สนุกสุขสันต์ ที่จันทบุรี

เรื่องและรูปโดยทีมงาน Vacatonist

จันทบุรี เป็นจังหวัดทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย จันทบุรี หรือเมืองจันท์ขึ้นชื่อเรื่องของความสมบูรณ์ทางธรรมชาติทั้งน้ำตก ท้องทะเล และเป็นเมืองที่มีผลิตภัณฑ์ทั้งผลไม้ชั้นดี พริกไทย อัญมณีและสินค้าอย่างเสื่อจันทบูรที่มีคุณภาพเยี่ยมอีกด้วย เหมือนคำขวัญประจำจังหวัดจันทบุรี ที่ว่า “น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้ พริกไทยพันธุ์ดี อัญมณีมากเหลือ เสื่อจันทบูร สมบูรณ์ธรรมชาติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวมญาติกู้ชาติที่จันทบุรี”

นอกจากนี้ ด้วยระยะทางจากกรุงเทพฯ เพียง 3 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ เราสามารถออกเดินทางจากกรุงเทพฯ สายนิดๆ ไปถึงตอนใกล้เที่ยงและท่องเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ได้อย่างสะดวก สถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่น มีหลากหลายรูปแบบ สามารถเลือกตามที่ชื่นชอบได้เลย

วัดและประวัติศาสตร์

ภาพโบสถ์เซรามิกสีน้ำเงินและขาวตัดกับท้องฟ้าที่เป็นสีครามสวยเป็นภาพที่สวยงามต้อนรับนักเดินทางของ วัดปากน้ำแขมหนู อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ที่มาของโบสถ์สีน้ำเงินนี้ เกิดจากการร่วมมือกันของทางวัดและชาวบ้านที่ต้องการบูรณะพระอุโบสถหลังเก่าของวัด เริ่มชำรุดทรุดโทรมมากขึ้น โดยรื้อโบสถ์หลังเก่า และก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้น และเพื่อป้องกันไม่ให้โบสถ์หลังใหม่เกิดความชำรุดเสื่อมโทรมเร็ว

เนื่องจากพื้นที่ติดกับน้ำเค็ม ประกอบกับไนวัดแห่งหนึ่งมีการนำกระเบื้องเซรามิกมาประดับ นอกจากจะเกิดความสวยงาม เงามัน และยังคงทนแข็งแรง จึงนำแนวคิดนี้มาใช้ มีการนำ เซรามิกมาเคลือบชั้นปูน

นอกจากนี้ ยังได้ประสานโรงงานรับเหมาให้ผสมสี ลงในชิ้นงานที่จะนำมาปิดเคลือบผนังปูน ตลอดจนชิ้นส่วนลวดลายต่างๆ ที่จะนำมาประดับตกแต่งโบสถ์ทั้งหลัง เพื่อลดเวลาการก่อสร้าง และไม่ต้องทาสีซ้ำบ่อยๆ แถมลดการเสื่อมสภาพจืดจางของตัวสีได้อีกด้วย จนเกิดเป็นความสวยงามที่คงทน และเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว

โดยเฉพาะมุมด้านหน้าของโบสถ์ที่มีบันไดพญานาค 5 เศียร มีลำตัวทอดยาวไปจนสุดทางบันได และสำหรับผู้ที่มีจิตศรัทธาสามารถเข้าไปสักการะพระพุทธชินราชองค์จำลองที่ประดิษฐานอยู่ภายในโบสถ์ได้

จากวัดปากน้ำแขมหนู ขับรถต่อไปอีกไม่ถึง 20 นาทีก็จะถึง หาดแหลมสิงห์ ตั้งอยู่ที่อำเภอแหลมสิงห์ ห่างจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร ชื่อของแหลมสิงห์มาจากแหลมสิงห์มีหินที่มีรูปร่างเหมือนสิงห์หมอบยื่นไปในทะเลนั่นเอง แหลมสิงห์อยู่บริเวณปากน้ำแหลมสิงห์ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำจันทบุรีไหลออกอ่าวไทย ทำให้ชายหาดเป็นสีน้ำตาลอมแดง ปนดินเลน

