Fukuoka -The colors of season

Story by Vacationist Team

ช่วงเวลาในแต่ละปีที่ผ่านผันไป โลกของเราได้โคจรรอบอาทิตย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศในแต่ละช่วงปี เกิดเป็นฤดูกาลต่างๆ สำหรับเมืองไทยของเราอยู่ในเขตร้อนทำให้เรามีฤดูกาลเพียง 3 ฤดูกาลนั่นก็คือ ฤดูร้อน ฤดูหนาวและฤดูฝน ในขณะที่เขตอบอุ่นและเขตหนาว จึงมีฤดูกาลถึง 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว

อย่างเขตที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะเรียกว่าใบไม้ร่วงไปหมดเสียทีเดียวก็ไม่ใช่ เรียกว่ากำลังเปลี่ยนสีจากสีเขียวของฤดูร้อนสู่สีแดง ส้ม น้ำตาล เหลือง ก่อนจะร่วงหล่นหลุดจากกิ่งก้านในช่วงฤดูหนาวมากกว่าชาวญี่ปุ่นเรียกฤดูนี้ว่า โคโย (Koyo)

สำหรับฉันแล้วนอกจากสีสันที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักในเมืองไทยแล้ว ฤดูนี้ที่ญี่ปุ่นอากาศยังเย็นกำลังดี ไม่หนาวมากมัก เป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถเดินชม และดื่มด่ำกับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นชาวไทยหลั่งไหลไปชมความงามของใบไม้ที่ผลัดกันเปลี่ยนสีสันอย่างสวยงามกันอย่างมากมาย โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างโตเกียว และเกียวโต แต่ถ้าให้ฉันแนะนำ ถ้าคุณอยากชมใบไม้เปลี่ยนสีในบรรยากาศที่เงียบสงบ และคุณสามารถสัมผัสความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่โดยที่ผู้คนไม่มากมายแล้วละก็ แนะนำที่นี่เลย ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่นี่มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะคิวชู ส่วนจะมีที่ไหนบ้าง ตามฉันมาเลย

ขอพรและสำรวจตัวเองที่ ดาไซฟุ (Dazaifu)

ดาไซฟุ เป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองฟุกุโอกะ นั่งรถไฟหรือรถบัสใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็มาถึงสถานีดาไซฟุที่โผล่ตรงตัวเมืองพอดี สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของเมืองก็รวมอยู่ใกล้กัน เดินถึงกันในเวลาแค่ 10 – 15 นาทีเท่านั้น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามควรแวะอย่างเช่น ศาลเจ้าดาไซฟุเทนมานกุ (Dazaifu Tenmangu Shrine) วัดโคเมียวเซ็นจิ (Komyozenji Temple) เป็นต้น

ศาลเจ้าดาไซฟุเทนมานกุแห่งเมืองดาไซฟุ เป็นหนึ่งใน 2 ศาลเจ้าดาไซฟุเทนมานกุ ที่สำคัญที่สุดในบรรดาศาลเจ้าเทนมานกุทั้งหมดกว่าพันแห่ง อีกแห่งคือศาลเจ้าคิตาโน่เทนมานกุ (Kitano Tenmangu) ที่อยู่ในเมืองเกียวโต ศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรให้ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา ดังนั้นตั้งแต่ทางเข้า เราจะเห็นเด็กนักเรียนชาวญี่ปุ่นที่กำลังจะสอบเข้าเดินทางมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้กันมากมาย ระหว่างทางไปศาลเจ้า สองข้างทางมีร้านค้า ร้านขนม ร้านขายของที่ระลึกตลอดแนว

ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะเห็น Starbucks ติดอันดับ 1 ใน 10 การออกแบบที่สุดล้ำตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือเรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กจุดหนึ่งเลยก็ว่าได้ สาขานี้เป็นการออกแบบของ Kengo Kuma ประดับประดาไปด้วยท่อนไม้ทรงสี่เหลี่ยมมากถึง 2,000 ท่อน เรียงรายคล้ายใยแมงมุมหรือรังนกแล้วแต่ใครจะมองว่ากันว่าเมื่อเอาท่อนไม้ทั้งหมดของร้านมาเรียงกันจะมีความยาวถึง 4.4 กิโลเมตรเลยทีเดียว

