คฤหาสน์ของชาวนาผู้มั่งคั่ง หรือ พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมนอร์ทเทิร์น (Northern Culture Museum – Sanrakutei)

story & photo by Vacationist

บริเวณแม่น้ำอะกาโนะเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านที่ราบคันบาระอันกว้างใหญ่ ริมฝั่งแห่งนั้นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ โซอุมิ ที่นี่ในช่วงกลางของสมัยเอโดะ (1603-1868) เป็นพื้นที่ของการเกษตร โดยครอบครัวอิโตะ (Ito family) เริ่มต้นธุรกิจขึ้นก่อนจะเติบโตรุ่งเรืองเพิ่มขึ้นในแต่ละรุ่นจนกลายเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอจิโกะ (Echigo Region)

ผลจากการปฏิรูปที่ดินหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ที่ดินขนาดใหญ่ของพวกเขาถูกพรากไปจากการครอบครองของครอบครัว แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยให้สิ่งปลูกสร้าง สวน และงานศิลปะให้เผยแพร่แก่คนรุ่นหลัง ทางครอบครัวได้ก่อตั้งมูลนิธิพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมนอร์ทเทิร์น (Northern Culture Museum Foundation) ขึ้น

ประวัติของตระกูลอิโตะเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1756 จากพื้นที่เกษตรกรรม 3,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดเท่ากับพื้นดินในสนามกีฬาโตเกียวโดม เริ่มจากการทำฟาร์ม สู่การค้าขาย จนปี ค.ศ. 1801 ยาสุจิโระ ลูกชายของบุงกิจิคนแรกได้ขยายธุรกิจให้ครอบคลุมธัญพืช โรงรับจำนำ คลังสินค้า และสีคราม เขาเลิกทำการเกษตรและกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในภูมิภาค

ในปีปี ค.ศ. 1952 ผู้สืบทอดรุ่นที่แปด ได้เข้าเป็นสมาชิกของภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่น และหลังจากทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง เขาก็รับตำแหน่งบุงกิจิตอนอายุ 31 ปี หลังจากนั้นเขาอุทิศเวลาและพลังงานทั้งหมดเพื่อส่งเสริม วัฒนธรรมของนีงาตะและการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ เขาเดินทางไปเยี่ยมชมกว่า 100 ประเทศเพื่อสังเกตการบริหารวัฒนธรรมและการจัดการพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก และบำรุงรักษาสถานที่นี้ จนถึงแก่กรรมในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2016

ภายในบ้านแบ่งเป็นอาคารหลายหลังเชื่อมต่อกัน มีจุดเด่นที่โครงสร้างอาคารที่ทำจากไม้ และการประดับตกแต่งที่สวยงามและยังคงเก็บรักษาไว้อย่างดี ส่วนของอาคารหลักที่เดิมเคยเป็นที่พักของตระกูลนี้ (Main House) บ้านที่แข็งแรงโอ่อ่าซึ่งสร้างขึ้นในสไตล์ญี่ปุ่นในยุคต้นสมัยใหม่ มีจุดที่น่าสนใจมากมายที่แสดงเทคนิคและวัสดุของช่างฝีมือ เช่นคานขนาดใหญ่เจ็ดชั้นและคานหน้ากลมยาว 30 เมตรที่รองรับหลังคา ห้องต่างๆ เช่น ห้องบัญชี (ปัจจุบันคือสำนักงานพิพิธภัณฑ์) และห้องนั่งเล่น ซึ่งใช้ในการจัดวางสิ่งของต่างๆ ถูกวางไว้ที่ด้านหน้าของบ้าน

ส่วนของห้องจัดเลี้ยง (Banqueting Hall) อาคารขนาดมหึมานี้มีโถงจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ประมาณเสื่อ 100 แผ่น สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1889 ในรูปแบบที่เรียกว่าโชอินซึคุริหรือสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม แม้ว่าอาคารทั้งสองจะเชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน แต่อาคารหลังนี้แยกจากบ้านหลังใหญ่ ทางเข้าใหญ่ที่สร้างด้วยไม้เซลโคว่าของญี่ปุ่นทั้งหมด นำไปสู่ห้องโถงโดยตรง ห้องโถงเสื่อทาทามิขนาดใหญ่นี้เป็นห้องที่ดีที่สุดในบ้านทั้งหลัง ถูกใช้ปีละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น การปิดประตูฟุซุมะแบบเลื่อนทำให้สามารถแบ่งห้องโถงใหญ่ออกเป็นห้องชั้นบน ห้องกลาง ห้องสองข้าง และห้องรับรองขนาดใหญ่ที่เพดานสูงที่สุด คุณจะเห็นความกลมกลืนของการออกแบบได้ทุกที่

Sanrakutei: โรงน้ำชาและการศึกษา (Tea House and Study) Sanraku หมายถึง “ความสุขสามประการ” โดย Mencius นักปรัชญาชาวจีน สร้างในสไตล์อาร์เบอร์เป็นรูปร่างของสามเหลี่ยมด้านเท่า ประกอบด้วยห้องเล็กๆที่อยู่ติดกันสำหรับล้างเครื่องใช้ในพิธีชงชาและยังใช้สำหรับประกอบพิธีชงชาอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีอาคารต่างๆ อีกหลายหลัง และมีสวนที่สวยงามที่มีดอกไม้เปลี่ยนไปทุกฤดูกาลทั้งซากุระ วิสเทอเรีย สระบัวและสวนที่ใบไม้เปลี่ยนสีในตอนฤดูใบไม้ร่วง แม้กระทั่งช่วงฤดูหนาวที่หิมะปกคลุมก็สวยงามเป็นอย่างมาก

ที่นี่ยังมีบริการอาหารที่ห้องอาหารชื่อ Misogura และ ห้องอาหาร “Dairo-an ที่เสริฟ์อาหารเป็นเซตแบบญี่ปุ่น ท่ามกลางความสวยงามของอาคารโดยรอบ อาหารเริ่มต้นเพียงไม่กี่พันเยน มีคาเฟ่ ชื่อ Idogoya สำหรับคนที่ต้องการดื่มชาเขียวสักถ้วย ขนมญี่ปุ่นสักชิ้น

ค่าเข้าชม คนละ 800 เยน เด็ก 400 เยน

การเดินทาง
ขับรถทางด่วน: ระยะทาง 4 กม. (5 นาที) จากทางแยกต่างระดับ Niitsu บนทางด่วน Banetsu

แท็กซี่ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีจากสถานี JR Niitsu หรือ 20 นาทีจากสถานี JR Niigata

รถบัส: ขึ้นรถบัสจาก Bandai City Bus Center ไปทาง Akiha Ward ผ่าน Soumi และลงที่พิพิธภัณฑ์ Kami Soumi จากนั้นเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้ 2 นาที

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0