New Experiences : Jordan เปิดประสบการณ์ใหม่ที่จอร์แดน

“จอร์แดนไม่ได้มีแต่ทะเลทราย และไม่ได้มีอันตรายอย่างที่คิด”
นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมพูดกับน้องๆ ทีมงาน

จอร์แดนอยู่ในทวีปเอเซียในพื้นที่ตะวันออกกลางแม้จะติดกับอิสราเอล อิรัก และซาอุดิอาระเบีย แต่ก็เป็นประเทศที่มีเสน่ห์น่าค้นหามากมาย การเดินทางจากเมืองไทยก็สะดวกมีสายการบินที่มีเที่ยวบินตรงไปถึงกรุงอัมมานประเทศจอร์แดน ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลาประมาณเที่ยงคืน จากนั้นบินไปถึงสนามบินนานาชาติอัมมาน ควีน อาเลีย (Queen Alia International Airport) ใช้เวลาในการเดินทาง 8 ชั่วโมง 55 นาที แต่เวลาที่ถึงกรุงอัมมานจะเป็นเวลาประมาณ 05.00 น. เนื่องจากเวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง

สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่มีวัตถุประสงค์เดินทางเข้าประเทศจอร์แดนเพื่อการท่องเที่ยว สามารถขอวีซ่าแบบ Visa On Arrival (VOA) ที่สนามบินโดยที่ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าล่วงหน้า ช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน อากาศเหมาะกับการเที่ยวจอร์แดนเพราะอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-25 องศาเซลเซียส ไม่ร้อน ไม่หนาวมาก แถมไม่มีฝน ถ้ามาเป็นครอบครัวถือได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่ไม่อึดอัดและเราสามารถเดินชมเมืองได้อย่างสบายๆ

กรุงอัมมาน (Amman City)

อัมมานเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศจอร์แดนตั้งอยู่บนเนินเขา 7 ลูกติดต่อกันระหว่างที่ราบและทะเลทราย ซึ่งเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์อายุมากกว่า 6,000 ปี อีกยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการค้า

ภายในเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญซึ่งสร้างขึ้นในยุคโรมันมากมาย อย่างทางตะวันออกของเมืองบริเวณเชิงเขา Jabal Al-Joufah มีสนามอัฒจันทร์โรมันโบราณขนาดใหญ่ อัมมาน (Roman Amphitheatre Anman) เป็นอัฒจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง คำจารึกภาษากรีกบนเสาต้นหนึ่งระบุว่าอัฒจันทร์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่จักรพรรดิอันโตนินัส ปิอุส (Antoninus Pius) เมื่อปี ค.ศ. 138–161 มีความสูงกว่า 12 เมตรและจุคนได้กว่า 6,000 คน หันไปทางทิศเหนือเพื่อไม่ให้ดวงอาทิตย์ส่องกระทบผู้ชมที่เข้ามาชมการแสดงการต่อสู้ในยุคนั้น ปัจจุบันแม้จะผุพังไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังเห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต

ป้อมปราการแห่งกรุงอัมมาน (Amman Citadel) ที่เป็นที่ตั้งของวิหารเฮอร์คิวลิส (Temple of Hercules) ที่ตั้งตระหง่านบนเนินเขาสูง 850 เมตร ซึ่งสูงที่สุดในกรุงอัมมานและบริเวณเดียวกันนั้นคือพระราชวังอุมัยยะฮ์ (Umayyad Palace) ป้อมปราการแห่งกรุงอัมมานนั้นแสดงให้เห็นสถาปัตยกรรมที่มาจากยุคเหล็ก รวมถึงยุคโรมัน ยุคไบแซนไทน์และยุคอุมัยยะฮ์ ทางตอนใต้สุดของกลุ่มอาคารเหล่านี้เป็นที่ตั้งของวิหารเฮอร์คิวลิส ที่สร้างขึ้นระหว่างปีคริสต์ศักราชที่ 162-166

วิหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าวิหารที่อยู่ในโรมโบราณเสียอีก เราจะเห็นเสาขนาดใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่ เชื่อกันว่าเป็นซากของวิหารเฮอร์คิวลิสเชื่อมต่อกับฟอรัม (ใจกลางเมือง) เมื่อเดินผ่านทางเข้าที่เป็นแนวเสาไปข้างใน เราก็จะเริ่มเห็นวิวเมืองแบบพาโนรามา ใกล้กันนั้นมีมือรูปกำปั้นขนาดใหญ่ที่ทำจากหินอ่อน เผยให้เห็นความขาวโพลนจนแทบไม่มีเลือด

ว่ากันว่าเป็นเศษที่หลงเหลือจากรูปปั้นขนาดใหญ่ของเฮอร์คิวลีส อาคารประวัติศาสตร์อีกจุด คือ พระราชวังอุมัยยะฮ์ ด้านหลังมีพิพิธภัณฑ์โบราณคดีขนาดเล็กที่คุณจะได้เห็นวัตถุโบราณ รวมถึงม้วนหนังสือสมัยโบราณ เชื่อกันว่าเป็นอาจใช้เป็นอาคารบริหารหรือที่อยู่อาศัยของข้าราชการในสมัยนั้น มีอายุในช่วงศตวรรษที่ 8 ถือเป็นอาคารที่มีความสวยงามและน่าประทับใจเป็นการออกแบบสไตล์ไบแซนไทน์ (Byzantine style) ตัวอย่างเช่นโถงทางเข้าเป็นรูปไม้กางเขนกรีก มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดลงไปในพื้นดินติดกับพระราชวัง ที่จุน้ำใช้สำหรับบริเวณโดยรอบ ที่เก็บน้ำนี้เคยบรรจุน้ำฝนได้ถึงประมาณ 250,000 แกลลอน (950,000 ลิตร) ส่วนทางตอนใต้ของพิพิธภัณฑ์คือโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกชื่อ Byzantine Basilica

นครเจราช (Jerash)

เจราช เมืองที่ถูกขนานนามว่าเมืองพันเสาบางคนเรียกปอมเปอีแห่งตะวันออก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวงอัมมาน ประเทศจอร์แดน ประมาณ 50 กิโลเมตร สามารถไปเช้าเย็นกลับไป ที่นี่เป็นอดีต 1 ใน 10 หัวเมืองเอกของอาณาจักรโรมัน สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นราว 200 – 100 ปีก่อนคริสตกาล ในปี ค.ศ. 749 นครแห่งนี้ได้ถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลาย และถูกฝังกลบโดยทรายหลังจากนั้นก็ได้สูญหายไปเป็นนับพันปี และถูกทิ้งร้างจนมีคนมาขุดพบใน ค.ศ. 1878 ต่อมารัฐบาลจอร์แดนได้มาฟื้นฟูทำการบูรณะนครโรมันแห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จึงทำให้ความวิจิตรงดงามของเมืองพันเสานี้กลับมาได้รับความสนใจ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวอยากไปเยี่ยมชมสักครั้ง

เราจะเห็นซากปรักหักพังที่เรียกว่าเกรโกโรมัน (Greco-Roman) เป็นจำนวนมากถนนคาร์โดหรือ ถนนโคลอนเนด ถนนสายหลักที่ใช้เข้า-ออกเมืองแห่งนี้ เมื่อผ่านจุดซื้อตั๋วเข้าชมมาแล้ว ก็จะเห็นซุ้มประตูโค้งฮาเดรียน (Arch of Hadrian) ซึ่งมีอายุย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 129-130 สร้างเพื่อเป็นเกียรติต่อการเสด็จประพาสกรุงเจอราชของจักรพรรดิเฮเดรียน

โดยประตูอยู่ทางทิศใต้ของเขตเมืองใหม่ เมื่อเดินผ่านเข้ามาข้างในก็จะพบกับจัตุรัสโอวัล (Oval Plaza) สถานที่พบปะสังสรรค์ของชาวเมืองเจราช ล้อมรอบด้วยเสาคอรินเทียม (Corinthium) กว่า 160 ต้น เป็นรูปวงรี พื้นตรงกลางปูด้วยหินขนาดใหญ่ เสาเหล่านี้ได้กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมมากสุดถนนคาร์โดเป็นโรงละครทางทิศเหนือ ด้านตรงข้ามคือ โรงละครทางทิศใต้ ซึ่งจุผู้ชมได้ถึง 3,000 คน กลางโรงละครมีจุดสะท้อน แม้จะด้วยการพูดเบาๆ เสียงก็จะย้อนกลับมาเข้าหูเราอย่างเหลือเชื่อ

