Let’s go to the sea

ช่วงเวลาหน้าร้อนแบบนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ออกเดินทางไปกินลมชมทะเล ฟังเสียงเกลียวคลื่นอีกแล้วและบนโลกใบนี้ก็มีชายหาดที่สวยงามกระจายอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าคุณอยู่ภูมิภาคไหนก็สามารถสัมผัสความงดงามของกลิ่นไอฤดูร้อนได้ สำหรับคนที่รักการไปเที่ยวเกาะ แหวกว่ายลงไปในน้ำทะเลใสเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศโลกใต้ท้องทะเล ตามไปดูทะเลและชายหาดสวยๆ ทั่วทุกมุมโลกกันได้

มัลดีฟส์ (Maldives)

ถ้าพูดถึงทะเลและชายหาดสวย แน่นอนว่ามัลดีฟส์ ต้องเป็นสถานที่ที่หลายคนนึกถึงอย่างแน่นอน หาดทรายสีมุก ต้นปาล์มสูงตระหง่าน และน้ำทะเลสีฟ้าคราม เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์เขตร้อนที่น่าจะไปเยือน มัลดีฟส์มีเกาะประมาณ 1,200 แห่ง แต่มีที่คนอาศัยอยู่แค่ 250 เกาะ ซึ่งเป็นเกาะที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมทั้งหลายนั่นเอง หาดทรายสาธารณะส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้สวมบิกินี่ เพราะฉะนั้นการพักผ่อนที่ดีที่สุดก็คือหาดทรายส่วนตัวในรีสอร์ต หรือไม่อย่างนั้นก็ลองไปเยือนเกาะ Rasdhoo และ Maafushi เพราะสามารถอวดบิกินี่สวยๆ ได้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแบ่งเป็นส่วนๆ เริ่มจากตั๋วเครื่องบิน ตอนนี้มีหลายสายการบินที่บินไปมัลดีฟส์ มีทั้งแบบบินตรงลงสนามบินมาเล่ อย่างบางกอกแอร์เวย์ (Bangkok Airways) ถูกลงมาหน่อยเช่น สายการบินแอร์เอเซีย (Air Asia) เป็นต้น ไปลงที่สนามบินมาเล่จากนั้นก็จะให้โรงแรมรับไปยังเกาะที่เป็นที่ตั้งของโรงแรม ซึ่งบางโรงแรมอาจมีคิดเพิ่มจากค่าที่พักที่เราซื้อ

สำหรับแพคเกจโดยมากจะซื้อรวมอาหารของโรงแรม โดยราคาโรงแรมจะถูกจะแพงก็ขึ้นกับคุณพักบนแผ่นดิน หรือบนเกาะ บังกะโลบนน้ำ ราคาก็จะต่างกัน รวมไปถึงการซื้อแพ็คเกจเสริม เช่น All Inclusive รวมอาหาร เช้า+กลางวัน+เย็น+เครื่องดื่ม Full Board เช้า+กลางวัน+เย็น ไม่รวมเครื่องดื่ม Half Board จะรวมอาหารเช้า+เย็นบางทีก็เป็น เช้า+กลางวัน แล้วแต่เราจะเลือกและไม่รวมเครื่องดื่ม โดยในแต่ละโรงแรมหรือรีสอร์ตส่วนใหญ่ก็จะมีกิจกรรมทางน้ำให้บริการ ซึ่งบางอย่างก็ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่บางอย่างก็คิดเงินเพิ่ม ควรสอบถามจากเจ้าหน้าที่ก่อนว่าแบบไหนฟรีบ้าง

อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนมักจะถามคือ ไปช่วงไหนดี มัลดีฟส์อากาศเป็นแบบร้อนชื้น อุณหภูมิประมาณ 29-32 องศา เที่ยวได้ทั้งปีสวยสุดก็ต้องช่วงเดือน มีนา – เมษา เพราะว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านลมมรสุม น้ำจะใส อากาศปลอดโปร่ง ลากยาวตั้งแต่เดือน พ.ย. – เม.ย. ถ้าอยากได้ห้องถูกก็ช่วงหน้าฝน เดือน พ.ค.-ต.ค. ก็อาจจะมีฝนตกบ้าง แต่ดีที่ตกแบบสั้นๆ 15-20 นาทีก็สามารถเที่ยวได้ และนักท่องเที่ยวที่ถือหนังสือเดินทาง (Passport) ประเทศไทยสามารถเดินทางไปเที่ยวมัลดีฟส์ได้ 30 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า

