ้าชินโตอย่างศาลเจ้าเคฮิ (Kehi Jingu Shrine) ตั้งอยู่
ประตูสีแดงหรือโทริอิของศาลเจ้าแห่งนี้สูงถึง 10.93 เมตร เป็นหนึ่งในสามของประตูไม้ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น
อีกสองแห่งคือที่ศาลเจ้าคะซุงะไทฉะ (Kasuga Taisha Shrine) จังหวัดนารา (Nara) และศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine) เกาะมิยะจิมะ (Miyajima Island) จังหวัดฮิโรชิมะ (Hiroshima)
เมื่อผ่านเข้าประตูศาลเจ้าไปซ้ายมือจะเห็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ชีวิตยืนยาวเล่ากันมาว่าน้ำนี้ผุดออกมาจากใต้ดิน ตอนสร้างศาลเจ้าเพื่อแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าแห่งความอายุยืน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงรู้จักน้ำแห่งนี้ว่า “น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ชีวิตยืนยาว”
ผู้คนที่นี่เดินทางมาขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้เพื่อให้เก็บเกี่ยวผลผลิต และออกทะเลหาปลาให้ได้มากๆ
อีกหนึ่งที่เที่ยวที่ต้องมา หากมาที่ฟุคุอิคือ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์แห่งจังหวัดฟุคุอิ (Fukui Prefectural Dinosaur Museum) เมืองคัตสึยามะ (Katsuyama)
ครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่อดตื่นเต้นไม่ได้กับทางเดินบันไดเลื่อนที่ทอดยาวพาเข้าไปสู่อาณาจักรของโครงกระดูกไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์
ภายในพิพิธภัณฑ์ที่มีกว่า 4 ชั้นพร้อมทั้งตื่นตะลึงกับไดโนเสาร์ร่างยักษ์ที่ขยับ ส่งเสียงคำรามราวกับมีชีวิต
โครงกระดูกเหล่านี้เป็นฟอสซิลที่ถูกพบในเมืองฟุคุอิและบริเวณใกล้เคียง
นอกจากนี้ภายในอาคารยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์โลก (Earth Science)ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับโลกและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตผ่านรูปภาพโมเดลและวิดีโอ
มีนิทรรศการประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต (History of Life) มีห้องที่สามารถสัมผัสฟอสซิลจริงและห้องกระจกปฏิบัติการที่มองเห็นการทำงานของนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย
นอกจากตัวอาคารพิพิธภัณฑ์หลักแล้วบริเวณใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ยังเป็นพื้นที่ที่ขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
รายละเอียดพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์จังหวัดฟุคุอิ
ที่อยู่51-11 เทราโอะ มุโรโกะโช คัตสึยาม่าซิตี้ (51-11 Terao, Muroko-cho, katsuyama City)
เวลาทำการ 09:00 น. ถึง 17:00 น.
ค่าเข้าชม 260 เยน (สำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่า 15 ปี)/ 410 เยน (สำหรับนักเรียนมัธยมปลายและนักศึกษา)/ 720 เยน (ผู้ใหญ่)
นอกจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วเมืองคัตสึยามะมีชื่อเสียงในฐานะของเมืองสิ่งทอจากนั้นฉันไปต่อที่ พิพิธภัณฑ์สิ่งทอ ยูเมะโอเระคัตสึยามะ (Yumeole Katsuyama – Textile Museum)
ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารเก่าที่เป็นโรงงานตั้งแต่สมัยเมจิใช้งานเรื่อยมาจนถึงปีค.ศ. 1998 ก่อนจะนำมาปรับปรุงใหม่ และจัดแสดงให้ชมกัน
นอกจากจะมีเครื่องจักรในอดีตที่บางชิ้นยังใช้งานได้ดีต่อมาได้รับการปรับปรุงใหม่
และจัดแสดงเครื่องจักรทอผ้าขนาดใหญ่ และอุปกรณ์ที่มีการใช้งานในสมัยนั้น
