RIO DE JANEIRO รีโอ เด จาเนโร
Story & Photo by Kanjana Hongtong
นอกจากบาร์เซโลนาที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเซ็กซี่แล้วอีกเมืองหนึ่งของโลกที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเซ็กซี่ไม่แพ้กันคือรีโอ เด จาเนโรแห่งบราซิล ต้องยอมรับว่า ถึงแม้ไม่ใช่เมืองหลวงของบราซิล แต่รีโอ เด จาเนโร เนื้อหอมเกินหน้าเมืองไหนๆ ในบราซิล เรียกว่าทั้งเซ็กซี่ ทั้งเย้ายวน เสน่ห์ล้นเมือง
มาถึงที่นี่ไม่มีนักเดินทางคนไหนไม่ไปรายงานตัวต่อหน้ารูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่ยอดเขาคอร์โควาโดอย่างแน่นอน บนระดับความสูง 2,300 ฟุต สัญลักษณ์ของรีโอฯ ที่ทุกคนมองตาไม่กะพริบ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาด้วยความสูงถึง 38 เมตร
เมื่ออยู่บนนี้ รีโอฯ บรรจงเสิร์ฟทุกคนด้วยวิวที่สวยสดใต้เงาสูงของรูปปั้นพระเยซูคริสต์คลาคล่ำไปด้วยนักเดินทางจากทั่วมุมโลก อายุอานามของรูปปั้นพระเยซูคริสต์จะยังไม่เยอะมาก เพราะสร้างเมื่อปี 1916 ใช้เวลาสร้างประมาณ 5 ปีก็เปิดให้คนขึ้นไปแหงนคอมองเมื่อปี 1921
แต่ตอนนี้เหมือนเป็นของคู่บ้านคู่เมือง ที่กลายเป็นของไม่ธรรมดาซะแล้ว เมื่อถูกโหวตให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้รัฐบาลบราซิลที่มองการณ์ไกลว่าถ้าที่นี่ได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์แล้ว รายได้จากการท่องเที่ยวคงไหลมาเทมาไม่หยุด เลยเปิดให้ชาวบราซิลโหวตโดยไม่เสียสตางค์ ชาวแซมบ้าเลยร่วมแรงร่วมใจกันระดมคลิกโหวตและส่งเอสเอ็มเอสกันเต็มเหนี่ยวจนที่นี่ได้สายสะพายหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกถัดจากรูปปั้นพระเยซู
สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ควรไปสำรวจคือยอดเขาชูการ์ลอฟ สัญลักษณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของรีโอฯ บนความสูง1,400 เมตรของชูการ์ลอฟ ตับไตไส้พุงของรีโอฯ ขดไหนเป็นขดไหนมาดูได้จากบนนี้ สูงจนมองเห็นรีโอฯ ได้ทั้งเมือง
แม้กระทั่งภูเขาคอร์โควาโดอันเป็นที่ตั้งของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ ก็ยังไม่หลุดเฟรมฉากที่เจ้าแห่งวันกำลังร่วงลงใส่รีโอ เด จาเนโร ช่างโรแมนติกบาดใจ ไพรม์ไทม์ของชูการ์ลอฟจึงอยู่ระหว่าง 5 โมงเย็นไปจนถึงหลังพระอาทิตย์ตก
