Charming Cities in Germany

เสียงแรกของวันกล่าวทักทายผมผ่านทางช่องหน้าต่างห้องนอนที่แสนอบอุ่น ไม่ไกลจาก ริมแม่น้ำไรน์มากนัก เช้านี้ที่เมืองโคโลญ (Cologne) เมืองใหญ่อันดับ 4 ของเยอรมนี ศูนย์กลางทางการค้า งานศิลปะ และอุตสาหกรรมก็เริ่มต้น วันใหม่ด้วยความคึกคักเช่นเคย

เมืองโคโลญเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย (North Rhine-Westphalia) และนับเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนีเลยก็ว่าได้ หลายคนอาจคุ้นชื่อเมืองโคโลญ ผ่านน้ำหอม โอ เดอ โคโลญ (Eau de Cologne 4711) กันมาบ้างแล้ว

ตัวเลข 4711 เป็นตัวเลขของเลขที่บ้าน 4711 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตในขณะนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อน้ำหอม โอ เดอ โคโลญ ที่มีชื่อเสียงจวบจนปัจจุบัน ร้านอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิหาร โคโลญ (Cologne Cathedral หรือ Kolner Dom) เนื่องจากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองโคโลญแห่งนี้ถูกทำลายจนราบคาบ มีเพียงมหาวิหารแห่งนี้เท่านั้นที่รอดพ้น

ทำให้มหาวิหารสไตล์สถาปัตยกรรมโกธิก (Gothic) ของคริสต์ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกแห่งนี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์สำคัญประจำเมืองและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองไปโดยปริยาย ด้วยขนาดของ หอคอยแฝดที่สูงกว่า 157 เมตร กว้าง 86 เมตร ยาว 144 เมตร ทำให้ไม่ว่ามองจากจุดไหนของเมืองก็จะเห็นตัวหอคอยเด่นเป็นสง่า เคยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก

ในปี 1996 แต่ต่อมาในปี 2004 โดนใบแดงจากยูเนสโก เพราะมีการสร้างอาคารสูงริมแม่น้ำไรน์ บดบังทัศนียภาพของโดม ซึ่งผิดกฎเกณฑ์การเป็นมรดกโลก แต่ต่อมาอาคารสูงโดยรอบได้หยุดการก่อสร้าง ในปี 2006 คณะกรรมการยูเนสโกจึงพิจารณาถอนใบแดง และประกาศให้เป็นมรดกโลกต่อไป

ตัวมหาวิหารเปิดให้เข้าชมฟรี มีประตูทางเข้าทั้งหมด 3 ด้าน ประตูด้านที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าออกจะเป็นด้านทิศตะวันตก ด้านในมีการประดับกระจกสีสวยงาม โดยกระจกแต่ละบานก็จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ในศาสนาคริสต์แตกต่างกันออกไป จุดใหญ่ที่หลายคนมุงกันก็คือ โกศทองคำขนาดใหญ่ ที่ใช้เก็บอัฐิของเหล่าเมไจหรือกษัตริย์ทั้งสามที่อัญเชิญมาจากเมืองมิลาน ประเทศอิตาลีในปี ค.ศ. 1164

อีกจุดที่น่าเข้าไปชมคือ ห้องขุมทรัพย์ที่เก็บและจัดแสดงของสำคัญต่างๆ ทั้ง โกศของนักบุญ ดาบคทา ฯลฯ ถือเป็นมรดกที่ล้ำค่า เฉพาะภายในวิหาร มีการตกแต่งวิจิตรตระการตาและน่าประทับใจ แต่สำหรับคนที่แข็งแรงและฟิตหน่อย ผมอยากแนะนำให้ขึ้นไปด้านบนของยอดโดม เพื่อชมวิวมุมสูงของเมืองค่าขึ้นชมประมาณ 3 ยูโร เป็นบันไดวนขึ้นไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 กว่าขั้น สมัยยังหนุ่มผมก็เคยขึ้นไป แต่วันนี้อายุอานามก็ร่วงโรย ขอกินลมชมวิว บริเวณโดยรอบของมหาวิหารแทน

บริเวณรอบวิหารเป็นย่านเมืองเก่า ที่มีสถานที่น่าสนใจหลายอย่าง รวมไปถึงสวนสาธารณะริมแม่น้ำซึ่งเป็นแหล่งพักผ่อนชั้นยอดของชาวเมืองก็ว่าได้ ในขณะที่ร้านรวงต่างๆ ทั่วบริเวณ ก็เป็นแหล่งช้อปปิ้งชั้นเยี่ยมของเหล่านักท่องเที่ยวเช่นกัน โคโลญมีชื่อเสียงเรื่องเบียร์ท้องถิ่นที่ชื่อ Kölsch คอเบียร์ไม่ควรพลาด เบียร์ชนิดนี้มีความพิเศษคือผลิตที่เมืองโคโลญเท่านั้น สีเหลืองอ่อน หมักด้วยวิธี cool fermentation ปัจจุบันมีโรงเบียร์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อ Kölsch ได้เพียง 10 กว่าโรงนอกจากนั้นจะใช้ Kölsch style แทน