เดินต่อมาเรื่อยๆ ก็จะเจอเทวสถานหรือวิหารเทพีอาร์เทมิส (TheTemple of Artemis) ที่นี่เป็นเทวสถานโรมันตัวเทวสถานตั้งเด่นอยู่บนจุดที่สูงสุดของตัวเมือง ด้านหน้าเป็นซุ้มหกเสา โดยมีเสา 12 ต้น รองรับน้ำหนัก หัวเสาเป็นแบบโครินเธียนที่ยังคงอยู่ในสภาพดี

สิ่งก่อสร้างมีทางเข้าสามทางที่ตกแต่งด้วยเสาอิงแบบโครินเธียน โดยที่นี่ชาวเฮเลนนิสติคเคารพนับถือ อาร์ทีมิสเป็นเทพีผู้พิทักษ์เมืองเจราช ส่วนชาวเซมิติคจะเคารพนับถือและสักการะเทพซูส นครเจราชค่อนข้างมีจุดที่น่าสนใจมากมายแนะนำให้ใช้เวลาท่องเที่ยวสัก 1 วันค่อยกลับเข้ากรุงอัมมานก็ได้

ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi rum)

วาดิรัมเป็นหุบเขาทะเลทรายทางตอนใต้ของจอร์แดน มีทัศนียภาพอันสวยงาม ทั้งภูเขาหินทรายและหน้าผาหินแกรนิตทะเลทรายวาดิรัมถูกกล่าวขานว่าเป็นทะเลทรายที่สวยงามที่สุดของโลกแห่งหนี่ง ด้วยเม็ดทรายละเอียดสีส้มอมแดงปรับเปลี่ยนไปตามแสงของดวงอาทิตย์ ผืนทะเลทรายสุดไพศาลกว่า 720 ตารางกิโลเมตร

ในอดีตเป็นเส้นทางคาราวานจากประเทศซาอุฯ เดินทางไปยังประเทศซีเรียและปาเสลไตน์ (เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวนาบาเทียนก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานไปสร้างอาณาจักร อันยิ่งใหญ่ที่เมืองเพตร้า) ในศึกสงครามอาหรับรีโวลท์ระหว่างปี ค.ศ. 1916 – 1918 ทะเลทรายแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นฐานบัญชาการในการรบของนายทหารชาวอังกฤษ ทีอี ลอว์เรนซ์และเจ้าชายไฟซาล ผู้นำแห่งชาวอาหรับร่วมรบกันขับไล่พวกออตโตมันที่เข้ามารุกรานเพื่อครอบครองดินแดน

ทะเลทรายสีแดงนี้มีฉายาว่า หุบเขาแห่งพระจันทร์ (The Valley of the Moon) วาดิรัมมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ว่ากันว่า มีมนุษย์อยู่อาศัยมาแล้วตั้งแต่ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล มีการพบภาพแกะสลักจากฝีมือชาวนาบาเทียนด้วยวิวทะเลทรายสีเหลืองทองสุดลุกหูลุกตา สลับกับหน้าผาสูงชันเป็นความสวยงามทางธรรมชาติที่แปลกตาทำให้ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง ที่เป็นที่จดจำคือภาพยนตร์มหากาพย์-สงครามที่สร้างจากเรื่องราวของ โธมัสเอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ ฮีโร่แห่งสงครามของชาวอาหรับ เรื่อง “Lawrence of Arabia”

นำแสดงโดย Peter O’Toole,Omar Sharif ในปี ค.ศ. 1963 ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถกวาดรางวัลออสการ์ได้ถึง 7 รางวัล และรางวัลจากสถาบันอื่นๆ มากกว่า 30 รางวัล และในปี ค.ศ. 2011 ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้ทะเลทรายวาดิรัมเป็นหนึ่งในมรดกโลก

ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea)

