Cinque Terre…The colorful destination – 5 หมู่บ้านริมทะเลหลากสีสันบนผางามแห่งอิตาลี

เรื่องและภาพโดย เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง

ถึงแม้ฉันจะเคยเดินทางมาอิตาลีหลายครั้งแล้วแต่ก็รู้สึกว่ายังทำความรู้จักดินแดนรองเท้าบูทไม่ทั่วสักที อาจเป็นเพราะอิตาลีมีเมืองสวยซ่อนอยู่มากมาย และยิ่งทำความรู้จักกันมากเท่าไร ก็พบว่าอิตาลียิ่งน่าค้นหามากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีโอกาสกลับมาเยือนอิตาลีอีกครั้ง ฉันจึงไม่พลาดหมู่บ้านริมทะเลทั้ง 5 ที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า “ซิงกเว แตร์เร (Cinque Terre)” การเดินทางสู่อิตาลีในครั้งนี้ต่างจากที่ผ่านๆ มาเพราะจะเป็นการเดินทางไปพักผ่อนในหมู่บ้านเล็กๆ แทนการไปชมเมืองใหญ่ชื่อดัง

ซิงกเว แตร์เร (Cinque Terre) ในภาษาอิตาลีแปลว่า แผ่นดินทั้ง 5 (The five lands) จึงนำมาใช้เรียกหมู่บ้านเล็กๆ 5 หมู่บ้านชายฝั่งริมทะเลที่เรียงตัวยาวต่อกันและมีทางเดินเชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านทั้ง 5 อันประกอบด้วย หมู่บ้านมอนเตอรอสโซ (Monterosso) หมู่บ้านแวร์นาซซา (Vernazza) หมู่บ้านคอร์นีเกลีย (Corniglia) หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola) และหมู่บ้านรีโอมัจจอเร (Riomaggiore) ที่นี่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก (UNESCO World Heritage) เพราะชายหาด ทะเลภูเขา ในดินแดนแถบนี้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ของประเทศอิตาลีนั่นเอง

ฉันเดินทางมาจากเมืองปิซ่า (Pisa) นั่งรถไฟมาลงที่สถานีหลักของเมืองลาสเปเซีย (La Spezia) ซึ่งนับเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางมาเพื่อขึ้นรถไฟท้องถิ่นไปยังหมู่บ้านทั้ง 5 โดยเราสามารถเลือกซื้อตั๋วรถไฟต่อเที่ยว ในราคาเที่ยวละประมาณ 2 ยูโรหรือสำหรับคนที่ต้องการเที่ยวชมให้ครบทุกหมู่บ้าน การซื้อตั๋ว Cinque Terre Card สำหรับ 1 วันในราคาราคา 7.50 ยูโร หรือสำหรับ 2 วัน 14.50 ยูโร ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและสะดวก เพราะสามารถใช้ในการเดินทางขึ้นลงรถไฟได้ไม่จำกัดจำนวนหลังจากได้ Cinque Terre Card มาครอบครอง ฉันมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านรีโอมัจจอเร ซึ่งเป็นหมู่บ้านแรกหากเดินทางมาจากทางใต้หรือจากเมืองลาสเปเซีย เพียงไม่กี่นาทีรถไฟก็จอดส่งผู้โดยสาร ณ สถานีที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา หลังจากเก็บของเข้าที่พักก็ได้เวลาออกไปตะลอนทัวร์ซิงกเว แตร์เร

ฉันเลือกที่จะนั่งเรือกินลมชมวิวจากหมู่บ้านทางใต้สุดหมู่บ้านรีโอมัจจอเร นั่งยาวไปจนถึงเหนือสุดที่หมู่บ้านมอนเตอรอสโซซึ่งการนั่งเรือเราจะได้เห็นหมู่บ้านทั้ง 5 ที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมหน้าผาในมุมกว้างไกลๆ จากในทะเล แล้วค่อยไปเดินชมแต่ละเมืองแบบใกล้ๆ กันอีกที เรือเฟอร์รีบรรทุกนักท่องเที่ยวเต็มลำ ค่อยๆ ลอยล่องไปในทะเลสีสวยจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังหมู่บ้านหนึ่ง บรรยากาศล่องเรือเป็นไปด้วยความผ่อนคลายจากลมเย็นๆและวิวหมู่บ้านริมผาแสนสวยหลากสีสันใช้เวลาประมาณ 50 นาทีเรือก็จอดเทียบที่ท่าเรือหมู่บ้านมอนเตอรอสโซ