ริมชายหาดเป็นทิวต้นสนเรียงรายตลอดแนวชายหาด และมีร้านค้า ร้านอาหารที่มีเก้าอี้ชายหาดให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนรับลมทะเลและเล่นน้ำในวันหยุดพักผ่อน  มองออกไปจะเห็นเกาะจุฬาและเขาแหลมสิงห์ หรือหากใครอยากเที่ยวเกาะ ที่นี่ก็เป็นจุดขึ้นเรือไปเที่ยวเกาะจุฬาและเกาะนมสาวได้ด้วย ราคาประมาณ 1,500 บาท

พื้นที่บริเวณนี้นอกจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้วยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ในสมัย ร.ศ.112 สมัยที่ฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองจันทบุรี ได้นำเรือรบมาปิดอ่าวจันทบุรีที่บริเวณนี้ และได้สร้างตึกแดงใกล้กับหาดแหลมสิงห์เป็นที่บัญชาการรบ สร้างคุกขี้ไก่ไว้ขังคนไทยที่ไม่ยอมอยู่ใต้ฝรั่งเศส

ตึกแดงและคุกขี้ไก่ แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของจังหวัดจันทบุรี ในยุคที่คนไทยที่เมืองจันทบุรีอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสถึง 11 ปี (พ.ศ. 2436 – 2446) ตึกแดงเป็นอาคารชั้นเดียวสร้างด้วยอิฐถือปูน เดิมทาสีแดง จึงเรียกว่า “ตึกแดง”

ภายในแบ่งออกเป็น 5 ห้องมีประตูเปิดถึงกันหมด มีระเบียงทั้งสองข้างตามแนวยาว ในปี พ.ศ. 2436 หรือ ร.ศ. 112  เมื่อฝรั่งเศสได้เข้ายึดจันทบุรี ในกรณีพิพาทกันด้วยเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง

ตึกแดงแห่งนี้คือ อาคารที่ทางฝรั่งเศสสร้างเพื่อกองรักษาการณ์ และที่พักของทหารที่ รักษาปากน้ำแหลมสิงห์ ฝรั่งเศสใช้งานดึกแดงเป็นที่บัญชาการ จนถึงปี พ.ศ. 2447 เมื่อมีการตกลงเรียกร้องดินแดนที่เคยเป็นเมืองขึ้นของไทย และเงินค่าเสียหายเรียบร้อย

ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 ได้มีการปรับปรุงตึกแดงให้เป็นอาคารห้องสมุดและศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนของ อ.แหลมสิงห์ ต่อมาได้ถูกยกเลิกและทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจนปัจจุบัน

ส่วนคุกขี้ไก่ ซึ่งใช้เพื่อกักขังคนไทยที่ในสมัยนั้นต่อต้านฝรั่งเศส คุกขี้ไก่มีลักษณะเป็นป้อมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสลบเหลี่ยม ก่อด้วยอิฐ กว้าง 4 ม. สูง 10 ม. หลังคาเดิมเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องทรงพีระมิด มีประตูทางเข้าออกหนึ่งช่อง ด้านบนเป็นช่องระบายลม

ในอดีตชั้นบนจะใช้เลี้ยงไก่ ซึ่งจะถ่ายมูลลงมาใส่ศีรษะนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ชั้นที่ถัดจากที่เลี้ยงไก่ และนักโทษที่มีโทษเบาหน่อยจะอยู่ชั้นถัดลงมาก็จะมีโอกาสโดนมูลได้น้อยกว่า

เป็นคุกที่ไม่ได้เพียงแต่สร้างความทรมาณที่เกิดจากการแออัดในพื้นที่แคบเท่านั้น แต่ยังสร้างความเจ็บปวดทางด้านจิตใจให้กับผู้ถูกคุมขังอีกด้วย ปัจจุบันที่นี่ชำรุดทรุดโทรมไปมากแล้ว

