Mongolia – Charming in Everywhere มองโกเลียกับเสน่ห์ที่ประทับใจ
Story & Photo by Orawan

ด้วยระดับความเย็นที่อุณหภูมิติดลบ 6 องศาทำให้ลมหายใจของฉันเป็นกระไอสีขาวทีเดียว ในช่วงเวลาที่ฉันค่อยๆ ก้าวเดินไปตามทางเดินอิฐที่ทอดตัวจากห้องอาหารสู่ห้องพักที่มีลักษณะเป็นเต็นท์หนังสัตว์สีขาว ทรงกลม ซึ่งเรียงกระจายตัวเป็นจุด ท่ามกลางทุ่งกว้างของอุทยานแห่งชาติฮุสไต (Hustai National Park) เต็นท์ที่พักแบบนี้เรียกว่าเกอ (Ger) เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศมองโกเลียแห่งนี้ก็ว่าได้

ขณะนี้ฉันกำลังเดินอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวของเดือนตุลาคม บนแผ่นดินของเจงกิสข่าน หนึ่งในจักรพรรดินักรบชาวมองโกล คำว่าเจงกิส แปลว่า เวิ้งสมุทรหรือมหาสมุทร ดังนั้น เจงกิส ข่าน จึงเปรียบเหมือน เวิ้งมหาสมุทรที่มีความยิ่งใหญ่ ว่าไปแล้วไม่เพียงแต่แสนยานุภาพของเจงกิสข่านจะยิ่งใหญ่ แผ่นดินของมองโกเลียก็กว้างใหญ่จริงๆ มีพื้นที่ราว 1.5 ล้านตารางกิโลเมตร คิดง่ายๆ คือใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 3 เท่า

พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นดินสีน้ำตาลอมแดงและมีทุ่งหญ้าขึ้นกระจายตัวไปทั่วพื้นที่ ประชาชนที่นี่มีน้อยมากเพียง 3 ล้านคนเท่านั้น พอเทียบกับพื้นที่อันมากมายแล้ว ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุดในโลก เอาว่าถ้าคุณอยู่ในพื้นที่รอบนอกเมืองหลวง คุณสามารถมองออกไปในระยะทางกว่า 10-20 กิโลเมตร โดยไม่มีอะไรขวางสายตาของคุณเลย นอกจากฝูงสัตว์เช่น วัว ม้า เท่านั้น

ย้อนไปนิด สำหรับการเดินทางมามองโกเลียของฉันในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสายการบิน มองโกเลียนแอร์ไลน์ (Mongolian Airlines-MIAT) สายการบินที่มีเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพมหานครของเราสู่อูลาน บาตอร์ (Ulan Bator) เมืองหลวงของมองโกเลียนอก (Outer Mongolia) หรือสาธารณรัฐมองโกเลีย (Republic of Mongolia) นั่นเอง (สำหรับมองโกเลียใน – Inner Mongolia นั้นเป็นเขตปกครองตนเองซึ่งเป็นดินแดนของประเทศจีน) จากอูลาน บาตอร์ ฉันนั่งรถบัสขนาด 45 ที่นั่งอันแสนสบายฝ่าท้องทุ่งกว้างที่ตอนนี้เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล

มองไปทางไหนก็เป็นสีน้ำตาลแดงไปเสียหมด เป็นภาพที่แปลกตาทีเดียว และที่แปลกคือ ท่ามกลางความเวิ้งว้างของแผ่นดิน มองไปทางไหนก็น่าจะหลงทางได้ง่าย แต่รถบัสของเรากลับฝ่าตะลุยมาจนถึงอุทยานแห่งชาติคุสเตนนูรูรู (Khustain Nuruu National Park) หรือที่รู้จักกันดีในชื่ออุทยานแห่งชาติฮุสไต (Hustai National Park) ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ในปี ค.ศ.1993 รัฐบาลมองโกเลียได้ประกาศให้อุทยานแห่งชาติแห่งนี้เป็นเขตคุ้มครองพิเศษ หลังจากที่ได้นำม้าป่าทากี (Thaki) เข้าไปปล่อยใหม่ ทากีเป็นภาษามองโกเลีย ส่วนอีกชื่อหนึ่งคือ ม้าป่าเปรวาสกี้ (Przewalski) เป็นชื่อที่ตั้งตามนักภูมิศาสตร์ชาวรัสเซีย นิโคไล เปรวาสกี้ ที่ได้เข้าสำรวจและบันทึกเรื่องของม้าป่าพวกนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1881

อุทยานแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นบ้านของม้าป่าเปรวาสกี้ก็ว่าได้ เชื่อว่าม้าป่านี้เป็นหนึ่งในสองสายพันธุ์ย่อยของม้าป่าแท้ที่มีอยู่ในโลก

โดยอีกสายพันธุ์หนึ่งคือม้าป่าทาปันของยุโรป ขนาดตัวของม้าป่าเปรวาสกี้จะสูงประมาณหนึ่งเมตรสี่สิบเซนติเมตร คอสั้น หนา ขนสีน้ำตาลแกมเหลืองโดยจะมีสีเข้มบริเวณหลังและไล่สีอ่อนลงมาจนเป็นสีขาวตรงบริเวณท้อง และมีสีดำตรงขาส่วนล่าง

แม้ที่นี่จะเรียกได้ว่าเป็นบ้านของม้าพันธุ์นี้ แต่ปัจจุบันในธรรมชาติมีม้าชนิดนี้อยู่เพียง 20 ฝูงหรือ 200 ตัวเท่านั้น ทำให้การพบเห็นเป็นไปได้ค่อนข้างยากสักนิด เราจะสามารถมองได้ไกลๆ พอขยับเข้าใกล้ก็มักจะเตลิดไป

อุทยานแห่งนี้มีห้องพักแบบเกอดั้งเดิม ที่ในช่วงกลางคืนจะมีพนักงานเป้นคุณลุงใจดีมาเติมไฟให้ความอบอุ่น

สำหรับอาหารจะมีบริการที่ศูนย์รับรองส่วนกลาง
อาหารก็มีหลากหลาย แต่โดยมากเนื้อของที่นี่ มักจะเป็นเนื้อม้า และเนื้อแพะ
นอกจาอาหารที่มีบริการอย่างอิ่มหน่ำสำราญและหลากหลายแล้ว ที่นี่มีกิจกรรมให้เลือกทำมากมาย อย่างเช่นการทดสอบยิงธนู การขี่ม้า เป็นต้น

เล่ากันว่าที่มองโกเลียนี้แทบทุกคนจะขี่ม้ากันเป็นแทบทั้งนั้นและบ้านหลังหนึ่งก็จะมีม้าอย่างน้อย 1 ตัว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะเห็นเด็กชาวมองโกเลียที่อยู่ในแถบทุ่งกว้างแห่งนี้ขี่ม้ากันอย่างคล่องแคล่ว
ขับรถไปไม่ไกลจากอุทยานแห่งชาติมานัก ท่ามกลางท้องทุ่งสีน้ำตาล คุณจะพบกับฟาร์มเลี้ยงสุนัข (Mongolian dog farm) สุนัขเหล่านี้ ใช้ในการไล่ต้อนฝูงสัตว์
โดยมากจะเป็นสุนับพันธุ์พื้นเมือง ที่มีขนแผงคอคล้ายกับสิงโต เรียกว่า Mongolian Bankhar

สำหรับความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองมองโกเลียในปัจจุบัน เขามีการรวมตัวกันอยู่ที่ค่าย เรียกว่า Mongol Nomadic Ger Camp ซึ่งที่นี่เราจะได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองมองโกเลีย ซึ่งจะทำให้เข้าใจในวิถีชีวิตของเขาได้ดียิ่งขึ้น