ไม่ไกลกันนั้น คือ สะพานโฮเฮนโซลเลิร์น (Hohenzollern Bridge) สะพานที่มีรถไฟวิ่งข้ามเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำไรน์ โดยสองข้างสะพานทำเป็นทางเดินให้ปั่นจักรยานหรือเดินข้ามไปได้ สะพานแห่งนี้เคยถูกทำลายช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ค.ศ. 1945 และได้บูรณะสร้างขึ้นมาใหม่

จุดเด่นอยู่ตรงที่ ตลอดแนวกำแพงทางเดินที่ยาวกว่า 688 เมตรของสะพาน จะเห็นพวงกุญแจนับหมื่นคล้องอยู่ เป็น love locks แทนความรัก ที่คู่รักทั่วโลกมาคล้องพร้อมอธิษฐานให้ความรักยืนยาว

สำหรับผมแล้ว บริเวณสะพานอาจให้ความรู้สึกหวานภายในจิตใจ แต่ที่หวานจริง หวานจังสัมผัสได้ต้องที่ พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต (Chocolate museum in Cologne) การออกแบบก็สุดล้ำทำเป็นเหมือนอาคารลอยน้ำอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์

ภายในแบ่งเป็น 3 ชั้น แจกความหวานตั้งแต่เริ่มต้นเข้าพิพิธภัณฑ์ด้วยช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ด้านในนอกจากจะเล่าถึงประวัติความเป็นมาของช็อกโกแลต ตั้งแต่เมล็ดโกโก้ ส่วนของโกโก้ที่มาทำช็อกโกแลต

ส่วนที่หวานสุดคงเป็นบริเวณนำพุช็อกโกแลต ที่มีพนักงานเอาเวเฟอร์จุ่มช็อกโกแลตอุ่นๆ แจกผู้เข้าชมคนละอัน นั่นแหละ หรือใครอยากจะทำช็อกโกแลตหน้าตัวเองก็ย่อมได้ ก่อนออกรูดเงินในกระเป๋าไปกับช็อกโกแลตอีกหลายหลากประเภท ค่าเข้าอยู่ที่ 11.5 ยูโร แพงแต่คุ้ม

ก่อนเดินทางไปดึสเซิลดอร์ฟ (Dusseldorf) ผมแวะที่เมืองนอยส์ (Neuss) เมืองชนบทเล็กๆ ห่างจากดึสเซิลดอร์ฟแค่ 12 กิโลเมตรเท่านั้น เมืองนี้ผู้คนไม่ค่อยรู้จักมากนัก แต่การคมนาคมขนส่งสะดวกสบาย มีถนนและรถไฟเชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆ ในประเทศ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง สามารถเดินชมได้ด้วยการเดินเท้าหรือใช้บริการรถประจำทางที่มีบริการตลอด มีสิ่งน่าสนใจอย่างเช่น หอคอยคู่ Obertor Gate ซึ่งเป็นประตูป้อมยุคกลางอายุกว่า 800 ปี เพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่

มหาวิหารเซนต์ควินนิสแห่งนอยส์ (The Basilica of St. Quirinus) เป็นวิหารคาทอลิกซึ่งสร้างขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อนักบุญ St. Quirinus of Neuss ผู้เสียสละชีวิตเพื่อคุ้มครองชาวเมือง อัฐิของท่านก็ยังเก็บไว้ในโบสถ์นี้ เป็นต้น

ดึสเซิลดอร์ฟ (Dusseldorf) เป็นเมืองหลวงของรัฐนอร์ทไรน์- เวสต์ฟาเลีย (North Rhine-Westphalia) ตัวย่อ NRW เป็นดินแดนฝั่งตะวันตกทางตอนเหนือของแม่น้ำไรน์ เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีเมืองสำคัญของรัฐนี้ เช่น โคโลญที่ผมเพิ่งไปมา สำหรับที่ดึสเซิลดอร์ฟ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งแฟชั่น ช้อปปิ้ง และสถานบันเทิงไม่ว่าจะเป็นบริเวณของย่านเมืองเก่าที่เรียกว่า อัลต์ชตัดต์ (Altstadt)

ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและสถานบันเทิงมากมายกว่า 200 ร้าน อาหารหลากหลายครบทุกชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อิตาลี จีน แม้แต่อาหารไทย จนได้รับขนานนามว่าเป็น longest bar of the world ที่ห้ามพลาดคือ เบียร์ดำ ประจำชาติอย่าง “Altbier” ไม่พอแค่ข้ามฝั่งคลองไป อีกฝั่งคุณสามารถใช้เงินยูโรที่มีจับจ่ายใช้สอยไปกับสินค้าแบรนด์เนมที่มีมากมายยาวเหยียดกว่า 2 กิโลเมตร

บนถนนที่ชื่อ เคอนิกส์ อัลเล (Konigsallee) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Kö บริเวณนี้เรียกได้ว่าถูกใจเหล่านักช้อปเป็นอย่างยิ่ง ส่วนใครอยากรับลมเย็นริมแม่น้ำไปแถบแม่น้ำไรน์เลย จะมีร้านค้า คาเฟ่ที่กระจายตัวอยู่เต็มไปหมด

เป็นทางที่เชื่อมต่อเมืองเก่า เข้ากับท่าเรือที่พัฒนาขึ้นใหม่ถือเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของคนเมืองนี้ บางคนก็มาออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน เดินเล่น หรือมาเปิดหมวกให้ชมกัน สำหรับนักท่องเที่ยวที่นี่เหมาะกับ การดื่มด่ำทิวทัศน์และธรรมชาติ หรือใครอยากจะล่องเรือ ก็มีบริการใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จะมีอธิบายเรื่องราวของเมืองดึสเซิลดอร์ฟ

ทางเดินเล่นริมแม่น้ำไรน์ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ จากที่นี่สามารถเดินไปยังย่านเมืองเก่าอัลต์ชตัดต์ ตลอดจนสถานที่น่าสนใจที่สำคัญของเมืองได้ ใช้เวลาไม่นานนัก แถมมีบริการขนส่งมวลชน เช่น รถรางและรถไฟเร็ว อยู่ไม่ไกลอีกด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่ทั้งล้ำสมัย เก่าแก่ สวยงาม ที่น่าสนใจหลายแห่งสำหรับคนที่ชื่นชอบ พิพิธภัณฑ์และศิลปะ ที่เมืองนี้มีมากกว่า 100 แห่ง ในบริเวณย่านเมืองเก่า และตลอดแนวริมแม่น้ำไรน์

อย่างเช่นที่ พิพิธภัณฑ์คุนส์ท พลาสท์ (Kunstpalast Museum) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสามารถเดินมาจากย่านเมืองเก่าได้ไม่ไกลนัก มีพื้นที่จอดรถระบบจ่ายแบบอัตโนมัติอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หรือจะนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Tonhalle/Ehrenhof ก็ได้ เดิมเป็นการสะสมงานศิลปะส่วนตัวของโยฮันน์ วิลเฮล์มที่ 2 ในปี 1710 ต่อมาในศตวรรษที่ 20 ได้มีการนำคอลเลกชั่นอื่นๆ เข้ามาเสริม และพิพิธภัณฑ์ก็ได้เปิดขึ้น ณ สถานที่ตั้งปัจจุบันในปี 2001 รวบรวมงานภาพวาดของศิลปินเอกชาวดัตช์และเบลเยียม รวมถึงคอลเลกชั่น งานศิลปะร่วมสมัยที่มีมากมาย

สำหรับสถาปัตยกรรมที่ผมเห็นว่าแปลกปนทึ่ง ยกให้กับตึกเกห์รี (Gehry Buildings) นั่งรถบัสหรือรถรางมาลงที่สถานี Stadttor และเดินต่อมาทางตะวันตกเฉียงเหนือ 5 นาที ก็จะเห็นตึกเอนท่าทางประหลาด โค้งเป็นแนวไปตามริมฝั่งแม่น้ำไรน์

ตึกทั้งสามเป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบแปลกใหม่ ผนังด้านนอกเป็นสเตนเลสสะท้อนแสง โดดเด่นด้วยการเล่นสีขาว เงิน และน้ำตาล ตึกนี้เป็นการออกแบบของ แฟรงก์ เกห์รี (Frank Gehry)

ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักงานเอเจนซี่สื่อและโฆษณา ที่ปรึกษาด้านการจัดการ และแฟชั่นดีไซเนอร์มากมาย บริเวณท่าเรือแถบนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม Media Harbour นั่นเอง

อีกหนึ่งเมืองที่มีเสน่ห์ของรัฐ นอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย คือเมืองบอนน์ (Bonn) เราสามารถนั่งรถไฟจากโคโลญมาเที่ยวบอนน์ บ้านเกิดเบโธเฟ่นได้อย่างง่ายๆ ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และสามารถต่อไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่างแฟรงก์เฟิร์ตได้

