เส้นทางสายมหัศจรรย์และก้อนหินแห่งธรรมชาติ
Story & Photo by Orawan
หลายชั่วโมงก่อนฉันเก็บกระเป๋าบินลัดฟ้าสู่เมืองเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย หลังจากแลกรับรถเช่าจากบริษัทเช่ารถที่ไม่ห่างจากสนามบินมากนักฉันทิ้งเมลเบิร์นไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่พอร์ต แคมป์เบล (Port Campbell) ในทันทีการขับรถเที่ยวที่ออสเตรเลียไม่ยากมากนัก เนื่องจากถนนใหม่กว้างและสภาพเยี่ยมแต่สิ่งที่ควรระวังที่สุดของที่นี่คือ กล้องตรวจจับความเร็ว กรุณาทำตามป้ายกำหนด ความเร็วอย่างเคร่งครัด ส่วนมากจะให้ขับไม่เกิน 100 กม./ชม. วิวสองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดตา สลับกันกับบ้านเรือนเป็นพักๆ ที่สำคัญไม่ค่อยเห็นป้ายโฆษณาข้างทางมากนัก
ทริปนี้นอกจากจะมากินลมชมวิวริมชายฝั่งทะเลแปซิฟิก บนถนนสายที่เรียกว่าสวยงามที่สุดเส้นหนึ่งแล้ว ฉันตั้งใจมาดูประติมากรรมทางธรรมชาติที่เรียกว่าทเวลฟ์ อะพอสเซิล (Twelve Apostles) อีกด้วย การเดินทางไปมี 2 เส้นทางหากนับจากเมืองจีลอง (Geelong) โดยเส้นทางหนึ่งจะเป็นเส้นทางลัดตัดป่าเขาผ่านเมืองวิงชีสซี (Wichelsea) เมืองโคแลค (Colac) และจบที่พอร์ต แคมป์เบลที่พักของเรา อีกเส้นทางหนึ่งคือเส้นทางเลียบชายทะเลสุดโรแมนติก สาย GreatOcean Road ซึ่งผ่าน โลร์น (Lorne) – อพอลโลเบย์ (Apollo Bay) และจุดปลายทางที่ พอร์ต แคมป์เบล มีใครบางคนแนะนำว่าให้เลือกเส้นทางผ่านทางเมืองโลร์น ในขาไปก่อน เพราะหากคุณได้แวะพักที่จีลองสักคืนแล้วออกรถแต่เช้าบนเส้นทางนี้เส้นทางขาไปซ้ายมือ คุณจะได้เห็นทะเลและพระอาทิตย์ขึ้นเป็นวิวที่งดงามรับอรุณรุ่งกันเลยทีเดียว เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้เลือกเส้นทางดังกล่าว เพราะต้องย่นเวลาเดินทางให้ไปถึงพอร์ต แคมป์เบล โดยเร็วจึงเลือกเส้นทางแรกที่ผ่านไปทางโคแลค ดังนั้นวิวรอบข้างแทนที่จะเป็นชายหาดสวยงาม ก็กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวและฟาร์มสุดลูกหูลูกตาแทน ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งฉันก็เดินทางมาถึงจีลอง เมืองที่ถือได้ว่าเป็นประตูด่านแรกก่อนเข้า Great Ocean Road เมืองจีลอง เป็นเมืองติดชายหาดที่มีความเก่าแก่และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเลยทีเดียว พักได้สักพักใหญ่ก็เดินทางกันต่อ