การนอนที่พักแบบเกอนี้เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก แต่โดยมากมักจะเลือกที่พักแบบเกอที่ฝั่งของอุทยานแห่งชาติกอร์ไค-เทเรลจ์ (Gorkhi-Terelj National Park)

ซึ่งอยู่ด้านเหนือสุดของอูลาน บาตอร์ มากกว่าเพราะมีต้นไม้ให้หลบร่ม และแหล่งท่องเที่ยวมากกว่า ที่สำคัญมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้เชื่อมต่อโลกแห่งการสื่อสารได้อย่างคล่องตัว

สำหรับที่มองโกเลีย เราสามารถซื้อซิมเน็ต ราคาเพียง 5 ดอลลาร์ใช้ได้ 30 วันไว้ติดต่อสื่อสารได้ อินเทอร์เน็ตของที่นี่ก็เร็วชนิดที่ว่าดูวิดีโอภาพไม่มีกระตุกเลย สำหรับที่อุทยานแห่งชาติกอร์ไค เทเรลจ์ พื้นที่ส่วนใหญ่จะมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้คุณได้โพสต์ภาพสวยๆ ของมองโกเลียอวดเพื่อนได้ ที่พักของฉันฝั่งนี้ คือ Terelj Star Resort เป็นรีสอร์ตที่สวยงามมากทีเดียว

ภายในไม่มีเตาถ่านให้ความอบอุ่นแบบเกอดั้งเดิม แต่เป็นพื้นแบบฮีตเตอร์ที่สามารถปรับอุณหภูมิได้แทน มีอุปกรณ์อาบน้ำ ผ้าขนหนูและที่นอนที่นุ่มระดับโรงแรม 5 ดาว แถมมีระเบียงไว้นั่งชมดาว ติดอยู่นิดที่วันนี้อากาศที่หนาวเย็นติดลบหนักกว่าเดิม ติดลบไป 10 องศาเซลเซียส ทำให้ฉันสบตาดาวเหนือได้แวบๆ ก็ขอหลบไปซุกผ้าห่มอุ่นในเกอดีกว่า

ในโซนบริเวณที่พักแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายจุด ที่ฉันได้มีโอกาสแวะไปในเวลาที่จำกัดคือหินเต่า หรือ หินรูปเต่าขนาดใหญ่ (Turtle Rock) หรือ Melkhii Khad เป็นโขดหินขนาดใหญ่ที่การเรียงตัวคล้ายกับตัวเต่าสูงกว่า 24 เมตร

แถบนี้มีหินรูปร่างแปลกๆ มากมาย นอกจากรูปร่างแปลกตาไปตามจินตนาการของแต่ละคนแล้ว วิวด้านหลังของโขดหินเหล่านี้ที่มีภาพเป็นสวนสน สวยงามจับใจยิ่งนัก และถ้าขับรถเลยเข้าไปจนสุดทาง ก็จะเห็นวัดขนาดย่อมตั้งอยู่แนบชิดติดกับขุนเขาขนาดใหญ่

ที่นี่คือ Aryapala Temple Meditation Center ซึ่งเป็นสถานปฏิบัติธรรม ขุนเขาข้างหลังคือ Ivon Gol River Valley ตอนที่เห็นอารามตั้งอยู่บนเขา

พร้อมแนวบันไดกว่า 108 ขั้น ฉันแทบจะถอดใจที่จะไปนมัสการทีเดียว

แต่หลังจากที่ขึ้นไปด้านบนของอารามและหันกลับมาดูวิวแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมหลายคนถึงเรียกหุบเขาบริเวณนี้ว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งมองโกเลีย บรรยากาศและวิวดีสุดๆ อยากจะแนะนำให้มากันมากๆ เลย



ก่อนกลับเข้าตัวเมืองอูลาน บาตอร์ อยากให้แวะเที่ยวชม อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน (Genghis Khan Equestrian Statue) กัน ซึ่งที่นี่ได้สร้างขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 2008

โดยทางการมองโกเลียสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงความเกรียงไกรในอดีตชนชาติมองโกล ตั้งใกล้ฝั่งแม่น้ำตูล (Tull) ห่างจากกรุงอูลาน บาตอร์ ไปทางทิศตะวันออกราว 54 กิโลเมตร

เชื่อกันว่ามีการค้นพบแส้ทองของอดีตข่านผู้ยิ่งใหญ่ที่นี่ โดยอนุสาวรีย์นี้มีความสูงประมาณ 40 เมตร น้ำหนักกว่า 250 ตัน ซึ่งตัวรูปปั้นสร้างมาจากสเตนเลสที่สะท้อนแสงยิ่งยามที่พระอาทิตย์สาดส่องมาเต็มพิกัด เราจะเห็นอนุสาวรีย์นี้ส่องประกายสะท้อนวิบวับแต่ไกลเลยทีเดียว

ด้านในของอนุสาวรีย์บริเวณฐานมีการจัดแสดงนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์

พร้อมร้านให้เช่าชุดแบบมองโกเลียถ่ายภาพกันกับรองเท้าบูตที่มีความสูงกว่า 9 เมตร

รองเท้านี้ทำมาจากหนังจามรี 250 ชิ้น ข้างๆ กันนั้นมีเครื่องรางวางอยู่

เล่ากันว่าทหารของเจงกิสข่านแทบทุกนายจะแขวนเครื่องรางนี้ รวมถึงตัวของท่านเจงกิสข่านด้วย


เราสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงได้โดยการใช้บริการลิฟต์ที่จะพาเราขึ้นไป 3 ชั้น จากนั้นก็เดินบันไดต่อไปอีกสัก 20 ขั้นได้ สู่ด้านบนของรูปปั้นบริเวณอานม้าด้านหน้ารูปปั้นเจงกิสข่าน

อารมณ์ราวกับเราอยู่บนหลังม้าของท่าน และทอดสายตามองดูวิวผืนแผ่นดินภายใต้การปกครองของท่าน


สวยงามและยิ่งใหญ่มาก ข้างๆ เราก็เห็นรูปปั้นเหล่าทหารม้าอยู่ด้วย ถ้ามาในช่วงที่ท้องทุ่งเป็นสีเขียวคงสวยงามกว่านี้ยิ่งนัก

อีกหนึ่งจุดที่คุณสามารถชมความเกรียงไกรของอนุสาวรีย์เจงกิสข่านได้ก็คือบริเวณ จัตุรัสชุคบาตาร์ (Sukhbaatar Square)

ด้านหน้าตึกทำเนียบรัฐบาล ซึ่งที่นี่สร้างเป็นที่ระลึกให้กับ แดมดิน ชุคบาตาร์ (Damdin Sukhbaatar) ผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนมองโกเลีย และผู้บัญชาการกองทัพพลพรรคมองโกเลีย ในการปลดปล่อยอูลาน บาร์ตอ ระหว่างการปฏิวัติมองโกเลียในปี ค.ศ. 1921

ซึ่งรูปปั้นของชุคบาตาร์ก็ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังม้ากลางจัตุรัสเลย

ส่วนทางทิศเหนือที่เป็นอาคารหินอ่อนขนาดใหญ่ที่นี่คือ อาคารรัฐสภา (Government house) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2006 ในวาระครบรอบ 800 ปีแห่งการครองราชย์ของเจงกิสข่าน ด้านหน้าของอาคารจะมีบุคคลสำคัญ 3 ท่าน ทางทิศตะวันตกคือ โอกิไดข่าน (Ogedei Khan) คือ ลูกชายคนที่ 3 ของเจงกิสข่าน ส่วนทางทิศตะวันออกคือกุบไลข่าน (Kublai Khan) หลานชายของเจงกิสข่าน ตรงกลาง คือรูปปั้นของเจงกิสข่าน สำหรับลูกชายและหลานชาย ทั้งสองคนคือคนที่รับช่วงในการขยายดินแดนต่อจากเจงกิสข่าน