ท่องเที่ยวชุมชน

เช้าวันต่อมาเราเดินทางไปยังชุมชนขนมแปลก ริมคลองหนองบัว ซึ่งไม่ไกลจากที่พักบริเวณแหลมสิงห์มากนักใช้เวลาประมาณ 20 นาที ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง ถ้าจากตัวเมืองจันทบุรีมาประมาณ 10 กิโลเมตรเท่านั้น

ที่นี่เป็นชุมชนริมน้ำหนึ่งเดียวในพื้นที่มีอายุกว่า 100 ปี และยังคงเอกลักษณ์การดำเนินวิถีชีวิตชุมชนริมคลองมาได้เป็นอย่างดี  นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวที่นี่จะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชุมชน บ้านเรือนไม้อาคารเก่าแก่ประดับด้วยลวดลายฉลุสวยงาม

ที่สำคัญในทุกวันเสาร์-อาทิตย์ บริเวณที่จัดตลาด “ขนมแปลกชุมชนบ้านหนองบัว” ซึ่งใช้พื้นที่ตลาดชุมชนเดิมที่มีถนน 4 สาย ตัดมาเชื่อมกันเป็นศูนย์กลางบริเวณสี่แยก สองฟากถนนที่เป็นพื้นที่ขายของระยะทางรวมประมาณ 800-1,000 เมตร

ส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นขนมไทยพื้นบ้านโบราณที่กินได้ยาก น่าจะเกือบ 100 ชนิด เช่น ตะไล น้ำอ้อยเจ๊เยา ตังก๊วย สาวน้อยร้อยงา ข้าวเหนียวเหลือง ข้าวเหนียวหัวหงอก ขนมล่าเตียง ขนมควยลิง ขนมต้ม กล้วยน้ำแตก ขนมติดคอ และอื่นๆ อีกมากมาย

หรืออาหารพื้นบ้าน แกงเป็ดกะลา แกงหมูป่ากะลา แกงหมูชะมวง ห่อหมกย่าง ก๋วยเตี๋ยวผัดปู เป็นต้น

ส่วนจุดท่องเที่ยวห้ามพลาดของชุมชนหนองบัว ได้แก่ ท่าเรือ, บ้านไม้กวาด, โรงเจ, บ้านเลขที่ 38, โรงเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเอกลักษณ์ม้าหินบ้านหนองบัว เป็นต้น

ขับรถต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีเข้าเมืองจากชุมชนชุมชนขนมแปลก ริมคลองหนองบัว ไปอีกหนึ่งชุมชนริมน้ำขึ้นชื่อของจันทบุรี นั่นก็คือชุมชนริมน้ำจันทบูร ชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำจันทบุรี

ปกติคนมักจะจะไปจอดรถกันที่ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลจันทบุรี หรือเรียกสั้นๆ ว่า โบสถ์คริสต์เมืองจันทร์ ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงเรียนสตรีมารดาพิทักษ์

เป็นอาสนวิหารประจำมิสซังโรมันคาทอลิกจันทบุรี วิหารปัจจุบันนี้เป็นหลังที่ 5 จำลองแบบมาจากโบสถ์นอตเตอร์ดัมในประเทศฝรั่งเศส นับเป็นหนึ่งในวิหารที่มีสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีจุดเด่นที่เด่นชัดคือยอดแหลมบนหอระฆัง 2 หลัง ศิลปะแบบโกธิค

ภายในวิหารมีการตกแต่งเพดานเป็นท้องเรือไม้โนอาห์ ช่องบานกระจกแบบกอทิก และกระจกงานกระจกสี นอกจากนี้ภายในยังมีแม่พระมารีอาที่และพระเยซูตั้งให้ชมกันคนละฝั่ง รูปแม่พระตกแต่งด้วยพลอยกว่า 200,000 เม็ด หรือกว่า 2 หมื่นกะรัต และฐานซึ่งหล่อขึ้นด้วยเงินบริสุทธิ์ ประดับองค์ด้วยทองคำและพลอยชนิดต่างๆ