นอกจากนี้ที่นี่เรายังสามารถทำกิจกรรมทำจานรองแก้วจากสิ่งทอและการสร้างผลงานศิลปะจากรังไหมแบบง่ายๆ ได้อีกด้วย
สำหรับคนรักกิจกรรมอีกหนึ่งจุด ที่น่าแวะคือ หมู่บ้านทำมีดทาเคฟุ (Takefu Knife Village) เมืองเอจิเซ็น (Echizen)
ชื่อเสียงของมีด Takefu Knives ที่มาจากช่างฝีมือผู้ชำนาญการที่สืบทอดกันมากว่า 700 ปี
มีดจากหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นแบรนด์มีดที่รู้จักกันดีทั้งที่ญี่ปุ่นเองและต่างประเทศ
ที่หมู่บ้านมีศูนย์การเรียนรู้การทำมีด ตลอดจนโรงงานที่เปิดให้เข้าชมพร้อมทั้งให้ทดลองทำงานฝีมือเป็นมีดขนาดย่อมสำหรับผู้มาเยือน
ปิดท้ายวันกันด้วยหนึ่งจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ขึ้นชื่ออย่าง หน้าผาหินโทจินโบ (Tojinbo) ที่ไม่เคยว่างเว้นจากนักท่องเที่ยวเลย
ภาพของคลื่นที่กระทบฝั่งทุกเมื่อเชื่อวัน เกิดเป็นหน้าผาที่เป็นรอยแยกรูปเสาหินเหลี่ยมอันเกิดจากหินแอนดีไซต์ที่มีส่วนประกอบของแร่ไพร็อกซีนนี้หาพบได้ยากมีเพียงแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่นและมีเพียงสามแห่งในโลกเท่านั้น
แต่ถ้าต้องการชมพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมทั้งชมทิวทัศน์มุมสูงแบบรอบทิศทาง 360 องศา แล้วละก็ ให้ไปที่มิคะตะโงะโกะ (Mikatagoko) หรือทะเลสาบทั้ง 5 แห่งของมิคะตะ (Mikata Five Lakes)ได้แก่ ทะเลสาบมิคะตะ (Lake Mikata) ทะเลสาบซุยเง็ทสึ (Lake Suigetsu) ทะเลสาบซุงะ (Lake Suga) ทะเลสาบคุงุชิ (Lake Kugushi) และทะเลสาบฮิรุงะ (Lake Hiruga) ซึ่งแทรกตัวอยู่ตามภูเขาในจังหวัดฟุคุอิ
ใกล้กันนั้นมีซันโจโคเอ็น (Sancho Koen) หรือสวนสาธารณะบนยอดเขาที่ชื่อ Rainbow Line Summit Park ด้านบนนั้นคุณสามารถมองเห็นทะเลสาบ 5 แห่งและทะเลญี่ปุ่นได้ทั่วทั้งหมด
เราใช้บริการกระเช้าไฟฟ้า พาขึ้นไปด้านบนของขุนเขา เพื่อสัมผัสภาพทิวเขาสลับซับซ้อนที่โอบกอดทะเลสาบในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เป็นภาพที่งดงามมาก
ที่นี่ยังมีงานประติมากรรมมากมาย และกิจกรรมหลากหลายไม่ว่าจะเป็น Kawarakenage การเขียนความปรารถนาลงบนกระเบื้องดินเผาโยนออกไปนอกหน้าผา
The Key of Vows กิจกรรมแขวนกุญแจเพื่อของานที่ดีสุขภาพที่ดีกว่า หรือจะเป็นการชมสวนดอกไม้แสนสวยที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ อย่างช่วงที่ฉันไป เป็นสวนกุหลาบที่มีดอกกุหลาบมากกว่า 80 สายพันธุ์หลายร้อยดอกเบ่งบาน มีซอฟต์ครีมรสกุหลาบหอมกรุ่น
ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงามที่นี่ถือได้ว่า เป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดสำหรับจังหวัดฟุคุอิ แห่งนี้
รายละเอียด Rainbow Line Summit Park
ที่อยู่ Mihama-cho and Wakasa-cho
เวลาเปิดทำการ (ตุลาคมถึงเมษายน) 8:00 – 18:00 น. / (พฤษภาคมถึงวันที่ 20 กรกฏาคม / กันยายน) 7:00 – 19:00 น. / (วันที่ 21 กรกฎาคมถึงวันที่ 31 สิงหาคม) 6:00 – 20:00 น.
ค่าบริการ * ค่าทางหลวง 1,040 เยน (รถขนาดปกติ) / 2,500 เยน (มินิบัส) /4,000 เยน (รถบัสขนาดใหญ่และรถบรรทุกขนาดใหญ่) / 730 เยน (รถมอเตอร์ไบค์ ยกเว้น รถมอเตอร์ไซค์)
* สวนธาราณะยอดเขา 800 เยน (รวมค่าบริการลิฟต์และเคเบิลคาร์)
อ่านเรื่องราวตอนที่ 2 เมืองอิชิคะวะ ได้ที่นี่ New Golden Route via HOKURIKU Part2 -Ishikawa
เดินทางเส้นทาง Hokuriku สะดวกขึ้นด้วย JR Hokuriku Arch Pass http://hokuriku-arch-pass.com/Explore_Japan/
ราคาบัตร https://hokuriku-arch-pass.com/en/