ฉันมาถึงที่ พอร์ต แคมป์เบล เป็นเมืองท่าเล็กๆ น่ารักๆ นักท่องเที่ยวนิยมมาพักกันที่นี่ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีร้านอาหาร ห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใกล้กับ ทเวลฟ์ อะพอสเซิล มากที่สุด พวกเราเช็กอินเข้าห้องพักเล็กๆ น่ารัก ก่อนจะขับรถไปชม ทเวลฟ์อะพอสเซิล ยามเย็น จากพอร์ต แคมป์เบลไปใช้เวลาเพียง 15 – 20 นาที เราก็ถึง ทเวลฟ์ อะพอสเซิล แท่งหินริมท้องทะเลที่เป็นความมหัศจรรย์จากธรรมชาติอย่างแท้จริง เกิดจากการแตกตัวของชายฝั่งทะเล แรงกัดเซาะจากคลื่นลมในมหาสมุทรแปซิฟิกที่พัดจากขั้วโลกใต้มาสู่ทวีปออสเตรเลีย ทำให้เกิดเป็นแท่งหินสีนํ้าตาลแดงขนาดยักษ์ รูปทรงแปลกตา 12 ก้อน ตั้งตระหง่านขึ้นกลางทะเล หินเหล่านี้คาดว่ามีอายุราวกว่า 20 ล้านปี
ต่อมาถูกตั้งชื่อตามนักบุญศักดิ์สิทธิ์ศาสนาคริสต์จนได้ชื่อว่าเป็น 12 สาวก หรือ “Twelve Apostles”เนื่องจากทะเลไม่เคยหลับ แท่งหินเหล่านี้ได้ถูกคลื่นและลมซัด กัดเซาะอยู่ตลอดเวลา บางก้อนเริ่มเลือนหายไปจากท้องทะเล และมีแท่งหินแท่งหนึ่งได้พังลงไปในปี 2005 ในปัจจุบันเหลือฝั่งขวามีอยู่ 5 – 6 แท่ง ฝั่งซ้ายมีอยู่ 2 แท่งส่งท้ายวันด้วยแสงสีทองประกายแสด ทาทับจับท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กลมแดงกำลังลาลับ ภาพแท่งหินหลากหลายและหน้าผาริมทะเลดูมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก ท้องทะเลส่องแสงประกายระยิบ วินาทีที่หลายคนต่างกดชัตเตอร์กันให้ลั่น เราเห็นดวงอาทิตย์ค่อยๆเลื่อนตัวหายไป และความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเรารีบจับวินาทีต่างๆ เข้าไปในเมมโมรีของกล้องและของตัวเองกันด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะปิดมื้อค่ำของเราที่ร้านอาหารเก๋ไก๋ในเมือง สังเกตได้ว่าครึ่งหนึ่งของลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยว อีกครึ่งหนึ่งเป็นชาวบ้านที่พาครอบครัวออกมาสังสรรค์บรรยากาศคักคึก สนุกสนาน จนกลับมานอนหลับปุ๋ยยาวถึงเช้า
เราตื่นแต่เช้าเพื่อหากาแฟดื่ม เรียกความสดชื่นก่อนจะเดินทางสู่เส้นทาง ยามเช้าของที่นี่มีร้านกาแฟสวยๆ ให้นั่งดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ หลังจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย เราก็ขับรถไปดูLondon Arch กันก่อน แต่เดิมที่นี่เรียกว่า London Bridge เนื่องจากเป็นหินที่ยื่นต่อจากฝั่งมองแล้วรูปร่างคล้ายสะพานลอนดอน จนเมื่อปี 1990 หินช่วงเชื่อมต่อกับฝั่งพังลง ส่วนที่เหลือมีรูปร่างเป็นประตูโค้งลอยโดดๆ กลางทะเล จึงเปลี่ยนมาเรียกว่า London Arch แทน หลังจากนั้นเราก็ขับย้อนผ่านเมืองพอร์ต แคมป์เบล ขับรถเลียบทะเลมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางนี้กลับเมลเบิร์น จากผ่าน ล้อช อาร์ต จอร์จ (Loch Ard Gorge) และ ทเวลฟ์ อะพอสเซิล ที่เย็นวานเราไปชมมาล้อช อาร์ต จอร์จ ลักษณะเป็นภูเขารูปโค้งขนาดใหญ่ ที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนทะลุเป็นช่องตรงกลาง สวยงามไปอีกแบบ ชื่อ Loch Ard มาจากชื่อเรือเดินทะเลสัญชาติอังกฤษนามว่าLoch Ard ได้ไปเกิดอุบัติเหตุ ชนกับหินโสโครก จนน้ำเข้าเรือ และจมบริเวณนี้เอง เมื่อ ปี ค.