ช่วงนี้บนจุดชมวิวแทบไม่มีที่ว่าง ใครๆ ก็ขึ้นมาหาอาหารตาและอาหารใจกันบนนี้ ที่นี่จึงเป็นมุมเหมาะสำหรับคนที่เพิ่งกิ๊กกัน คู่ที่มาฮันนีมูน ส่วนพวกมาเดี่ยวก็หน้าเหี่ยวสบตากับพระอาทิตย์ไปพลางๆ ขอย้ำว่าให้อยู่ถึงหลังพระอาทิตย์ร่วงใส่รีโอฯ เพราะยามที่เจ้าแห่งวันหยุดทำงาน แสงระยิบจากนีออนในบ้านเรือนของรีโอฯ ทั้งเมือง จะปลุกให้เมืองนี้ยิ่งงดงามจับใจเพื่อให้การเดินทางในรีโอ เด จาเนโรสมบูรณ์แบบที่สุด
ลองหาที่พักแถวชายหาดโคปาคาบานาอันโด่งดัง เพราะนี่คือหนึ่งในชายหาดระดับโลกที่คนรักชายหาดควรพาตัวเองมายำทรายที่นี่ กฎข้อแรกของการทำความรู้จักกับโคปาคาบานาคือ ถ้าอยากจะไปนอนเกลือกกลิ้งให้เม็ดทรายบนชายหาดระดับโลกแห่งนี้ลวนลาม ของมีค่าทุกชิ้นโปรดเก็บมันไว้ที่เรือนพัก
กฎข้อถัดมา ชุดว่ายน้ำเท่านั้น ที่ชายหาดโคปาคาบานายอมเปิดไฟเขียวให้เดินผ่าน ถ้าเป็นชุดอื่นถือว่าผิดระเบียบอย่างร้ายแรง ไม่ว่าหุ่นคุณจะย้วยยานหรือเย้ายวนแค่ไหน ก็ต้องถอยทูพีซออกมาใส่ ขืนฝ่ากฎ คุณจะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวในนครรีโอ เด จาเนโรขึ้นมาทันที
บนหาดทรายผืนกว้างของโคปาคาบานา ชวนให้รู้สึกว่านี่คือหาดไซซ์เอกซ์แอล กว้างขนาดเอาชายหาดที่หัวหิน และบางแสนมารวมกันยังไม่เท่าความกว้างของหาดโคปาคาบานาเลย
เรื่องความยาวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยาวขนาดเดินแล้วส้นเท้าสึกได้ ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรูหรืออยู่รูหนูในฟาเวลา คนผิวสีกาแฟต่างมาเอนหลังผึ่งแดดบนชายหาดแห่งนี้กันทั้งนั้น
ถ้าเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ของชาวรีโอฯ ไล่ไปตั้งแต่เก้าโมงเช้าพวกเขาก็จะใส่ชุดทูพีซหอบอุปกรณ์ปิกนิกและเครื่องกันแดด เดินจากบ้านมานอนเอกเขนกกันตามชายหาด ตั้งวงเล่นวอลเลย์บอลชายหาดบ้าง เล่นฟุตบอลไปจนถึงกีฬาทางน้ำที่เล่นกันได้ทั้งวี่ทั้งวัน
ถ้าเป็นวันธรรมดา ความคึกคักอาจจะลดลง ผู้คนอาจจะบางตากว่า แต่โคปาคาบานาก็ไม่เคยขาดแคลนแขกเหรื่อ บางทีตอนพักกลางวันคนทำงานบริษัทห้างร้านก็แวะมานอนอาบแดดเล่นน้ำกันจนชุ่มปอดแล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ แบบนี้ก็มีเยอะ
ถ้าเป็นวันหยุดแถวโคปาคาบานาจะปิดถนนเลนหนึ่งเหลือเป็นวันเวย์ ให้เป็นถนนคนเดิน ผู้คนก็จะแห่แหนออกมาเดินกันให้ว่อนไปหมด หนุ่มสาวออกมาจ๊อกกิ้ง หลายคนออกมาปั่นจักรยาน บางคนก็ใส่สเก็ตบอร์ดไถลไปตามถนนทั้งหมดที่ว่ามา ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมแขนงไหน ก็ล้วนแต่อยู่ในชุดทูพีซ หรือไม่ถ้าเป็นฝ่ายชาย ใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวก็เซิ้งไปทั่วเมืองได้แล้ว