เมื่อเดินเข้ามาในศาลเจ้าก็พบกับรูปปั้นวัวสีทอง ตามตำนานวัวตัวที่ทำหน้าที่ลากเคลื่อนขบวนศพของท่านมิชิซะเนะ (Sugawara Michizane) ผู้เป็นปราชญ์แห่งการเรียนรู้ของที่นี่ ได้หยุดเคลื่อนขบวนที่นี่และไม่ยอมไปไหน ชาวบ้านจึงทำพิธีศพท่านกันที่ตรงนี้ ต่อมาบริเวณนี้ก็คือที่ตั้งของศาลเจ้าดาไซฟุเทนมานกุนั่นเอง

หากคุณมาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเช่นนี้ คุณจะเห็นใบไม้สีแดงตัดกับสีท้องฟ้าและสีดำของหลังคาสถาปัตยกรรมของศาลเจ้าไม่ไกลจากศาลเจ้าดาไซฟุเทนมานกุ ไปทางใต้ คือ วัดโคเมียวเซ็นจิ วัดเซนนิกายรินไซ (Rinzai) ถูกสร้างขึ้นในยุคคามาคุระ (Kamakura) ประมาณปี ค.ศ. 1192 – 1333

เพราะนอกจากจะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมแล้ว สวนญี่ปุ่นของวัดที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี สวนแบบนี้เรียกว่า “คาเระซานซุย (Karesansui)” หมายถึงสวนแบบเซ็นที่ไม่มีสระน้ำหรือลำธาร และสวนในวัดนี้เป็นสวนคาเรนซันสุอิแห่งเดียวในคิวชู สวนด้านหน้ามีหินจำนวน 15 ชุดที่เรียงตัวเป็นตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า แสงสว่าง

จากสวนหินส่วนหน้า ส่วนสวนด้านหลัง มีความหมายว่าทะเลก็เกิดจากน้ำหยดเดียวจนกลายเป็นทะเลขนาดใหญ่ซึ่งเรียกว่าอิทเทกิไคเต โดยใช้สาหร่ายสีเขียวแสดงถึงพื้นดิน และทรายสีขาวแสดงถึงทะเล การจะเข้าไปชมสวนหินด้านหลังได้ต้องเข้าไปในอาคารของวัด จุดนี้ต้องเสียค่าบำรุงสวนแต่ไม่แพงแค่ 200 เยน เท่านั้น

ขอบอกเลยว่าคุ้มมาก ยิ่งมาในช่วงที่ไม่มีคนแล้วบรรยากาศรอบข้างค่อนข้างเงียบ แต่ก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาพรรณ ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสงบอย่างแท้จริง มีเพียงเสียงลมหายใจของเราเองและความสวยงามของธรรมชาติรอบตัว

ฮิโกะซัง (Hiko-san) ปีนเขา ดื่มด่ำกับธรรมชาติ

สายลมที่พัดผ่านเบากระทบร่างกาย แสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้สีเหลือง ส้ม แดงเป็นลำแสงสีทองตามเส้นทาง มีเพียงเสียงใบไม้ไหวและเสียงก้าวเดินอย่างช้าๆ เท่านั้นที่เป็นเพื่อนเรายามที่เดินทางบนเส้นทางแห่งธรรมชาติของภูเขาฮิโกะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตั้งแต่อดีตกาล นักบวชหรือผู้บำเพ็ญเพียร จึงนิยมมาถือศีลกันที่นี่

ภูเขาฮิโกะ ตั้งอยู่บริเวณพรมแดนของจังหวัดโออิตะกับจังหวัดฟุกุโอกะ กับความสูงกว่า 1,200 เมตร ภูเขาลูกนี้ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชามาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง 3 แห่งได้แก่ ภูเขาฮากุโระ Haguro-yama ที่ซึรุโอกะ, ภูเขาโอมิเนะ (Omine-san) ที่นาระ และภูเขาฮิโกะ (Hiko-san) ที่ฟุกุโอกะ นี้เอง นอกจากจะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของโบราณสถานเก่าแก่และศาลเจ้าที่สำคัญอย่างศาลเจ้าฮิโกะซันจิงงู (Hikosan Jingu) ที่มีกระพรวนที่โด่งดัง เชื่อกันว่า กระพรวนนี้สามารถช่วยปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายได้

ในปัจจุบันนอกจากที่นี่จะเป็นที่ปฏิบัติธรรมของเหล่านักบวชแล้ว ภูเขาแห่งนี้ยังเป็นที่นิยมของนักปีนเขา และนักดูนกอีกด้วย เนื่องจากมีนกป่าหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราจะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีที่ค่อยไล่เรียงสีสันตั้งแต่ตีนเขาถึงบนยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าฮิโกะซันจิงงู บริเวณเชิงเขาคุณจะเห็น โทริอิ “Kane-no-Torii” ทำด้วยทองแดง มันถูกสร้างขึ้นในปี 1637 จากด้านล่างขึ้นด้านบนยอดเขาระหว่างทางประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถเดินเท้าดื่มด่ำไปกับธรรมชาติรอบข้างอย่างเช่นฉัน หรือจะเลือกขึ้นรถสโลปคาร์ก็ทำได้ ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึงบริเวณศาลเจ้า

แล้วค่อยเดินขึ้นเขาต่อไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตรก็จะถึงยอดเขาด้านบนสุดที่มีจุดชมวิวที่น่าสนใจตั้งอยู่ การเดินทางไปสามารถขึ้นรถไฟ JR สาย Hitahikosan ลงสถานี Hikosan แล้วต่อด้วยรถยนต์ประมาณ 15 นาทีหรือจากหน้าสถานี Hikosan สามารถต่อด้วยนิชิเทตซึบัส ลงป้าย Jingu ก็ย่อมได้ ป่าแถบภูเขาฮิโกะ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแห่งนี้สวยงามติดอันดับต้นของสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีของฟุกุโอกะเลยทีเดียวสนุกสนานไปกับแหล่งช้อปปิ้งและอาหารหลากรส ที่ฟุกุโอกะกลับมาที่เมืองฟุกุโอกะ

สำหรับสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีในเมืองเช่นนี้ ฉันแนะนำที่ สวนสาธารณะโอโฮะริ (Ohori Park) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะที่มีสระน้ำตรงกลางสระนี้ครั้งหนึ่งก็เป็นหนึ่งในระบบคูน้ำของปราสาทฟุกุโอกะที่อยู่ข้างๆ เกาะกลางสระน้ำมีอยู่ 3 เกาะซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินหินระยะทางรวมกันประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นสถานที่ที่คนนิยมมาทำกิจกรรมด้วยกันท่ามกลางต้นไม้และสวนแบบญี่ปุ่น

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน ต้นเมเปิ้ล ต้นสนญี่ปุ่นและต้นไม้อื่นๆ ที่ปลูกไว้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดงสวยงาม และข้างๆ กันกับสวนโอโฮะริยังมีซากปราสาทฟุกุโอกะและสวนมาอิซูรุ (Fukuoka Castle Ruin and Maizuru Park) ตั้งอยู่ด้วย แม้ปัจจุบันเหลือเพียงซากของกำแพงและฐานของหอคอยเล็กๆ อยู่ภายในสวนสาธารณะ แต่หากเป็นในช่วงใบไม้ผลิ (เดือนเมษายน) บริเวณสวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกซากุระทั่วทั้งสวน กลายเป็นจุดชมซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองฟุกุโอกะ ขณะเดียวกันในฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ หากเรามองจากลานชมวิวของสวน คุณจะเห็นต้นไม้หลากสีและเมืองฟุกุโอกะ สวยงามไม่แพ้กัน

เราขอปิดท้ายเมืองฟุกุโอกะกันด้วย สิ่งที่คนจะนึกถึงกันมากที่สุด หากมาฟุกุโอกะ นั่นคือ ซุ้มขายอาหารแบบรถเข็นสไตล์ยาไต (Yatai) แม้จะมีร้านแบบนี้ทั่วเมืองฟุกุโอกะเกือบ 150 ร้าน แต่พิกัดหลักที่คนนิยมไปกันก็คือ บริเวณตอนใต้ของย่านนาคาสุ (Nakasu Area) กลางเมืองฟุกุโอกะ เพราะนอกจากจะมีร้านสไตล์ยาไตกว่า 10 ร้านแล้ว

ความพิเศษอยู่ตรงบรรยากาศทางเดินริมน้ำที่มีทิวทัศน์สุดแสนโรแมนติกของแสงไฟที่สะท้อนผิวน้ำ การเดินทางง่ายๆ จากสถานีรถไฟใต้ดินนาคาสุ คาวาบะตะ (Nakasu-kawabata) แล้วเดินข้ามแม่น้ำไปฝั่งเกาะลอยนาคาสุ เราก็จะเริ่มเห็นบรรดาเหล่าร้านยาไตทันที รายการอาหารที่ขายหลักๆ ไม่พ้นไก่ย่าง (Yakitori) หม้อไฟ (Oden) และอาหารขึ้นชื่อของฟุกุโอกะอย่างฮากาตะราเม็ง (Hakata Ramen) ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่น