ที่เมืองอัคคาบาของจอร์แดน เป็นเมืองเดียวที่อยู่ติดทะเลแดง ซึ่งบริเวณอ่าวอัคคาบานั้น น้ำทะเลจะเป็นสีฟ้าเทอควอยซ์สวยงามและไม่มีคลื่น เหมาะแก่การนั่งเรือชมอ่าว ซึ่งจะมีเรือท้องกระจกไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดในการมาเที่ยวจอร์แดน นั่นก็คือ การได้ลอยตัวบนทะเลสาบเดดซี ในเมืองอัมมันตั้งอยู่พรมแดนระหว่างอิสราเอลและจอร์แดน ชาวอาหรับจะเรียกทะเลสาบเดดซีกันว่า “อัลบาห์รัลไมยิต” หมายความว่า ทะเลมรณะเช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ ขณะที่ภาษาฮีบรูเรียกทะเลสาบนี้ว่า“ยัมฮาเมละฮ์” ซึ่งหมายความว่า “ทะเลเกลือ” โดยมีความเค็มสูงถึง 30% มากกว่าทะเลอื่นถึง 4 เท่าเทียบกับทะเลบ้านเราแค่ประมาณ 3% มีความยาว 76 กิโลเมตร กว้างถึง 18 กิโลเมตร มีจุดลึกที่สุดคือ 400 เมตร และอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 417.5 เมตร นับเป็นพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในโลก

ทะเลสาบเดดซีเกิดจากน้ำที่ไหลมาจากลำธารในจอร์แดน มีส่วนผสมของโซเดียมและแมกนีเซียม ทำปฏิกิริยากับน้้ำพุร้อนที่อยู่ด้านล่างทะเลสาบประกอบกับทะเลสาบนี้ไมมี่ทางออกสู่ทะเลแห่งอื่นเลย มีเพียงแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงสู่ทะเลเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปน้ำในทะเลนี้ระเหยขึ้นทำให้เกลือในทะเลสาบเดดซีตกค้างอยู่ในบริเวณเดิม น้ำในทะเลสาบเดดซีจึงมีความเค็มมากกว่าน้ำทะเลปกติ ด้วยเหตุที่น้ำมีความเค็มมากทำให้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ และทำให้วัตถุลอยเหนือน้ำ แม้แต่คนว่ายน้ำไม่เป็นก็ลอยตัวได้ในเดดซี (แต่ระวังอย่าให้น้ำทะเลเข้าตาหรือปากเด็ดขาด) ถูกบันทึกลงในหนังสือ กินเนสส์ ว่าเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในโลก

แนะนำว่าถ้ามาเที่ยวเดดซี ควรจองที่พักที่มี Private Beach จะคุ้มกว่าการจ่ายค่าเข้าหาดบริเวณชายหาดสาธารณะ ทะเลเดดซีอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่สะสมมายาวนานทำให้มีความเชื่อว่าดินโคลนที่นี่จะช่วยปรับสมดุลต่างๆ ในร่างกายกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ฟื้นฟูผิวทำหน้าเด้งจนถึงกับมีเอาโคลนจากเดดซีพอกผิว ขัดผิว ทำสปาความสวยความงามและมาขายเป็นกระปุกอีกด้วย

เมืองเปตรา (Petra)

จากสนามบินนานาชาติควีนอาเลีย กรุงอัมมานมีรถบัสมาถึงเมืองเปตรา หรือ เพตรา ทุกชั่วโมงใช้เวลากว่า 4-5 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงนครเปตราดังนั้นควรค้างคืนในโรงแรมที่พักละแวกใกล้เคียงที่มีให้เลือกมากมายอย่างน้อยสักคืน สองคืน เพื่อดื่มด่ำกับสิ่งมหัศจรรย์แห่งนี้ให้คุ้มค่าเปตราเป็นเมืองโบราณที่มีอายุกว่า 2,000 ปีมีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยทั้งชาวอีโดไมท์จวบจนกระทั่งถึงยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูในการเข้ามาครอบครองดินแดนของชาวอาหรับเผ่าเร่ร่อนนาบาเทียนในช่วงระหว่าง 100 ปี ก่อนคริสตกาล – ปี ค.ศ. 100 และได้เข้ามาสร้างอาณาจักร จนกระทั่งในปี ค.ศ. 106 นครแห่งนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมันที่นำโดยกษัตริย์ทราจัน และได้ผนึกเอาเมืองแห่งนี้ให้เป็นหนึ่งในอาณาจักรโรมันแห่งแหลมอาระเบียตะวันออก ต่อมาเปตราได้ถูกทิ้งร้างเป็นเวลาหลายศตวรรษจนกระทั่งมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี 1812