ฟิจิ (Fiji)

เป็นหมู่เกาะที่มีทิวทัศน์สวยงามมากกว่า 333 เกาะ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ใกล้กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ การเดินทางจากประเทศไทยสามารถไปต่อเครื่องของสายการบินฟิจิ ที่สนามบินฮ่องกง จากฮ่องกงใช้เวลาเดินทางประมาณ10 ชั่วโมง หรือนั่งเครื่องไปลงที่ออสเตรเลียเพื่อต่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินาดี (Nadi International Airport) ณ เมืองนาดี (Nadi) เมืองชายทะเลที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของฟิจิได้เลย และที่สำคัญที่นี่เป็นหนึ่งในประเทศที่คนไทยเดินทางไปได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่าในการเดินทาง แถมอยู่ได้นานถึง 4 เดือนเลย จากท่าเรือ Port Denarau Marin ท่าเรือที่วุ่นวายที่สุดในฟิจิ จากที่นี่สามารถเชื่อมต่อไปยังหมู่เกาะต่างๆ ได้เกาะทั้งหมดล้วนเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตที่สวยงามสุดพิเศษน้ำทะเลใสแจ๋ว และชายหาดสีขาวบริสุทธิ์

นอกจากนี้ค่าเงินของฟิจิเองก็มีราคาที่ค่อนข้างถูก 1 Fijian Dollar ราวๆ 15บาทการท่องเที่ยวบนเกาะฟิจิ สามารถใช้บริการแท็กซี่หารกันได้ส่วนการเดินทางระหว่างเกาะมักจะทำผ่านทางเรือขนาดเล็กวิ่งตามโรงแรมหรือโฮสเทล กิจกรรมต่างๆ อย่างดำน้ำ ล่องแก่ง ราคาก็ไม่ถือว่าแพงมากนัก อย่างดำน้ำอยู่ที่ 125-200 FJD (1 FJD ประมาณ 14 บาท) จุดดำน้ำที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ดวงดาวแนว Beqa Lagoon และแนวปะการังสายรุ้ง บริเวณเกาะตาเวนูอิ (Taveuni) แต่ถ้าอยากไปตามรอยติดเกาะจากภาพยนตร์เรื่อง Cast Awayสามารถนั่งเรือเฟอร์รี่จาก Port Denarau ตลอดจนเครื่องบินทะเล หรือเฮลิคอปเตอร์ตรงไปยังเกาะ Castaway หรือชาวฟิจิเรียกว่า Calito เกาะที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในหมู่เกาะ Mamanuca ได้เลย

สำหรับคนที่ชื่นชอบกิจกรรมการดำน้ำเล่นกระดานโต้คลื่น และว่ายน้ำใต้น้ำต้องมาที่นี่ นาตาโดลา (Natadola) เป็นชายหาดที่สงบและสวยงามในเขตชานเมืองนาดี ขึ้นชื่อในเรื่องต้นปาล์มที่เขียวชอุ่ม ทรายสีครีมเข้มทิวทัศน์ที่สวยงามและสภาพที่ไร้ที่ติหรือเที่ยวอุทยานมรดกแห่งชาติ Bouma บนเกาะ Taveuni ชมทะเลสาบตาจีมัวเกีย (Lake Tagimaucia) ที่ตั้งอย่ตู รงบริเวณปล่องภูเขาไฟที่ระดับความสูง 800 เมตร โดยบริเวณทะเลสาบนั้นมีดอกไม้หายากด้วยภูมิทัศน์ที่ไม่ธรรมดาของฟิจิ ทะเลสาบที่เป็นกระจกล้อมรอบด้วยแนวปะการังที่สดใส และชายหาดที่ปกคลุมไปด้วยต้นปาล์มนับไม่ถ้วนสร้างบรรยากาศแห่งสรวงสวรรค์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากมาผ่อนคลายเงียบๆ นอนอาบแดดบนชายหาดทั้งวันบนเกาะส่วนตัวให้ความเป็นส่วนตัวอย่างสมบูรณ์ นอกจากนั้นยังมีเกาะ Mamanuca เกาะ Qalito และเกาะ Vomo ที่ป๊อบปูล่าร์ในหมู่นักท่องเที่ยวเช่นกัน