ขลุกอยู่กับโคปาคาบานาสักพัก จะพบว่านอกจากชายหาดจะงามแล้ว อีกอย่างที่งามไม่แพ้กัน คือหญิงสาวที่เกลือกกลิ้งอยู่บนหาดทราย ทรวดทรงองค์เอวที่ได้รูปส่วนเว้าส่วนโค้งที่เหมาะเจาะ หน้าตาที่แสนเย้ายวนเมื่อถูกฉาบไว้ด้วยสีกาแฟบนเรือนกาย ผมหยักศกยาวพลิ้วสยายยามต้องลม สิริรวมแล้วไม่อยากใช้คำว่าสวยแต่องค์ประกอบที่ว่ามาปั้นแต่งให้สาวแซมบ้าเซ็กซี่ไปทุกอณูต่างหาก
นอกจากชายหาดโคปาคาบานาแล้ว รีโอฯ ยังมีอีกหาดที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน นั่นคืออิปาเนมา ที่ว่ากันว่าเป็นหาดที่ดีกว่าโคปาคาบานา เพราะสงบและปลอดภัยกว่า อิปาเนมาอยู่ทางตอนใต้ของรีโอฯ อยู่ใกล้กับเขตเลบลอน และอาร์พาวดอร์ คนที่มานั่งๆ นอนๆ เลื้อยอยู่แถวอิปาเนมา ค่อนข้างมีฐานะกว่าโคปาคาบานา นักท่องเที่ยวก็มาปักหลักผึ่งแดดหนาตากว่า
เรื่องความคึกคักก็ไม่แพ้โคปาคาบานาหลายคนรู้จักชายหาดแห่งนี้จากเพลง “The Girl From Ipanema” บทเพลงอันไพเราะที่ยืนหยัดฮ็อตฮิตข้ามกาลเวลามายาวนานกว่า 4 ทศวรรษที่เนื้อเพลงพร่ำพรรณนา ดูท่าว่าไม่เกินจริง “ชายหาดอันอุดมไปด้วยสิ่งสวยงาม สาวสวยในชุดบิกินี ผิวสีแทนที่อาบไล้ไว้ด้วยแสงแดดละมุน และท่วงท่าลีลาเดินที่โยกย้ายไปมาละม้ายคล้ายคลึงกับจังหวะแซมบ้า ยั่วเย้าให้ชายหนุ่มที่เฝ้ามองรู้สึกปั่นป่วนหัวใจเกินบรรยาย”
ความจริงถ้าไม่มีเพลงนี้ ชายหาดอิปาเนมาก็อาจจะเป็นได้แค่ชายหาดธรรมดาๆ แห่งหนึ่งของบราซิลและของโลก แต่อิปาเนมากลายเป็นสถานที่ที่นักท่องโลกทุกคนถวิลหา เมื่อมีเพลงอมตะที่แสนละเมียดละไมอย่าง The Girl From Ipanema ซึ่งแน่นอนว่าคอเพลงประเภท Bossa Nova ไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้ไม่ใช่เพลงธรรมดาๆ ที่ไร้ที่มาที่ไป แต่ The Girl From Ipanemaมีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจทีเดียว 2 หนุ่มที่ร่วมกันประพันธ์เพลงนี้ขึ้นคืออันโตนิโอ คาร์โลส โจบิม (Antonio Carlos Jobim)เป็นคนเขียนดนตรี และวินนิเชียส เดอ มอเรส์ (Vinicius de Moraes)คนเขียนคำร้องภาษาโปรตุเกส ซึ่งต่อมา นอร์แมน กิมเบล (Norman Gimbel) รับหน้าที่เขียนคำร้องภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่ง
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ราวปี ค.