Singapore : Go to Green

ฉันเคยเดินทางมาสิงคโปร์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2013 ตอนนั้นก็รู้สึกได้ว่าสิงคโปร์มีพื้นที่สีเขียวเยอะมากสมกับที่ลี กวน ยู อดีตผู้นำประเทศสิงคโปร์ มีวิสัยทัศน์และประกาศอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1967 ว่าจะเปลี่ยนประเทศสิงคโปร์ให้เป็น “เมืองสีเขียว” (Green City) ที่เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวและมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด

ฉันเดินทางไปสิงคโปร์อีกหลายครั้งทั้้งด้วยงาน และท่องเที่ยวส่วนตัว ล่าสุดปี 2022 ฉันกลับมาที่สิงคโปร์อีกครั้งหลังกลับจากทริปล่องเรือสำราญ สิ่งที่เห็น คือ ผลจากการต่อยอดวิสัยทัศน์ดังกล่าว ตามด้วยแผนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนของสิงคโปร์พัฒนเรื่อยมาจากเมืองสีเขียว (Green City) สู่เมืองในสวน (City in a Garden) จนวันนี้สิงคโปร์ได้กลายเป็นต้นแบบเมืองใจกลางธรรมชาติ (City in Nature) ที่ขึ้นชื่อว่ามีสีเขียวหนาแน่นเป็นอันดับต้นของโลกที่น่าชื่นชม

ประกอบกับที่ฉันเคยไปร่วมงานเปิดตัวแคมเปญ ‘SingapoReimagine’ เกี่ยวกับมุ่งเน้นการนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวและเรื่องราวใหม่ๆ ในสิงคโปร์ ทำให้การมาวันนี้ได้เห็นภาพใหม่ๆของสิงคโปร์ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

เริ่มจากก้าวแรกที่คุณเดินทางสู่ประเทศสิงคโปร์ คุณจะเห็น ห้างจูเวิลชางงีแอร์พอร์ต (Jewel Changi Airport ) ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ ที่ผสมผสานระหว่าอาคารพาณิชยกรรมและห้างสรรพสินค้าเข้าด้วยกัน ที่มีส่วนเชื่อมต่อกับท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี (Singapore Changi Airport) เป็นเสมือนประตูที่บ่งบอกความเป็นสีเขียวอย่างยิ่งใหญ่ของสิงคโปร์ได้เป็นอย่างดี

ภาพของ HSBC Rain Vortex น้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงถึง 40 เมตร ท่ามกลางสีเขียวของพืชพันธุ์เขียวชอุ่มกว่าพันต้น ดึงดูดบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย รวมไปถึงผู้ที่รักธรรมชาติและสนใจงานสถาปัตยกรรมต่างเดินตรงเข้าไปชื่นชมและกดชัตเตอร์เก็บภาพกันอย่างไม่ยั้ง

ภายในอาคาร นอกจากสวนกับน้ำตกที่เป็นจุดเด่นสำคัญแล้ว ด้านบนของอาคารยังมีสวนหย่อม เส้นทางเดินป่า สวนป่าครอบคลุมพื้นที่กว่า 14,000 ตารางเมตรเรียกว่า Canopy Park

สวนลอยฟ้าแห่งนี้ที่เปิดให้ผู้คนได้มาสัมผัสธรรมชาติ พร้อมกับจุดแวะเที่ยวอีกมากมาย

ยกตัวอย่างเช่น ตาข่ายยักษ์ Manulife Sky Nets ที่ให้เราได้ลองปีนป่ายท้าทายพลังกัน

จุดที่น่าสนใจ อีกแห่งในอาคารนี้คือ ชางงี เอ็กซ์พีเรียน สตูดิโอ (Changi Experience Studio) อยู่บริเวณชั้น 4 เป็นสตูดิโอที่เทคโนโลยีประเภทต่างๆ เพื่อแสดงแง่มุมต่างๆ ของสนามบิน

โดยผู้เข้าชมสามารถมีส่วนรวมในการเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์มีตั้งแต่เกมอาร์เคดแบบอินเทอร์แอคทีฟ (interactive arcade games) การเล่าเรื่องแบบฉายภาพ การแสดงที่สมจริง ไปจนถึงการจัดแสดงในแกลเลอรีเป็นสตูดิโอเกม กว่า 20 จุดให้ได้เล่น เปิด 10.00-22.00 น. ค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่ 25 SGD

และถ้าจะไล่ดูในแต่ละชั้นของอาคารก็จะเห็นร้านอาหาร และร้านค้ายี่ห้อดังกว่า 300 ร้าน ร้านอาหารอร่อยมีหลายร้าน ถ้าอยากรับประทานอาหารเปอรานากัน(Peranakan) หรืออาหารท้องถิ่นที่เรียกว่าเป็นการผสมผสานความเป็นมลายูและเข้าด้วยกันแล้วล่ะก็ แนะนำที่ร้าน Violet Oon (ไวโอเล็ต อูนน์) โดยฝีมือของเชฟ Violet Oon ที่ได้รับตำแหน่งทูตวัฒนธรรมอาหารจากการท่องเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board: STB) ในปี 1988 ร้านนี้ดังมาก เรียกได้ว่าเป็นร้านที่เอาไว้รับแขกบ้านแขกเมืองของสิงคโปร์ก็ว่าได้

