Frozen Lake Baikal

Story by Editorial Staff

สำหรับคนเมืองร้อน ย่อมหาปลายทางการเดินทางที่หนาว มีหิมะ มีน้ำแข็ง เป็นธรรมดาหลายคนคงอยากสัมผัสอากาศแบบเลขตัวเดียว หรือติดลบกันบ้าง แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบความหนาวเป็นอย่างมาก ผมอยากจะแนะนำให้ไปที่นี่เลย อุณหภูมิในช่วงฤดูหนาวคือ -15 ไปถึง -35 องศาเซลเซียส กันเลยทีเดียว ที่นั่นก็คือ ทะเลสาบไบคาลช่วงฤดูหนาวนั่นเอง

ก่อนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวทะเลสาบไบคาล มาทำความรู้จักกับทะเลสาบไบคาลกันก่อนว่าอยู่ตรงไหน ไบคาล นั้นอยู่ที่ทางทิศตะวันออกของประเทศรัสเซีย ตรงบริเวณตอนใต้ของดินแดนไซบีเรียที่ครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันออกของรัสเซียทั้งหมด หรือถ้าใครรู้จักมองโกเลียไซบีเรียก็อยู่เหนือมองโกเลียขึ้นไป

พื้นที่บริเวณนี้อากาศจะหนาวมาก อย่างที่บอกในฤดูหนาวสามารถติดลบไปถึง -30 องศาเซลเซียส สำหรับทะเลสาบไบคาลที่ขึ้นชื่อนี้เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่กว้างใหญ่และลึกที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก จุดที่ลึกที่สุดมีความลึกกว่า 1,640 เมตร (หรือเกือบ 2 กิโลเมตร) และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

หลายคนเดินทางมาทะเลสาบไบคาลเพื่อต้องการสัมผัสความหนาวส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งต้องการภาพของความเวิ้งว้างที่สุดสายตาของพื้นที่สีขาวโพลน จำนวนไม่น้อยต้องการนั่งเรือ Khivus ซึ่งเป็นเรือสะเทินน้ำสะเทินบก ที่วิ่งได้ทั้งบนผิวน้ำ หิมะ และพื้นน้ำแข็ง ของทะเลสาบที่มีความหนาแน่นพอให้รถวิ่งผ่านกันเลย

ซึ่งการมาทะเลสาบไบคาลนั้นแนะนำให้มาช่วงกุมภาพันธ์-กลางมีนาคม อากาศจะอยู่ที่ประมาณ -15 ถึง -23 องศาเซลเซียส แต่ถ้ามาในช่วงก่อนหน้านั้นเช่น ธันวาคม มกราคม อากาศหนาวจัดเกินไป แตะ -30 องศาเซลเซียสกันเลยทีเดียว

สำหรับการเดินทางมาทะเลสาบไบคาลนั้นแนะนำให้หาไกด์ หรือทัวร์ท้องถิ่นในการเดินทางเนื่องจากคนรัสเซียพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก การเดินทางบนแผ่นน้ำแข็ง เส้นทางหิมะ ลำบาก มีคนขับรถและคนประสานงานดีกว่า จะทำให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น สามารถหาซื้อทัวร์ไกด์ท้องถิ่นได้จากทางอินเทอร์เน็ตได้เลย มีหลากหลายราคาขึ้นอยู่กับโปรแกรมการเดินทางของคุณ

เดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบินไซบีเรียนแอร์ไลน์ไปลงที่สนามบินเอียร์คุตสก์ (Irkutsk) ประเทศรัสเซีย เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง เวลาที่เอียร์คุตสก์ เร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง ออกจากสุวรรณภูมิประมาณ 1 ทุ่มก็จะถึงเอียร์คุตสก์ ประมาณเที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่น ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเราก็ถึงตัวเมืองเอียร์คุตสก์ (Irkutsk) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอังการา (Angara River) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำสายใหญ่เยนิไซ (Yenisei River)ที่ไหลต่อลงสู่มหาสมุทรอาร์กติก เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดอันดับ 5 ของโลก

เมืองนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1661 เพื่อเป็นศูนย์กลางการซื้อขายทองคำและขนสัตว์ ต่อมาปี ค.ศ. 1760 มีการสร้างถนนสายแรกที่มุ่งสู่กรุงมอสโก ส่งผลเอียร์คุตสก์ เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคไซบีเรียตะวันออก เป็นเส้นทางการค้าขายชาระหว่างจีน อินเดีย และยุโรป และในปี ค.ศ. 1898 ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเชื่อมต่อมาถึงเมืองนี้เป็นครั้งแรกยิ่งทำให้เอียร์คุตสก์เป็นที่รู้จักมากขึ้น

อาคารบ้านเรือนของเมืองนี้เป็นแบบไซบีเรียแท้มีการตกแต่งประดับประดาขอบประตู หน้าต่าง หน้าบัน ตลอดจนผนัง และส่วนต่างๆ ของอาคาร ในรูปแบบของงานไม้แกะสลัก ฉลุลวดลาย สวยงามจนได้รับฉายาว่า “ปารีสแห่งไซบีเรีย” อีกด้วย

นอกจากจะมีบ้านเรือนสไตล์ไซบีเรียแล้ว เราสามารถชมวิวแม่น้ำอังการา (Angara River) แม่น้ำสายหลักของที่นี่ได้ อากาศเบาะๆ ก็อยู่ที่ประมาณ ติดลบ 15 – ติดลบ 20 องศาเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวในเมือง ยกตัวอย่างเช่น โบสถ์คาซาน (Kazan Church) โบสถ์สีแดงส้มที่มียอดโดมสีฟ้า เป็นโบสถ์ที่มีความเก่าแก่และมีคุณค่าทางจิตใจต่อคนที่นี่มาก สร้างตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1885 การก่อสร้างใช้เวลาเจ็ดปี เสร็จในปี ค.ศ. 1892 เกิดจากการบริจาคของคนท้องถิ่น ทั้งชาวบ้าน กบฏการเมือง และโจรผู้กลับใจที่ถูกเนรเทศมาที่เมืองนี้

รูปแบบการก่อสร้างเป็นแบบสไตล์ไบเซนไทน์ (Byzantine) ภายในประดับด้วยหินอ่อนสีแดง และมีเสาหินหลักทำจากหยก เป็นต้น หรือโบสถ์สปาสสกาย่า (Church of the Saviour / Spasskaya) หนึ่งในโบสถ์ที่สวยที่สุด โครงสร้างเป็นอาคารหินที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาคารหลังแรกของคริสตจักรสร้างช่วงที่ยังมีคุกเอียร์คุตสก์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการก่อตัวของเมืองไซบีเรียที่มีชื่อเสียง รากฐานของอาคารหินแห่งแรก เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1706 และผู้เขียนโครงการของโบสถ์คือสถาปนิกชาวมอสโก ด้านขวาของโบสถ์มีป้อมทำจากไม้ มีหอระฆังสูงถึง 42 เมตร

นอกจากโบสถ์แล้วยังมีพระราชานุสาวรีย์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Monument to the Emperor Alexander III 3) ผู้เป็นบุคคลสำคัญแห่งเอียร์คุตสก์และรัสเซีย ผู้ที่มีพระราชดําริให้สร้างทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย ด้วยระยะทาง 9,289 กม. จากกรุงมอสโกสู่เมืองวลาดิวอสต๊อก

หลังจากเพลิดเพลินกับเมืองแล้ววันต่อมาเราก็ออกจากเอียร์คุตสก์ (Irkutsk) ไปเกาะโอล์คอน (Olkhon Island) ซึ่งเป็นเกาะทอดยาวไปตามชายฝั่งของทะเลสาบไบคาลความยาวของเกาะ 73 กิโลเมตร จากเมืองเอียร์คุตสก์ เราใช้เวลาขับรถ 5-6 ชั่วโมง