มอนเตอรอสโซเป็นหมู่บ้านที่อยู่ตอนบนสุดในบรรดา 5 หมู่บ้านของซิงกเว แตร์เร มีขนาดใหญ่สุดและมีโรงแรมที่พักร้านอาหารให้เลือกมากที่สุดสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย หมู่บ้านนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุดที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านเดียวที่มีชายหาด แม้หาดทรายจะไม่ขาวเนียนละเอียดแบบหาดทรายแก้วบ้านเรา แต่น้ำทะเลที่นี่ก็มีสีเข้มสวย วันที่แดดจ้าฟ้าใสนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยลงไปเล่นน้ำ บ้างก็นอนอาบแดดพักผ่อนอยู่บนหาดฉันเดินลงไปเอาเท้าจุ่มน้ำทดสอบความเย็นได้เพียงแป๊บเดียว ก็ถอยกลับลงมานั่งกินไอศกรีมเจลาโต้ริมชายหาดแทนแล้วก็ถึงเวลาหยิบ Cinque Terre Card ออกมาใช้ขึ้นรถไฟท้องถิ่นจากไปยังหมู่บ้านแวร์นาซซาที่อยู่ถัดไป ใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็มาถึงหมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าสวยและมีชื่อเสียงที่สุดในบรรดา 5 หมู่บ้าน แม้แต่ชาวอิตาลีเองก็บอกว่าหมู่บ้านนี้มีเสน่ห์ที่สุด เพราะมีทั้งโบสถ์ หอคอย ป้อมปราการ เรือประมง และบ้านเรือนสีฉูดฉาดที่แปลงเป็นร้านอาหาร คาเฟ่และร้านขายของที่ระลึกสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว แม้ยังไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวแต่ที่นี่ก็แน่นขนัดไปด้วยนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกเมื่อมองหาร้านอาหารให้นั่งพักเติมพลังมื้อเที่ยงไม่ได้

ฉันก็ถอยมานั่งพักริมอ่าวมองบรรยากาศคึกคักของหมู่บ้านแสนสวยสักพักใหญ่ก่อนจะหลบความวุ่นวายเดินทางไปยังหมู่บ้านต่อไปนั่งรถไฟต่อไปยังหมู่บ้านคอร์นีเกลีย ฉันเงยหน้าขึ้นมองบันได 375 ขั้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ตอนนั้นทั้งร้อนทั้งเหนื่อยทั้งหิว แต่ยิ่งสูงขึ้นไปวิวทะเลจากริมหน้าผาก็ยิ่งสวยตามไปด้วย เมื่อเดินขึ้นมาถึงหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเขา สิ่งแรกที่ฉันมองหาคือร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ถึงแม้จะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่เป็นโชคดีที่ร้านอาหารริมผายังคงเปิดประตูต้อนรับนักเดินทางผู้หิวโซ ฉันสั่งเมนูรวมมิตรอาหารทะเลทอดซึ่งเป็นเมนูเด็ดของที่นี่ อาหารอร่อย บรรยากาศดี วิวสวย นับเป็นรางวัลที่คุ้มค่ากับการไต่บันไดขึ้นมาบนนี้จริงๆ หลังจากอิ่มท้อง ฉันก็เดินไปยลหมู่บ้านสีลูกกวาดใกล้ๆ ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กนักท่องเที่ยวบางตาแต่บรรยากาศน่ารัก ฉันชอบเดินไปตามตรอกซอกซอยที่มีร้านขายของที่ระลึกแนวอินดี้เน้นสินค้าแฮนด์เมดและคาเฟ่เล็กๆ ที่ตกแต่งน่ารักๆ เยอะแยะไปหมด ที่นี่มีร้านขายผลิตภัณฑ์จากเลม่อนและองุ่นมากมายหลายรูปแบบ ทั้งเลม่อนสดๆ ลูกโต น้ำเลม่อน สบู่เลม่อน ไวน์องุ่น เพราะเลม่อนและองุ่นเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงของชาวซิงกเว แตร์เร

สุดทางของหมู่บ้านคือจุดชมวิวที่มองเห็นเวิ้งอ่าวและผืนทะเลกว้างที่ทอดตัวอยู่อย่างสงบนิ่ง อาจเป็นเพราะต้องปีนป่ายขึ้นบันไดและหากมองจากมุมไกลหม่บู ้านคอร์นีเกลียอาจจะสวยส้หู ม่บู ้านอื่นๆ ไม่ได้ จนหลายคนอาจจะเผลอมองข้ามไป แอบเสียดายแทนสำหรับคนที่เมินหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ เพราะถ้าหากได้เขยิบเข้าไปสัมผัสคอร์นีเกลียใกล้ๆ เชื่อว่าที่นี่จะกลายเป็นหมู่บ้านงามในสายตาเหมือนที่ฉันรู้สึกถูกชะตาและตกหลุมรักหมู่บ้านนี้เป็นพิเศษ

