Go Go Kobe
Story & Photo by Orawan
ญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวถือได้ว่าเป็นช่วงที่มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่มาจากเมืองร้อนอย่างเรา ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษที่ได้เห็นสถานที่ต่างๆ ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว สำหรับช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม แต่ถ้าใครอยากจะไปเที่ยวเมืองใหญ่ด้วย และที่เที่ยวหน้าหนาวแบบใกล้เมืองแล้วละก็ แนะนำไปที่นี่ เมืองโกเบ

โกเบ หรือโคเบะ (Kobe) เป็นเมืองเอกของจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) ประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับที่ 5 และเป็นเมืองท่าที่สำคัญของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางฝั่งใต้ของเกาะฮนชู ห่างจากโอซาก้าไปทางตะวันตกประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น

หากมาโกเบอยากชมหิมะ แถมวิวมุมสูงของเมืองแล้วละก็เริ่มที่ ภูเขารอกโค (Mount Rokko) อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 931 เมตร การเดินทางขึ้นภูเขารอกโคง่ายดายและรวดเร็วมาก

หากคุณเลือกใช้บริการ Rokko Cable Car เริ่มจากการใช้บริการรถไฟลงที่สถานี Hankyu Rokko หรือสถานี JR Rokkomochi จากนั้นให้นั่งรถบัสหมายเลข 12 เพื่อไปลงที่สถานี Rokko Cable Shita แล้วต่อรถรางขึ้นเขาอีกประมาณ 10 นาที ซึ่งระหว่างขึ้นเขานั้นคุณจะได้เห็นความสวยงามของสองข้างทางที่กำลังไต่ขึ้นสู่ความสูง

เมื่อมาถึงบนเขาแล้วนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปตามจุดสำคัญต่างๆ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 ป้ายด้วยรถบัส Rokko Sanjo Bus ที่วิ่งวนกลับเป็นวงกลม

ซึ่งด้านบนเขานั้น มีสถานที่เที่ยวมากมาย เช่น สวนพฤกษศาสตร์พิพิธภัณฑ์ สนามกอล์ฟ คันทรีคลับ ร้านอาหาร จุดชมวิว โรงแรม รีสอร์ตและในช่วงฤดูหนาวบนยอดเขารอกโคยังมีลานสกีเทียม ดังนั้นถึงแม้หิมะตกน้อยคุณก็ยังได้เล่นสกีนั่นเอง สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวบนภูเขายกตัวอย่างเช่น

พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีรอกโค (Rokko International Musical Box Museum)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงกล่องดนตรีตั้งแต่รุ่นเก่าๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น กล่องดนตรีที่นิยมในแถบตะวันตกเมื่อปลายศตวรรษที่ 19-ต้นศตวรรษที่ 20

ทุกๆ 30 นาทีจะมีการแสดงคอนเสิร์ตของกล่องดนตรีบางส่วนให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสฟังการแสดงพิเศษ ที่นี่มีจัดการแสดงคอนเสิร์ตทุกวันวันละ 2 ครั้ง

นอกจากนั้น ยังมีส่วนของโซนร้านอาหารที่เปิดบริการชื่อร้าน สเตราส์ คาเฟ่ ร้านคาเฟ่แห่งนี้มีเพลงบรรเลงจากกล่องดนตรี

คุณจะได้ดื่มด่ำอาหารกลางวันหรือจิบชายามบ่ายท่ามกลางธรรมชาติบนเทือกเขารอกโค และถ้าใครต้องการซื้อของฝากของที่ระลึกในโซนของร้านค้า ก็มีกล่องดนตรีหลากหลายแบบให้เราเลือกซื้อกัน


นอกจากนี้ขอแนะนำให้ลองกิจกรรมประกอบกล่องดนตรีขึ้นเองได้ คุณสามารถเลือกเพลงที่ชื่นชอบเองได้กว่า 250 เพลง ราคาเริ่มตั้งแต่ 2,160 เยน ขึ้นกับชนิดกล่องและของประดับ พร้อมๆ กับการได้ชื่นชมความสวยงามระหว่างทาง

ตรงชั้น 2 ของสถานีที่เป็นจุดชมวิวกลางแจ้ง Tenran Observatory ซึ่งมีความพิเศษตรงที่เราสามารถเห็นวิวอ่าว วิวเมืองโกเบ อ่าวโอซาก้า ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ และหากท้องฟ้าแจ่มใสก็สามารถเห็นไกลไปถึงสนามบินคันไซเลย

ลานหิมะของ รอกโค สโนว์พาร์ก (Rokko Snow Park)
สำหรับใครต้องการเล่นหิมะแบบไม่ต้องกังวลว่าหิมะจะตกหรือไม่ตกก็ตามแต่ ต้องที่นี่เลยลานหิมะของ รอกโค สโนว์พาร์ก

เพราะแม้ว่าจะเป็นหิมะเทียมแต่รับประกันความฟินและความสนุก ที่ลานหิมะมีแบ่งเป็น 2 โซนหลักคือทางลาดที่เล็กลงมา สำหรับเล่นเลื่อนเหมาะกับเด็กได้เล่นสนุกสนานกัน แต่ผู้ใหญ่ก็เล่นได้

ส่วนทางลาดใหญ่ สำหรับคนที่ต้องการเล่นสกี ซึ่งแม้ไม่มีอุปกรณ์ก็มีให้เช่า ถึงเล่นไม่เป็นก็มีคลาสสอนเล่นสกีสำหรับนักท่องเที่ยว ต่างชาติด้วย มาถึงก็สมัครเรียนกันได้เลย