โบรา โบรา (Bora Bora)

หนึ่งในเกาะแห่งเฟรนช์โปลินีเซีย (French Polynesian) เป็นดินแดนโพ้นทะเลของประเทศฝรั่งเศส เป็นเกาะขนาดเล็กแต่โด่งดังมาก ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งหมู่เกาะทะเลใต้” ด้วยความยาวเพียง 6 ไมล์และกว้างน้อยกว่า 3 ไมล์ แต่ไปด้วยความสวยงามที่ทั้งรีสอร์ตหรู ธรรมชาติสีเขียวของป่าเขตร้อน มีซากภูเขาไฟหลายลูก สภาพท้องทะเลนิ่งเพราะมีปะการังล้อมรอบเกาะเป็นสถานที่ในฝันสำหรับการดำน้ำทั้งแบบสนอร์กเกิล และสกูบา ที่สำคัญคือชายหาดที่สวยงาม

สำหรับการไปเที่ยวเกาะโบรา โบรา คนไทยเราจะต้องขอวีซ่าฝรั่งเศส โดยตอนขอวีซ่าให้เลือกแบบดินแดนโพ้นทะเล (Territoires d’outre-mer : TOM) ซึ่งจะเป็นวีซ่าคนละตัวกับวีซ่าเชงเก้น หากมีวีซ่าเชงเก้นอยู่แล้วไม่สามารถนำมาใช้ได้ แต่ต้องต่อเครื่องหลายต่อมาก เพราะต้องขึ้นเครื่องไปถึงอเมริกา หรือนิวซีแลนด์หรือญี่ปุ่นก่อน หากขึ้นเครื่องที่อเมริกาจะขึ้นที่ LA หรือ NY ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมงจากอเมริกา หากขึ้นเครื่องที่นิวซีแลนด์ ขึ้นเครื่องที่ไครเชิร์ก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงจากนิวซีแลนด์และจากตาฮิติไป โบรา โบร่า ใช้เวลาในการเดินทางอีก 1 ชั่วโมง (ทางเครื่องบิน) เฉพาะค่าเดินทางน่าจะร่วมแสนสำหรับคนไทย สกุลเงินที่นี่ใช้สกุลเงินฟรังก์ ซีเอฟพี 100 ฟรังก์ประมาณ 32 บาท ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะกับการมาเที่ยวก็คือช่วงเดือน มิถุนายน-ตุลาคม เป็นช่วงที่อากาศกำลังแจ่มใส โอกาสเจอฝนน้อย

ชายหาดที่สวยงามเหมาะสำหรับการอาบแดด และเดินเล่นไปตามชายหาด เช่นหาด Matira กิจกรรมไฮไลต์ของทริปเที่ยวเกาะโบรา โบร่า เช่นการลงไปให้อาหารปลา อย่างปลาฉลามปลากระเบน ซึ่งนับว่าเป็นกิจกรรมที่หาทำที่ไหนค่อนข้างยากซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ก็จะมีผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อคอยอำนวยความสะดวกและเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว สำหรับใครที่ชื่นชอบการจับจ่ายสินค้าจำพวกอัญมณีเครื่องประดับและไข่มุกดำตาฮิติ เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เครื่องประดับจากมุกที่อยากแนะนำ คือของบริษัทเพิร์ลโบราโบรา

ตาฮิติ (Tahiti)