ทำจากเส้นราเม็งที่บางกว่าทั่วๆ ไป ในน้ำซุปกระดูกหมู (Tonkutsu) โดยมากคนทำงานก็จะแวะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานโอเด้ง ไก่ย่างหรือเกี๊ยวซ่าเป็นของแกล้มเป็นการสังสรรค์หลังเลิกงาน จากนั้นปิดท้ายด้วยราเม็งกันก่อนกลับ เนื่องจากร้านมีขนาดเล็กประมาณ 6-10 ที่นั่ง ทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนขายและผู้ซื้อเป็นไปอย่างใกล้ชิดและสนุกสนาน

ฉันสังเกตเห็นหลายร้านคนขายท่าทางเฟี้ยวกันทุกคน ร้านยาไตมีเวลาทำการไม่แน่นอนในแต่ละร้าน แต่โดยมากจะหยุด 1 วันต่อสัปดาห์และเปิดบริการตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงตี 2 แนะนำให้มาก่อน 1 ทุ่ม เพราะถ้าหลังจากนั้นคนจะเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนวันศุกร์หรือเสาร์ คุณอาจจะรอนานและหงุดหงิดได้

แต่ถ้าคุณไม่อยากหงุดหงิดมากนักสามารถมากินอาหารรถเข็น สไตล์ยาไตแถวย่านเทนจินได้เพราะถ้าคนเยอะก็เดินหนีไปช้อปปิ้งกันให้สบายใจ ย่านเทนจิน (Tenjin) เป็นย่านการค้าที่เป็นเสมือนหัวใจที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฟุกุโอกะ

ที่นี่รวบรวมสินค้าและผลิตภัณฑ์ ชั้นนำนานาชนิด ให้คุณได้จับจ่ายกันอย่างจุใจไปกับห้างดังที่อยู่ภายในย่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง รวมไปถึงร้านอาหารอีกมากมาย

เพียงแค่คุณโผล่ออกมาจากสถานีรถไฟเทนจิน (Tenjin) หรือนั่ง Loop Bus ลงที่ ป้าย เทนจิน คอร์ มาเอะ (Tenjin Core Mae) ไม่ว่าคุณจะออกมาจากสถานีรถไฟด้านไหนก็ตาม คุณก็จะได้เจอกับถนนสายช้อปปิ้งอันหลากหลาย และถ้าเดินไปตามซอกมุมเล็กมุมน้อยของซอย คุณจะได้พบกับร้านขายของแนวๆ ร้านกาแฟเก๋ๆ ที่คนชื่นชอบงานอาร์ต งานศิลป์ ต้องตาโตร้องว้าวต่อเนื่องไม่หยุด

จังหวัดฟุกุโอกะ เป็นสถานที่ที่คุณจะเห็นความสวยงามของวัฒนธรรมโบราณ ธรรมชาติของต้นไม้ ดอกไม้ที่สวยงาม เดินทางผ่านกาลเวลาและฤดูกาลไปพร้อมกับความเจริญของเมืองใหญ่ภูมิภาคคิวชู เป็นความผสมผสานที่ลงตัวที่น่าติดตามและค้นหา ชวนให้เดินทางกลับมาอีกครั้ง

  • การเดินทางสู่จังหวัดฟุกุโอกะ มีทั้งเที่ยวบินที่บินตรงอย่างเช่น การบินไทย และแวะ 1 จุดพักทั้ง โคเรียนแอร์ไลน์ เวียดนามแอร์ไลน์ และเจแปนแอร์ไลน์ เป็นต้น หากมาที่จังหวัดฟุกุโอกะ แนะนำซื้อตั๋ว Fukuoka Tourist City Pass ซึ่งสามารถใช้ขึ้นได้ทั้ง
  • รถไฟใต้ดิน (ทุกสาย) JR Kyushu (ระหว่างสถานี Takeshita กับ Uminonakamichi) Nishitetsu Train (ระหว่างสถานี Fukuoka (Tenjin) กับ Dazaifu *เฉพาะบัตรประเภท 1,340 เยน) Nishitetsu Bus Showa Bus แบบไม่จำกัดเที่ยวใน 1 วัน (ภายในระยะทางที่กำหนด) โดยบัตรนี้ มีอยู่ 2 ราคาด้วยกัน ได้แก่
  • ผู้ใหญ่ 820 เยน เด็ก 410 เยน ใช้สำหรับเดินทางภายในตัวเมืองเท่านั้น
  • ผู้ใหญ่ 1,340 เยน เด็ก 670 เยน ใช้สำหรับเดินทางในตัวเมือง และสามารถใช้เดินทางไปยังย่านดาไซฟุได้ด้วย นอกจากใช้ในการเดินทางแล้ว ยังสามารถใช้เป็นส่วนลดได้ในหลายๆ ที่อีกด้วย


Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0