ปัจจุบันเปตราได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกปี ค.ศ. 1985 และวิหารนี้ยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วยสถานที่น่าสนใจในเมืองแห่งนี้มีทั้งมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ อัล-คากซ์เนห์ (Al Khazneh)

ซึ่งผู้มาเยือนสามารถเข้าไปชมความงามได้โดยเดินผ่านช่องกำแพงในหุบเขาวาดี มูซา ที่เรียกว่า ซิก (Siq) เป็นช่องกำแพงในหุบเขาเกิดจากการแยกตัวของเปลือกโลกและการซัดเซาะของน้ำเมื่อหลายล้านปีก่อน มีความสูงประมาณ 91-182 เมตร หรือประมาณ 300-600 ฟุต ซึ่งบางแห่งนั้นมีความกว้างไม่เกิน 3 เมตรที่ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตทางเดินส่วนใหญ่ร่มๆสบายๆ เราสามารถขี่ม้า, ขี่ลา, ขี่อูฐ, รถม้าลากภายในเส้นทางที่ม้าเดินในเพตราได้ สอบถามราคากับคนจูง

สำหรับมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์อัล-คากซ์เนห์ สันนิษฐานว่าสร้างในราวศตวรรษที่ 1-2 โดยผู้ปกครองเมืองในเวลานั้น เป็นวิหารที่แกะสลักโดยเจาะเข้าไปในภูเขาสีชมพูทั้งลูกมีความสูง 40 เมตร และมีความกว้าง 28 เมตร วิหารแห่งนี้ได้ถูกออกแบบโดยได้รับอิทธิพลศิลปะของหลายชาติเข้าด้วยกัน เช่น อิยิปต์ กรีกนาบาเทียน

ประกอบด้วย 3 ห้อง คือ ห้องโถงใหญ่ตรงกลาง และห้องเล็กทางด้านซ้ายและขวานอกจากนี้ภายในมีสุสานต่างๆ ของชาวนาบาเทียนสุสานกษัตริย์ โรงละครโรมัน (Roman Theatre) ที่แกะสลักจากภูเขาโดยมีแนวราบที่นั่งเท่ากันและมีความสมดุลย์อย่างน่าทึ่ง สันนิษฐานเดิมทีสร้างโดยชาวนาบาเทียน ต่อมาสมัยที่โรมันข้ามาปกครองได้ต่อเติมและสร้างเพิ่มเติม มีที่นั่ง 32 แถว จุผู้ชมได้ประมาณ 3,000 คน สำหรับค่าเข้าชม ราคา 1 วันอยู่ที่ 99 USD, 2 วัน 106 USD และ 113 USDสำหรับ 3 วัน สามารถซื้อได้ผ่านทางเว็บไซด์ https://www.jordanpass.jo/

การขอวีซ่าแบบ Visa On Arrival (VOA) ที่สนามบิน Queen Alia International Airport ณ กรุงอัมมาน (Amman) และ สนามบินนานาชาติ King HusseinInternational Airport ณ กรุง Aqaba เอกสารสำคัญใช้ในการยื่นขอวีซ่าดังนี้

  1. พาสปอร์ตเล่มจริง ที่มีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือนนับรวมวันเดินทางกลับถึงยังประเทศไทย และมีหน้าที่ว่างมากกว่า 2 หน้า
  2. สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรก
  3. รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว 2 รูป พื้นหลังสีขาว ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน หน้าตรง ไม่สวมแว่น
  4. สำเนาตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ
  5. ใบ Visa On Arrival กรอกได้ที่ช่องยื่นขอวีซ่าซึ่งอัตราค่าธรรมเนียม Visa on Arrival ในการเข้าประเทศจอร์แดนนั้น หากเป็นวีซ่าเข้า-ออก ครั้งเดียว(อายุ 1 เดือน) จะอยู่ที่ 40 JOD หรือประมาณ 56 USD
    *ค่าธรรมเนียมวีซ่าต้องชำระด้วยเงินสดเท่านั้น
Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0