ตาฮิติ (Tahiti) ก็เป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ อยู่ในเขตการปกครองโพ้นทะเลของประเทศฝรั่งเศสหรือที่เรียกว่า เฟรนช์โปลินีเซีย (French Polynesian) เช่นเดียวกันกับโบรา โบรา เกาะแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนสวรรค์อีกแห่งหนึ่งที่คู่รักต่างๆ ทั่วโลกใฝ่ฝันอยากจะเดินทางมาฮันนีมูน เนื่องจากมีอาหารชั้นยอด ป่าไม้เขียวชอุ่ม รีสอร์ตหรูหราและความงดงามของผืนน้ำทะเลที่มีการไล่เฉดสีฟ้าสลับเขียวราวกับภาพวาด บริเวณรอบเกาะเต็มไปด้วยแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ มีกิจกรรมให้ได้สนุกสนานผ่อนคลายทั้งวัน ด้วยวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาและสดใส อย่างการเต้นรำส่ายสะโพก รวมไปถึงการแต่งกายด้วยกระโปรงที่ทำจากหญ้าของชาวตาฮิติจะทำให้อะดีนาลีนในตัวคุณเต้นแรงขึ้นทีเดียว

นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางมาเที่ยวตาฮิติ ต้องขอวีซ่าฝรั่งเศสโดยตอนขอวีซ่าให้เลือกเป็นแบบดินแดนโพ้นทะเล (Territoires d’outre-mer : TOM) ซึ่งจะเป็นวีซ่าคนละตัวกับวีซ่าเชงเก้น หากมีวีซ่าเชงเก้นอยู่แล้วไม่สามารถนำมาใช้ได้ และการเดินทางมายังเกาะตาฮิติได้โดยนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินนานาชาติปาปีติ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 7 กิโลเมตร หากจะบินมายังตาฮิติ ก็ต้องไปต่อเครื่องที่ยุโรป นิวซีแลนด์ อเมริกาใต้ หรือเอเชียเหนือก่อน

หาดทรายตาฮิติประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ Tahiti Iti ส่วนตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเล็กกว่าและเงียบสงบกว่า สามารถเดินทางไปได้ทางเรือหรือด้วยการเดินเท้าเท่านั้นและTahiti Nui พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น นักท่องเที่ยวอยากจะเช่ารถและขับไปตามทางหลวงพิเศษเลียบชายฝั่งก็ทำได้ไม่ยากกิจกรรมบนเกาะตาฮิติ สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติอย่างป่าเขา ต้องไปป่าเขตร้อนอย่าง Mont Aorai ชมน้ำตกที่หุบเขา Faarumai หรือไปชมสวนพฤกษศาสตร์ซึ่งจัดแสดงพืชพรรณเมืองร้อนจากทั่วโลกที่ Mataiea ซึ่งอยู่ห่างจากปาปีติไปทางตะวันตก 51 กิโลเมตร แต่ถ้าอยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้ไปที่พิพิธภัณฑ์ Museum of Tahiti and Her Islands พร้อมชมวิวเกาะ Moorea

คนชอบดำน้ำต้องไม่พลาดโซนน้ำใสๆ ที่บริเวณ Punaauia และปาปีติ สามารถดำน้้ำได้ทั้งแบบตื้นและลึก แต่ถ้าอยากชมสิ่งมีชีวิตทางทะเลแบบไม่เปียก ต้องที่ Lagoonarium ส่วนคนชอบเล่นเซิร์ฟต้องไปที่ Teahupo’o ซึ่งมีทำเลโต้คลื่นแบบรีฟเบรคระดับโลกและมีปลาวาฬให้ชมในช่วงเดือน ก.ค. – ต.ค.

หมู่เกาะวิทซันเดย์ (Whitsunday Islands)

หมู่เกาะวิทซันเดย์ หมู่เกาะที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่นอกชายฝั่งตอนกลางของรัฐควีนส์แลนด์ หรือตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย เป็นส่วนหนึ่งของแนวปะการัง Great Barrier Reef จึงทำให้รอบๆ มีระบบนิเวศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็เปราะบางมากเช่นกันส่วนใหญ่ของหมู่เกาะเหล่านี้ได้รับมอบหมายให้เป็นส่วนของการอนุรักษ์ของอุทยานแห่งชาติ และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญรวมถึงการเข้าถึงแนวปะการังสำหรับการดำน้ำชายหาดที่มีชื่อเสียงลำดับต้นๆ อย่างเช่น หาดไวท์เฮเวน (Whitehaven Beach) ซึ่งตั้งอยู่บนหมู่เกาะวิทซันเดย์ (Whitsunday Island) มีความยาวประมาณ 7 กิโลเมตรที่มีลักษณะผลึกซิลิการะยิบระยับมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีลักษณะเป็นสีขาวปกคลุมไปทั่วท้องทะเล เกิดการไล่เฉดสีน้ำทะเลจากอ่อนไปเข้มอย่างงดงาม มีเม็ดทรายที่ละเอียด ไม่เก็บความร้อน ทำให้สามารถเดินบนชายหาดด้วยเท้าเปล่าได้อย่างสบาย