ก่อนจะเปลี่ยนรถเป็นรถตู้แวนสมัยสงครามโลกครั้ง 2 (UAZ Russian van) พร้อมตะลุยน้ำแข็ง ปกติการเดินทางมาเกาะแห่งนี้ต้องอาศัยเรือเป็นยานพาหนะ ในช่วงฤดูร้อนจะมีผู้คนมากมายที่ขับรถมาขึ้นเรือไปเกาะคิวยาวเป็นชั่วโมง สองชั่วโมงเลย

แต่ในช่วงฤดูหนาว ทะเลสาบไบคาลจะกลายเป็นน้ำแข็งที่มีความหนาขนาด 1-2 เมตร ซึ่งรถยนต์แล่นข้ามได้สบายๆ ส่วนท่าเรือจะถูกปิดชั่วคราวรอวันที่น้ำแข็งละลายจึงเปิดให้บริการอีกครั้ง เกาะโอล์คอน เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบไบคาล นอกจากเราจะได้เห็นทะลสาบผืนใหญ่กลายเป็นน้ำแข็ง เรายังจะได้เห็นปรากฏการณ์น้ำแข็งงอก น้ำแข็งย้อย ประติมากรรมทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในบริเวณถ้ำน้ำแข็งต่างๆ

ปกติกิจกรรมท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว ยกตัวอย่างเช่น การเล่นสกีน้ำแข็ง ขับรถเล่น ปั่นจักรยาน หรือแม้แต่นั่งเลื่อนลากด้วยสุนัข แต่นักเดินทางจะนิยมซื้อทัวร์เพื่อไปดูภูมิทัศน์ต่างๆ บนเกาะซึ่งจะเผยความงามในช่วงที่หนาวที่สุดของปี

ที่เที่ยวสำคัญอย่างเช่น แหลมเบอร์คาน หรือแหลมบูร์ฮาน (Burkhan Cape) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโขดหินชามาน (Shaman Rock) อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ห้ามพลาดของทะเลสาบไบคาล เนื่องจากโขดหินชามานเป็น 1 ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดจาก 9 แห่งในเอเชีย โดยมีความเชื่อว่าเทพเทกรีอิ (Tengrii) เทพเจ้าซึ่งเข้มแข็งที่สุดตามความเชื่อของชนพื้นเมืองที่นี่ ได้เลือกบริเวณนี้ให้เป็นวัง

ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของหมอผีสื่อวิญญาณตามความเชื่อของชาวไบคาลก่อนการเผยแผ่พุทธศาสนาจากทิเบตจะเข้ามา เป็นหินผาที่ยื่นออกมากลางทะเล นอกจากนั้นเราจะเห็น Baikal Spirit เป็นแท่งไม้ปลายแหลมยาวๆ เรียงรายกัน 5-6 แท่งเป็นจิตวิญญาณของไบคาลนั่นเอง

หรือที่แหลมโคบอย (Cape Khoboy) อยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะโอล์คอน มีลักษณะเป็นแนวหินปลายยื่นยาวไปสู่ทะเลสาบ เป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตด้วยรูปร่างของแหลมคล้ายนอแรด เมื่อเราไปยืนบนยอด จะสามารถเห็นวิวของทะเลสาบไบคาลแบบพาโนรามาเต็ม 360 องศา

เห็นพื้นน้ำแข็งสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ใสสะท้อนกับแสงแดดวิบวับเป็นประกาย ที่มีบางจุดแตกร้าวเป็นรอยยาวสีขาว หรือไปเที่ยวถ้ำ Ostrove Kharantsy ถ้ำน้ำแข็งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่เหมือนหินงอกหินย้อย

ความสวยงามของทะเลน้ำแข็งอย่างไบคาลจะอยู่ไปถึงกลางเดือนมกราคมถึงต้นเดือนเมษายนเท่านั้น พอล่วงเข้าต้นเดือนเมษายนน้ำแข็งจะเริ่มละลาย ด้วยสภาวะของโลกร้อน บางปีความงดงามของถ้ำน้ำแข็งต่างๆ ในเขตทะเลสาบไบคาลก็ละลายเร็วมาก จากทะเลน้ำแข็งเราก็จะเริ่มเห็นความงดงามของธรรมชาติสีเขียวขจีกลับมาเยือนเกาะอีกครั้ง

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0