เมืองบอนน์มีความน่าสนใจอยู่ที่อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเยอรมนีตะวันตกเมื่อครั้งที่เยอรมนีตะวันตกถูกแยกออกมาจากฝั่งตะวันออกที่ปกครองโดยโซเวียต เมืองนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยและการฟื้นฟูโดยสหรัฐอเมริกา ประกอบกับเป็นเมืองไม่ใหญ่มากนัก สามารถวางผังเมืองและการคมนาคมได้ง่าย

และไม่ไกลจากทั้งโคโลญและแฟรงก์เฟิร์ต สะดวกกับการเชื่อมต่อระหว่างผู้คนของทั้งสองเมืองให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น เวลาผ่านไปเมื่อมีการรวมเยอรมนี บอนน์ ถูกเเทนที่ด้วยเมืองหลวงเก่าดั้งเดิมอย่างกรุงเบอร์ลิน แต่สิ่งอำนวยความสะดวกและสถานศึกษาต่างๆ ยังคงอยู่ ทำให้ความขึ้นชื่อเรื่องของเมืองแห่งการศึกษา เข้ามาแทนที่

หนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันคือ มหาวิทยาลัยบอนน์ (University of Bonn) เดิมที่นี่เป็นวังของเจ้าชายแห่งโคโลญ เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1697 แล้วแปรสภาพเป็นมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1777

มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ด้านกฎหมาย และด้านเศรษฐศาสตร์ ทั้งสองสาขาติดอันดับ TOP5 ของประเทศ โดยรอบของมหาวิทยาลัยสวยงามตามลักษณะของวังเก่า แถมมีร้านค้ามากมายคอยต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเราอีกด้วย

อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นก่อนมาเมืองบอนน์ว่าที่นี่เป็น บ้านเกิดของนักดนตรีชื่อก้องโลกอย่างเบโธเฟ่น โดยในช่วงชีวิตของเบโธเฟ่น เขาใช้ชีวิตอยู่ใน 2 เมืองหลัก นั่นก็คือ เมืองบอนน์แห่งนี้ตั้งแต่เกิดถึงอายุ 22 ปี แล้วย้ายไปสร้างสรรค์ผลงานทางด้านดนตรีจนจวบสุดสิ้น อายุขัยในวัย 57 ปี ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย

สำหรับการตามรอย เบโธเฟ่น เริ่มจากออกจากสถานีรถไฟ Bonn Hauptbahnhof แล้วเดินมุ่งตรงขึ้นมาทางจัตุรัส Munsterplatz จะเห็นอนุสาวรีย์รำลึกถึงเบโธเฟ่น ตั้งโดดเด่นอยู่หน้าที่ทำการไปรษณีย์เมืองในปัจจุบัน ต่อมา คือ บ้านเลขที่ 20 บนถนน Bonngasse ที่เบโธเฟ่นเกิดและเคยใช้ชีวิตอยู่ ปัจจุบันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมเบโธเฟ่น เกิดและอาศัยอยู่ในบ้านสไตล์บาโรก 3 ชั้นแห่งนี้

ก่อนจะย้ายไปบ้านอีกแห่งใน บอนน์ แต่บ้านอีกแห่งถูกทำลายไปตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเหลือที่นี่แห่งเดียวที่เป็นที่ให้ผู้ชื่นชอบได้แวะเวียนมาสัมผัสชีวิต วัยเยาว์ของนักประพันธ์ท่านนี้ โดยในแต่ละห้องก็จะจัดเรื่องราวเกี่ยวกับเบโธเฟ่น ทั้งจดหมาย รูปภาพ อุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยฟัง ขณะที่หูเริ่มไม่ได้ยินเสียง เป็นต้น ภายในบ้านห้ามถ่ายรูป แต่แค่ได้ มาชมที่นี่ผมว่าคนที่ชื่นชอบเขาคงรู้สึกอิ่มเอมแล้ว

บางครั้งการเดินทางในเมืองที่เป็นทางเลือกไม่ใช่เมืองยอดนิยม อย่างคนอื่นๆ ทำให้สัมผัสถึงเสน่ห์และความรื่นรมย์ที่แตกต่างไปอย่าง 3 เมืองที่ผมได้มีโอกาสไปมาหาคนไทยเจอได้น้อยมาก แต่ก็ไม่ได้ขาดเหลือในเรื่องของบรรยากาศตะวันออกยังหาร้านอาหารไทยอาหารจีน ญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย แม้คนยุโรปได้ชื่อว่า ไม่เป็นมิตรเท่าคนเอเชีย แต่ตลอดการเดินทางผมได้พบพานรอยยิ้มของคนรอบข้างอยู่เสมอ แบบนี้แหละเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองทางเลือกที่มีเสน่ห์ ของเยอรมนีที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัส

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0