ที่นี่ยังได้รับรางวัลการันตีว่าเป็น “ชายหาดที่ขาวที่สุดในโลก” ถึง 2 ปีซ้อน (ระหว่างปี 2008-2009), รางวัลชายหาดที่ดูเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งรัฐควีนส์แลนด์ เมื่อปี 2009 และรางวัลชายหาดที่เป็นตัวเลือกที่โปรดปรานจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อปี 2013 อีกด้วยที่เที่ยวถัดมาที่น่าสนใจ สำหรับคนชื่นชอบทะเล คือเกาะฮามิลตัน (Hamilton Island) หรือเกาะแฮมโม (Hammo) ถือได้ว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มหมู่เกาะวิทซันเดย์ (Whitsundays) ตั้งอยู่ท่ามกลางเกาะน้อยใหญ่รวมทั้งสิ้น 74 เกาะ เกาะแห่งนี้ได้รับการพัฒนามากที่สุดและมีสนามบินเป็นของตัวเอง ที่นี่เหมาะสำหรับครอบครัวกรุ๊ปทัวร์ และคู่รัก ซึ่งหลงใหลการดำน้ำดูประการัง เพราะห่างจาก Great Barrier Reef ประมาณ 2 ชม. และ แนวปะการังหรือหาด Whitehaven ประมาณ 1/2 ชั่วโมง

ไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ กิจกรรมดำน้ำ โดยเฉพาะการดำน้้ำตื้น มีโปรแกรมทัวร์พานั่งเรือ ไปดำน้ำตื้นชมโลกใต้ท้องทะเลกันแบบจุใจ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมปีนเขาสำหรับนักท่องเที่ยวสายลุยอีกด้วย สนุกแบบครบรส หากมีเวลาไม่มากนัก ก็สามารถแวะมาเที่ยวหมู่เกาะวิทซันเดย์แบบไปเช้าเย็นกลับได้ แต่ถ้าอยากได้ประสบการณ์และดื่มด่ำกับธรรมชาติ ก็ควรค้างคืนสัก 2-3 วัน เพราะภายในเกาะนี้มีสถานที่สวยงามรอให้ไปสำรวจอยู่มากมาย

เกาะปราสลิน (Praslin) สาธารณรัฐเซเชลส์

อ่าวราสิโอะ (Anse Lazio) ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะปราสลิน (Praslin) สาธารณรัฐเซเชลส์ จากสนามบินของเกาะมาเฮ (Mahe) โดยเรือข้ามฟากเฮลิคอปเตอร์หรือเครื่องบินขนาดเล็ก สามารถไปที่ชายหาดแห่งนี้ได้โดยตรงด้วยรถบัสจากทุกมุมของเมือง หมู่เกาะเซเชลส์ตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน (บางครั้งรู้จักกันในชื่อ sub-equatorial) สภาพอากาศที่มีแดดจัดและมีปริมาณน้ไฝนเพียงเล็กน้อยโดยไม่มีพายุไซโคลน อุณหภูมิอากาศอยู่ในช่วง +27-33 °C สำหรับชายหาดราสิโอะ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นชายหาดที่ดีที่สุดอีกแห่งของโลก เป็นที่นิยมมากที่สุดในสาธารณรัฐเซเชลส์ นักท่องเที่ยวหลายพันคนจากประเทศต่างๆ ที่ต้องการชมทัศนียภาพที่งดงาม พระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงาม นอกจากน้ำทะเลที่มีสีฟ้าใส ชายหาดสีขาวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่มีแนวปะการังปิดเหมือนหาดอื่นๆ บนเกาะ แนวชายฝั่งมีความยาว 400 เมตร มีผืนทรายนุ่ม เหมาะสำหรับการเดินป่าและวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า และยังเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นเพราะมีแนวปะการังน้ำตื้น รวมไปถึงสัตว์ทะเลหลากหลายชนิดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีพืชพันธุ์เขตร้อนหนาแน่น บนชายฝั่งมีต้นปาล์มสูง ต้นตากามากะ ที่ให้ความร่มรื่นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางมาว่ายน้ำ ดำน้ำดูปะการังที่นี่คือ ช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนรวมถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม เพราะตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเมษายนเป็นหน้ามรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงตุลาคมหมู่เกาะอยู่ในช่วงมรสุมตะวันออกเฉียงใต้