วิหารแห่งนี้ได้รับรางวัลอนุรักษ์อาคารดีเด่น ประจำปี 2542 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์อีกด้วย ที่นี่เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-17.00 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

จากนั้นเมื่อเราเดินข้ามสะพานนิรมลไปก็จะไปถึงชุมชนเก่าชุมชนริมน้ำจันทบูร จากบนสะพานเราสามารถมองเห็นบ้านเก่าตั้งเรียงรายไปตามริมน้ำจันทบูร เป็นชุมชน เก่าแก่ของชาวจีนและญวนอพยพตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ต่อมาได้พัฒนามาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของ จันทบุรีที่สำคัญแห่งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 บนถนนเก่าเป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุด เป้นสถานที่ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ วิถีชุมชน ศิลปวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ยาวนานมากว่า 100 ปีผ่านอาคารและผู้คนที่อาศัยอยู่

และเนื่องจากคนในชุมชนมีทั้งคนจีน คนไทย คนญวน ที่บถือศาสนาพุทธ และคริสต์ ผู้คนในถนนเส้นเศรษฐกิจนี้ จึงมีความหลากหลาย ทั้งพ่อค้า คหบดี และบ้านเรือนผู้คนที่มาตั้งรกราก ทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมแบบผสมผสาน จากตะวันตก ไทย จีน และชาวญวน รวมถึงการสร้างบ้านเรือน และศิลปะทางสถาปัตยกรรม ก็ได้รับการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนลงตัว

แม้ว่าปัจจุบันยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปมากซักเพียงใด แต่ร่องรอยในอดีตของชุมชนเก่าแห่งนี้ก็ยังไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่หากใครที่มาเยือนจังหวัดจันทบุรีแล้วไม่ควรพลาด ที่นี่คุณสามารถหาซื้อของกินของฝาก ตลอดจนเพลิดเพลินไปกับการชมอาคาร สถานที่

รวมไปถึงถ่ายรูปกับจุดท่องเที่ยวที่มีหลากหลายได้อย่างสนุกสนาน หรือนั่งจิบกาแฟชมวิวและผู้คนที่ผ่านไปมา เป็นการจบท้ายทริปในวันหยุดได้เป็นอย่างดี

กิจกรรมห้ามพลาด
หนึ่งกิจกรรมสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวและเรียนรู้ระบบนิเวศเชิงธรรมชาติ ป่าชายเลน ลุ่มแม่น้ำเวฬุ คือ กิจกรรมการล่องเรือชมเหยี่ยว โดยเหยี่ยวแดง ที่เราจะได้เห็นกันนั้น เป็นเหยี่ยวขนาดกลาง ที่อาศัยอยู่ตามปากอ่าวริมทะเล เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง มีลักษณะเฉพาะ คือ ทั้งตัวจะมีสีน้ำตาลแดง แต่ยกเว้นที่หัวและอกที่จะมีสีขาว ปลายปีกสีดำ ขาสีเหลือง ซึ่งสามารถมาเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี เดือนไหนก็ได้

ส่วนเวลาที่เหมาะกับการมาดูเหยี่ยวแดงมากที่สุดก็คือช่วง 15.00 น. ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที นอกจากคนจะนิยมมาชมฝูงเหยี่ยวแดงแล้ว ยังสามารถเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน และดูหิ่งห้อยในยามค่ำได้อีกด้วย สำหรับค่าบริการเหมาเรือ 1,000 บาท, จักรยานให้เช่า 20 บาท, เต็นท์หลังละ 300 บาท และลานกางเต็นท์ 50 บาทต่อหลัง

ส่วนการเดินทางมายังที่นี่ต้องลงเรือไปยังหมู่บ้านเลนตัก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ระหว่างทางขณะนั่งเรือก่อนจะได้ตื่นตาตื่นใจกับนกเหยี่ยวแดง ทุกคนจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ของป่าชายเลน สัตว์น้ำ และวิถีชีวิตของชาวประมงท้องถิ่น

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0