Rokko Garden Terrace: ชมความงามยามค่ำคืนของฤดูหนาว
หลังจากไปเล่นสกีกันจนเพลิน เราขอแนะนำให้แวะไปกันที่จุดชมวิว Rokko Garden Terrace ที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า The Million Dollar Night View

อีก 2 แห่ง คือ เขา Inasa ที่นางาซากิ (Nagasaki) กับ ฮาโกดาเตะ (Hakodate) จังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido) บริเวณนี้มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่และร้านขายของให้เราได้เดินเล่นกันตามอัธยาศัย

เมื่อพูดถึงเมืองโกเบ สิ่งที่คนมักจะนึกถึงคือเนื้อโกเบ แต่ถ้าคุณมาเยือนที่ภูเขารอกโคแห่งนี้ ขอแนะนำให้ลองเมนูเนื้อแกะขึ้นชื่อประจำภูเขารอกโค เนื้อแกะย่างที่ร้านอาหารในบริเวณ Rokko Garden Terrace เนื้อนุ่มอร่อยจนต้องบอกต่อ

หันไปอีกด้านจะเห็นโดมแปลกตาชื่อว่า Rokko-Shidare Observatory เป็นจุดชมวิวอีกแห่งที่น่าสนใจ ออกแบบโดย Hiroshi Sambuichi สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น

สามารถมองเห็นเมืองโกเบได้ 360 องศา ยิ่งเวลากลางคืนเราจะเห็นภาพแสงไฟระยิบระยับจากตัวเมืองเป็นภาพที่สวยงามประทับใจและโรแมนติกสุดๆ

ลงจากภูเขา เราจะไปต่อกันที่ ท่าเรือเมืองโกเบ ซึ่งจุดเด่นที่เห็นแต่ไกลคือ หอคอยสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่ใน “สวนเมริเคน (Meriken Park)” ที่อยู่ริมท่าเรือเมืองโกเบ หอคอยนั้นคือ โกเบ พอร์ต ทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)

เป็นหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญที่คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างให้ความสนใจ หรือหลายคนรู้จักกันในชื่อของ “Steel Tower Beauty” ที่เรียกกันแบบนี้ก็เนื่องมาจากโครงสร้างของหอคอยที่มีการออกแบบให้โดดเด่นและคล้ายคลึงกับกลองโบราณญี่ปุ่นนั่นเอง

หอคอยแห่งนี้มีความสูงอยู่ที่ 108 เมตร ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 ชั้น ในส่วนของชั้นที่ 1 เป็นจุดจำหน่ายตั๋วและจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกต่างๆ ส่วนชั้นที่ 2 และ 3 นั้นเป็นโซนร้านอาหาร ร้านค้า คาเฟ่ต่างๆ ความพิเศษของหอคอยนี้อยู่ตรงชั้นที่ 3 เพราะสามารถหมุนรอบๆ เป็นวงกลมอย่างช้าๆ ได้ โดย 1 รอบการหมุนใช้เวลาประมาณ 20 นาที ส่วนชั้นที่ 4 และ 5 นั้นเป็นโซนสำหรับชมวิวอันสวยงามแบบพาโนรามาของเมืองโกเบได้เกือบจะทั่วทั้งเมือง และสถานที่สำคัญๆ ใกล้เคียง การเดินทางมาที่นี่ สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย Kaigan Line มาลงยังสถานี Minatomotomachi แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที ส่วนคนที่นั่งรถไฟสาย JR หรือ Hanshin ให้ลงที่สถานี Motomachi แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาทีได้

ไม่ไกลจากท่าโกเบมีบริเวณห้างสรรพสินค้าที่เรียกว่าโกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland) ซึ่งมีห้างใหญ่หลายแห่งอยู่ใกล้ๆ กันเช่น Umie และ Mosaic ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ ภายในมีร้านค้าเล็กๆ ขายเสื้อผ้า และร้านอาหารที่สามารถลิ้มรสอาหารไปพร้อมชมวิวท่าเรือโกเบได้อย่างชัดเจน หรือห้าง Canal Garden ภายในจะแบ่งออกเป็นห้างร้านต่างๆ เช่น Hankyu, Sofmap (ร้านขายของอิเล็กทรอนิกส์), ร้านอุปกรณ์กีฬาและเอาต์เลตจำหน่ายเสื้อผ้าเครื่องใช้ในครัวเรือน

ย่านนี้ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวมสถานที่ช้อปปิ้งและความบันเทิงที่หลากหลายที่โด่งดังมากๆ ของเมืองไว้ด้วยกัน อย่าพลาดที่จะนั่งชิงช้าสวรรค์ MOSAIC Ferris Wheel เพื่อชมวิวมุมสูงริมน้ำของเมืองโกเบ สวยงามน่าประทับใจมาก และปิดท้ายกันด้วยเทศกาลประดับไฟโกเบ (Kobe Luminarie) จัดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี ถือได้ว่าเป็นงานประดับไฟที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งของโกเบ ตลอดเส้นทางหลายช่วงถนนภายในเมืองโกเบจะประดับไฟที่มีการออกแบบลวดลายไม่ซ้ำกันเลยสักปี มาเที่ยวแล้วเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเทพนิยายกันเลยทีเดียว

นอกจากความสวยงามของไฟแล้ว เบื้องหลังงานประดับไฟของเมืองโกเบนั้นแฝงด้วยความหมายแห่งการปลอบประโลมจิตใจและเรียกขวัญกำลังใจของชาวเมืองโกเบที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในประวัติศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 1995 ดังนั้น ช่วงเทศกาลประดับไฟจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทางกลับบ้าน และระลึกถึงผู้จากไป พร้อมทั้งเสริมกำลังใจแก่ผู้ที่ยังอยู่อีกด้วย