ก่อนที่จะไปเซเชลส์ คุณควรจองห้องพักในโรงแรมท้องถิ่นสองสามเดือนก่อนการเดินทางที่นี่เป็นหนึ่งในประเทศที่ยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทยถึง 30 วัน แปลว่า เราแค่ต้องจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม แล้วก็ไปได้เลยที่สำคัญแทบทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ หมดปัญหาเรื่องการสื่อสาร สัญญานอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับดี สำหรับการเดินทางไม่มีสายการบินที่บินตรง แต่ก็มีสายการบินหลากหลายที่บินไป ไม่ว่าจะเป็น สายการบิน เอมิเรตต์(Emirate) กาต้าร์ (Qatar), เคนย่า (Kenya) เป็นต้น สำหรับราคาก็ค่อนข้างจะสูงถ้าได้ไปแล้วควรไปหลายๆ วัน เอาให้คุ้ม

หาดไร่เลย์ กระบี่ (Railay Beach, Krabi)

จากการจัดอันดับชายหาดที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2023 (Top 100 beaches on Earth 2023) ซึ่งชายหาดจากประเทศไทยติดอันดับถึง 5 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ หาดไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ หลายคนอาจเข้าใจว่าหาดไร่เลย์นั้นเป็นเกาะ แต่จริงๆ แล้ว หาดไร่เลย์ตั้งอยู่บนแผ่นดินเพียงแต่ถูกภูเขาล้อมรอบทุกด้าน เวลาเดินทางไปต้องขึ้นเรือจากอ่าวนางใช้เวลา 10 นาที

หาดไร่เลย์ แบ่งออกเป็น หาดไร่เลย์ตะวันออก เป็นที่ตั้งของถ้ำพระนาง ซึ่งภายในมีศาลพระนางที่ชาวเรือแถบนี้เคารพสักการะ เหมาะสำหรับชมทัศนียภาพของพระอาทิตย์ตก และหาดไร่เลย์ตะวันตกเป็นชายหาดที่โอบโค้งด้วยหน้าผาหินปูน สามารถลงเล่นน้ำได้ โดยมีโขดหินคั่นระหว่างหาดทั้งสอง เป็นหาดทรายสีขาวละเอียดริมโตรกผา ไร่เลย์เป็นที่รู้จักดีในหมู่นักท่องเที่ยว

โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมปีนหน้าผาบริเวณที่นิยมปีนผาคือ บริเวณไร่เลย์ตะวันออกอ่าวต้นไทร และเขาแถวถ้ำพระนางเป็นจุดที่มีผาหินปูนมากมาย ซึ่งการปีนผาที่ไร่เลย์นั้นสามารถทำได้ทั้งปี แนะนำให้มาตอนเช้า โดยในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการจัดกิจกรรม “ปีนผา”

อย่างไรก็ตาม นอกจากน้ำสวย ทะเลใสแล้วพระอาทิตย์ตกที่หาดไร่เลย์ตะวันออกก็สวยงามบาดตา เพราะเมื่อพระอาทิตย์ตกแสงแดดจะสะท้อนเงาจากหินลงไปที่อ่าวภาพต้นมะพร้าวเรียงกันเป็นทิวแถว อีกทั้งวิถีชีวิตของหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย โดยที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ดึงผู้คนมาที่นี่เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะหาดทรายหรือทะเลของเมืองไหน ก็มีทั้งธรรมชาติที่สวยงามและกิจกรรมมากมายที่จะทำให้หน้าร้อนของคุณครอบครัว และเพื่อนฝูงสนุกสนานได้เต็มที่

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0