นอกจากนี้รอบๆ จัตุรัสยังมีสถานที่สำคัญอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นโรงละคร โรงแรมระดับ 5 ดาว พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ มีการจัดแสดงนิทรรศการและผลงานต่างๆ มากมายตลอดจนร้านค้า ขายของฝาก ของที่ระลึก เรียกได้ว่า มาที่นี่จุดเดียวเที่ยวได้ครบกันเลย

การมามองโกเลียครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่น่าประทับใจอย่างยิ่ง สำหรับมองโกเลียในความคิดใครหลายคน อาจจะเป็นประเทศที่ดูห่างไกลจากปลายทางแห่งการท่องเที่ยวมาก แต่ถ้าคุณได้เดินทางมาแล้วคุณจะพบว่ามองโกเลียมีอะไรมากกว่า ทะเลทรายโกบี มากกว่าทุ่งหญ้ากว้างสุดสายตา มากกว่าวัฒนธรรมประเพณีที่น่าสนใจ มากกว่าประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา นี่ขนาดฉันเดินทางมาในช่วงที่ท้องทุ่งหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาล แดดจัด แต่อากาศกลับติดลบ เรียกได้ว่าแค่บรรยายหลายคน อาจเบะปากว่ามาทำไม แต่บรรยากาศรอบข้างแบบนี้ มันมีเสน่ห์ที่เรียกได้ว่า สุดวิเศษ จนฉันอยากให้คุณลองมามองโกเลียสักครั้ง คุณจะรู้ว่ามองโกเลียยังมีเสน่ห์ในทุกเส้นทางแน่นอน
– มองโกเลียเวลาต่างจากเมืองไทย เร็วกว่า 1 ชั่วโมง ประกอบไปด้วย 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยแต่ละฤดูจะมีสภาวะของอากาศที่แตกต่างกันมาก ฤดูใบไม้ผลิเริ่มตั้งแต่ เดือนมีนาคม – กลางเดือนพฤษภาคม ฤดูร้อนตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม – ปลายเดือนสิงหาคม ฤดูใบไม้ร่วงจะมีขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคม ฤดูหนาวมีตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์ บางครั้งคุณจะสามารถสัมผัสถึง 4 ฤดูได้ในหนึ่งวัน และใน 1 ปี คุณจะได้รับแสงแดดและชมท้องฟ้าสีครามถึง 260 วัน มองโกเลียจึงเป็นที่รู้จักกันดีในนาม ดินแดนแห่งท้องฟ้าสีคราม
– มองโกเลียใช้สกุลเงินที่เรียกว่าทุกริก (Tugrik) รหัสคือ MNT อัตราแลกเปลี่ยน 1,000 ทุกริก เท่ากับ 13.25 บาทโดยประมาณ ที่เมืองไทยเราจะไม่มีเงินมองโกเลียให้แลกสามารถแลกเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) แล้วไปแลกเป็นเงินมองโกเลียได้ที่เคาน์เตอร์โรงแรมแทบทุกที่มีบริการแลกเงิน อยู่ที่ประมาณ 10 ดอลลาร์เท่ากับ 42,000 ทุกริก หรือ 51,000 ทุกริก แล้วแต่โรงแรม
– สำหรับคนไทย เดินทางไปมองโกเลียไม่ต้องทำวีซ่า และสามารถพำนักท่องเที่ยวได้ถึง 30 วัน
* ขอขอบคุณ สายการบิน มองโกเลียนแอร์ไลน์ (Mongolian Airlines -MIAT)
ภาพความสะดวกสบายภายในเครื่องบิน
ภายในท่าอากาศยานนานาชาติเจงกิสข่าน