ร้านมีด้วยกัน 3 สาขาที่ห้างจูเวิลชางงีแอร์พอร์ต อยู่ชั้น 1 ใกล้กับ Terminals 1 และ 2. บริเวณ Lift Lobby C อาหารแนะนำ อย่างเช่น Kuay Pie Tee หัวไชเท้าผัดหวานเป็นไส้ด้านบนเป็นกุ้ง Buah Keluak Ayam หรือแกงไก่ใส่ลูกลูกกลูวะก์ เป็นต้น

ไม่เพียงแต่ห้างสรรพสินค้า สนามบินเท่านั้นที่ทางสิงคโปร์มีการปลูกต้นไม้เสริมเพิ่มเข้าไปในทุกส่วน โรงแรมที่พักเอง ก็มีการนำเอาต้นไม้เข้าไปปลูกในอาคารมากขึ้นรวมไปถึงการปลูกพืชผักเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปรุงอาหารของโรงแรมอีกด้วย อย่างโรงแรม PARKROYAL COLLECTION Marina Bay, Singapore ที่ฉันไปพักก็เป็นโรงแรมที่เรียกว่า ” Garden-in-a-Hotel ” แห่งแรกของสิงคโปร์ กว่า15,000 ตารางฟุตในโรงแรม เต็มด้วยพืชพรรณและต้นไม้มากกว่า 2,400 ต้น ว่า 60 สายพันธุ์

ตรงบริเวณใกล้กับห้องอาหาร Peppermint ห้องอาหารเช้าชั้น 4 มีสวน Urban Farm เป็นฟาร์มบนดาดฟ้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในย่านศูนย์กลางธุรกิจของสิงคโปร์ มีพืชผัก สมุนไพร และดอกไม้กินได้กว่า 60 ชนิด

ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด farm-to-table, farm-to-bar และ farm-to-spa หรือการเสิร์ฟอาหารที่สดใหม่จากสวนสู่โต๊ะสู่ บาร์ และสปาของโรงแรม นอกจากนั้นยังมีการนำนำกากกาแฟไปแปรรูปและใช้เป็นปุ๋ยหมักใน Urban Farm อีกด้วย

ซึ่งแนวคิด farm-to-table อาหารจากฟาร์มสู่โต๊ะนี้ก็มีเห็นตามร้านอาหารในเมืองไทย ส่วนที่สิงคโปร์เองก็มีเช่นกัน อย่างที่ร้าน Open Farm Community ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Botanic Gardens) ร้านเป็นเรือนกระจกอยู่ท่ามกลางแปลงผัก ด้วยแนวคิด Eat well, live well เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทางร้านจะที่มาจากท้องถิ่นหรือเก็บเกี่ยวโดยตรงจากสวนมาทำเมนูที่หลากหลาย โดยมากอาหารที่ร้านเน้นนำผักมามีส่วนร่วมหรือดัดแปลงให้เข้ากับอาหาร เช่น OFCauliflower Wings กระหล่ำดอกชุบแป้งทอด ที่ให้รสชาติเหมือนกำลังกินไก่ทอด

Mixed Heirloom Grains ข้าวผสมธัญพืชต่างๆ ที่เสริ์ฟพร้อมเนื้อย่าง สลัดผัก Smashin’ Pumpkin หรือฟักทองบดที่ให้รสหวานธรรมชาติจากฟักทอง การเสริ์ฟเนื้อที่มาพร้อมผักเป็นต้นให้ความรู้สึกสดใหม่

การเดินทางมาสิงคโปร์ของฉันในครั้งนี้ นอกจากจะได้เห็นถึงความเติบโตเรื่องการเป็นต้นแบบเมืองใจกลางธรรมชาติ (City in Nature) ของสิงคโปร์แล้ว ฉันก็มีโอกาสได้แวะไปที่ The Singing Bowl Gallery ตั้งอยู่ที่ SBF Centre เป็นแกลเลอรีที่มีการบำบัดให้เราผ่อนคลายด้วยเสียงจากชาม (Bowl) ซึ่งชามแต่ละใบแต่ละขนาด รวมไปถึงวัสดุที่ทำนั้น จะให้เสียงที่แตกต่างกัน

เมื่อเคาะไล่เรียงกันไปก็จะเป็นท่วงทำนองเกิดเป็นดนตรีบำบัดหรือ Singing bowls ซึ่งเสียงนี้ก็จะเป็นคลื่นพลังงานเข้าสู่ร่างกายของเรา คืนความสมดุลและความกลมกลืน ให้รู้สึกผ่อนคลาย หายจากความเครียดและเหนื่อยล้า เป็นการฟื้นฟูสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นในขณะท่องเที่ยว

เรียกได้ว่าการมาสิงคโปร์ครั้งนี้เป็นการเปิดประสบการณ์ที่แปลกใหม่สมกับ แคมเปญ ‘SingapoReimagine’ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainability) -สุขภาพดี (Wellness)-ประสบการณ์อาหารที่หลากหลาย (Food & Dining) -สถานที่เที่ยวอันน่าตื่นตาตื่นใจ (Novelty & Excitement) อย่างแท้จริง

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0