นั่งรถไฟต่อมายังหมู่บ้านมานาโรลา สภาพภูมิประเทศที่เป็นไหล่เขาริมทะเลและตึกรามบ้านช่องแบบโบราณหลากสีสันริมฝั่งไม่แตกต่างจากหมู่บ้านอื่นๆ แต่หากลองออกกำลังขากันสักนิด เดินขึ้นไปยังเส้นทางเทรคกิ้งซึ่งมีจุดชมวิวริมผาขนาบไปกับไร่องุ่นแสนสวย หลังจากกดชัตเตอร์ถ่ายภาพหมู่บ้านงามสีสวยจนอิ่มใจ ฉันหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ ผ่อนใจสบายๆ ชมวิวริมทะเล น้ำทะเลกระทบกับแสงแดดวิบวับงดงามจริงๆ การเดินเท้าเลาะไปตามเส้นทางเดินสายสีฟ้าหรือ Blue Trail เป็นที่นิยมมากสำหรับนักเดินทางชาวตะวันตก ระยะทางทั้งหมดประมาณ 12 กิโลเมตร เชื่อมหมู่บ้านทั้ง 5 แห่ง ฉันเคยตั้งใจว่าจะมาเทรคกิ้งที่นี่ให้ได้สักครั้งหนึ่ง แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด ฉันจึงต้องปรับเปลี่ยนการเดินทางให้มีความหลากหลายขึ้น ทั้งนั่งเรือ นั่งรถไฟ เดินชมเมืองและเดินเทรคกิ้งแค่เพียงช่วงสั้นๆ ในบริเวณใกล้หมู่บ้านมานาโรลาเท่านั้น

สิ่งที่พลาดในการมาเยือนซิงกเว แตร์เรครั้งนี้ก็คือ การไม่มีโอกาสได้ยล “Dell’ amore” หรือที่เรียกกันว่า “ทางเเดินแห่งรัก” ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเท้าเชื่อมระหว่างหมู่บ้านมานาโรลาและรีโอมัจจอเร ว่ากันว่าเส้นทางนี้สวยและโรแมนติกมากในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน แต่เส้นทางช่วงนี้ยังคงปิดปรับปรุงอยู่ตั้งแต่อุทกภัยโคลนถล่มครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 2011 กลับมาถึงหมู่บ้านรีโอมัจจอเร ฉันหย่อนตัวลงที่บาร์ริมหน้าผาใกล้ๆบริเวณท่าเรือเพื่อเฝ้าชมพระอาทิตย์ตกริมผา คำนั้นกว่าฉันจะถอนสมอออกมาจากบาร์ริมหน้าผาที่บรรยากาศสุดแสนโรแมนติก ดวงจันทร์โผล่มาท่ามกลางดวงดาวเต็มท้องฟ้าแทนที่ดวงตะวัน แต่ภารกิจของฉันยังไม่สิ้นสุด เดินเข้าไปยังเขตเมืองเก่าที่มีร้านอาหารมากมายให้เลือกเพื่อตามหาร้านปลาหมึกทอดแสนอร่อย อาหารทะเลที่นี่อร่อยใช้ได้เลยตอนเช้าก่อนเดินทางกลับ ฉันออกมาเดนิ เออ้ ระเหยชมวิวริมหน้าผา

ใกล้ๆ ท่าเรือของหมู่บ้านรีโอมัจจอเรอีกครั้ง รู้สึกโชคดีที่เลือกมาพักผ่อนที่หมู่บ้านนี้ เพราะมีทั้งมุมคึกคักและมุมสงบแสนสวย แม้จะรู้จักกันเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ฉันรู้สึกผูกพันแนบแน่นกับหมู่บ้านนี้พิกลสำหรับใครที่โปรดปรานหมู่บ้านสีลูกกวาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเดินทางมาเยือนซิงกเว แตร์เรจะทำให้หลงรักอิตาลีมากขึ้น ดินแดนที่งดงามด้วยธรรมชาติและสถาปัตยกรรม ทุกอย่างผสมผสานกันจนที่นี่กลายเป็นมนตร์เสน่ห์ที่น่าหลงใหล ระวังจะถอนตัวถอนใจไม่ขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม
– ระยะเวลาเดินทางโดยรถไฟจากเมืองปิซ่า ประมาณ 1.5 ชั่วโมง จากเมืองฟลอเรนซ์ประมาณ 3 ชั่วโมง และจากเมืองมิลานประมาณ 3.5 ชั่วโมงโดยสามารถตรวจสอบเส้นทางการเดินทางโดยรถไฟในประเทศอิตาลีได้จาก www.trenitalia.com ข้อมูลการเดินทางโดยรถไฟ ตารางเดินเรือ และข้อมูลท่องเที่ยวโดยทั่วไป www.cinqueterre.com
– ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินทางมาเยือนซิงกเว แตร์เรคือ เดือนเมษายน พฤษภาคม หรือเดือนกันยายน – ตุลาคม หลีกเลี่ยงช่วงฤดูร้อนตั้งแต่มิถุนายน – สิงหาคม เพราะอากาศร้อนมากและหาที่พักค่อนข้างยากเมืองสวยหลากสีสันริมหน้าผาบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ควรพลาด ได้แก่เมืองลาสเปเซีย (La Spezia) และเมืองปอร์โตเวเนเร (Porto Venere)

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0