ศ. 1962 โจบิม และมอเรส์ที่มักจะนั่งก๊งเหล้าแกล้มด้วยการเหล่หญิงที่บาร์ชื่อเวโลโซอยู่เป็นประจำบังเอิญไปพบเห็นสาวน้อยวัย 18 ชื่อเฮโล ปินไอโร (Helo Pinheiro) ที่พักอยู่ในย่านถนนสายมอนเทเนโกร (Montenegro street) ยามที่เธอเดินผ่านบาร์เวโลโซเพื่อไปยังชายหาด สองหนุ่มก็เหล่เธออยู่ทุกวันจนเป็นแรงบันดาลใจให้แต่งเพลงนี้ขึ้นที่แน่ๆ ความโด่งดังของเพลงนี้ ทำให้ชายหาดแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลกไปโดยปริยาย ใครๆ ที่มาบราซิลก็อยากมาเห็นหน้าตาของอิปาเนมากันทั้งนั้น ผลพวงของความดังในเพลงนี้ ทำให้ต่อมาถนนสายมอนเทเนโกร เปลี่ยนชื่อเป็น Vinicius de MoraesStreet เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ วินนิเชียส เดอ มอเรส์
ทุกวันนี้ มีผู้คนจากทั่วโลกที่เดินทางไปรีโอฯ นอกจากจะไปนอนอาบแดดที่อิปาเนมา ก็ยังตั้งใจจะไปเดินหาถนนและผับที่นักแต่งเพลงชอบไปนั่งแฮงเอาต์กัน หลังจากที่ The Girl From Ipanema วางขายในบราซิลครั้งแรกเมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา ความโด่งดังของเพลงนี้ก็ยังไม่เสื่อมลงง่ายๆ กลายเป็นว่า มีศิลปินหลากวัยหลายยุค หยิบมาร้องคัฟเวอร์ใหม่เปลี่ยนสไตล์เพลง รื้อปรับขยับบีตกันชนิดนับไม่ถ้วนเลยทีเดียวดูเหมือนชาวบราซิลก็ภูมิอกภูมิใจกับเพลงนี้อยู่เหมือนกันเพราะไมว่าเราสองคนจะซอกแซกผ่านคาเฟ่ไหนของอิปาเนมา ก็มักจะมีเสียงสุนทรีย์อารมณ์ของเพลงนี้แพลมมาเอาใจแก้วหู
หากยังพอมีเวลาอีกสถานที่หนึ่งอาจไม่สวยงาม แต่น่าไปเยือนคือฟาเวลา หรือสลัมแนวตั้งของรีโอฯ นี่เองในริโอ เด จาเนโร มีสลัมที่เป็นบ้านเรือนปลูกไลไ่ ปบนภูเขาเยอะมาก เพราะชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างยากแค้นลำเค็ญ เข้าข่ายจนจัด ปัญหาอาชญากรรมและอัตราการจี้ปล้น ยังพุ่งขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลด สถานที่แบบนี้ อันตรายเกินกว่าจะลุยเข้าไปเอง ทางที่ดีมีไกด์ท้องถิ่นนำเข้าไปจะเวิร์กกว่า และแน่นอนว่าบรรดาเครื่องประดับทั้งหลาย นาฬิกา แหวน ต่างหู ขอให้ถอดเก็บให้เรียบหากได้เห็นฟาเวลา ต้องบอกว่า คลองเตยชิดซ้ายไปเลย จะว่าเป็นสลัมใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ บราซิลยากจนกว่าที่คิดไว้เยอะ โดยเฉพาะในนครรีโอฯ มีคนจนหลายล้านคนฝากชีวิตไว้ในสลัม พวกเขาพร้อมจะก่อคดีต่างๆ กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอย่างไม่ไยดีกฎหมาย เพราะที่นี่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่โลกมืดพึงมี
กลางวันฟาเวลาอาจจะดูน่ากลัว แต่พอตกกลางคืนแสงไฟระยิบระยับจากฟาเวลา ทำให้ความเสื่อมโทรมแปลงเป็นความสวยงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับคนที่นี่ นอกจากดนตรีแซมบ้า ก็คงมีฟุตบอลนี่แหละที่ผูกพันกับพวกเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเรียกว่าหายใจเข้าเป็นฟุตบอล หายใจออกเป็นจังหวะแซมบ้า