ศ.1878 ทำให้ได้ชื่อ Loch Ard Gorge มา ถึงปัจจุบัน ที่นี้มีหินที่เรียกว่า Island Archway ที่เป็นแท่งหินรูปร่างคล้ายประตูโค้งเมื่อกลางปี 2009 หิน Island Archway ช่วงตรงกลางพังลง จนปัจจุบันกลายเป็นแท่งหิน2 ก้อนไม่เชื่อมต่อกัน หิน 2 ก้อนนี้ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า Tom กับ Eva ซึ่งเป็นชื่อของผู้โดยสารเรือLoch Ard ที่รอดชีวิตเพียง 2 คน
หลังจากเราขับรถผ่าน ทเวลฟ์ อะพอสเซิล อีกครั้งก็เริ่มสู่เส้นทางสาย The Great Ocean Road เป็นถนนเลียบชายฝั่งที่สวยงามอีกเส้นทางหนึ่งตัดเลาะไปตามโตรกผา บนแผ่นดินปลายใต้มหาสมุทรอินเดีย ด้วยระยะทางอีกราว 170 กิโลเมตร ความรู้สึกสดชื่นคืนมาทุกครั้งที่สายลมเย็นของมหาสมุทรแปซิฟิกพัดมากระทบผิวกาย เรียกได้ว่าไม่ต้องเปิดแอร์กันเลยทีเดียว ไม่พอตลอดเส้นทางที่เป็นภาพหาดทรายสีขาว น้ำทะเลสีสวยทำให้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่รื่นรมย์ไปโดยปริยาย
เราแวะพักกันรถที่ อะพอลโล เบย์ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ริมทะเล ถือได้ว่าเป็นยอดนิยมของนักท่องเที่ยวหลายคนที่มีเวลามักจะเดินทางมาพักกันที่นี่ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง ทเวลฟ์ อะพอสเซิล กลางวันที่นี่ก็ดูคึกคักดี ร้านค้ามากมายทั้งร้านอาหาร และสินค้า มีรถหลายคันแวะพักที่นี่เช่นเดียวกันเรา ถนนสาย Great Ocean Road ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1919 โดยทหารที่กลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1วัตถุประสงค์ก็เพื่อเชื่อมต่อเมืองที่อยู่บริเวณชายฝั่งที่แต่เดิมมีการคมนาคมที่ยากลำบากให้สะดวกขึ้น และอีกหนึ่งผลพลอยได้คือ ทหารที่กลับจากสงครามนั้นมีงานทำอีกด้วย พร้อมกันนั้นเองถนนเส้นนี้ก็เปรียบเหมือนกับสิ่งที่รำลึกถึงทหารที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยถนนส่วนแรกจาก อิสเทริ์น วิว (Eastern view) ถึงโลร์นสร้างเสร็จในปี 1922 ส่วนจากโลร์น ถึงอะพอลโล เบย์ ที่เราพักรถอยู่สร้างเสร็จในอีก 10 ปีถัดมา
การเดินทางช่วงปลายของเราคือ การเดินทางจาก อะพอลโล เบย์ สู่เมืองโลร์น เมืองนี้คงเป็นเมืองตากอากาศเป็นแน่แท้ ดูจากสภาพบ้านเรือนหน้าตาน่ารัก บางหลังก็มีสีสันสวยงาม บวกกับร้านค้าโดยรอบ น่าอยู่ทีเดียว จนกระทั่งเพื่อนร่วมทางออกปากว่าน่าซื้อไว้สักหลัง (หากมีเงิน) จากเมืองโลร์น สู่จีลอง ก็ไม่ไกลมากนักแต่ด้วยทัศนียภาพที่เริ่มมืด เราจึงขอโบกมือลาทุกท่านกันที่เมืองโลร์นแห่งนี้ หากใครสนใจมาขับรถที่ออสเตรเลีย สามารถทำได้ง่ายมากนะคะ หรือหากใครไม่อยากขับรถที่นี่มีทัวร์เที่ยวทเวลฟ์ อะพอสเซิล ราคาไม่แพงเลยค่ะ