Top of Africa at Kilimanjaro
Story & Photo by Kanjana Hongthong
2-3 ปีมานี่ ฉันเฝ้าวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แถวทวีปแอฟริกาอย่างไม่รู้เบื่อ เข้าประเทศโน้นออกประเทศนี้ จนใครๆ พากันถามว่า แอฟริกามีดีอะไรหรือถึงได้เทียวไปเทียวมาอยู่นั่นแหละ
เรื่องแบบนี้ต้องลองไปเอง แล้วจะรู้ว่าแอฟริกานั้นมีดีอย่างไร ส่วนฉันรู้แต่ว่า มีความสุขทุกครั้งที่ได้ขยับตัวเข้าเบียดแอฟริกา
หลังจากแวะเวียนไปแอฟริกาใต้ เคนยา แทนซาเนีย โมซัมบิก เซเชลส์ มอริเชียส ยูกันดา เอธิโอเปีย นามิเบีย บอตสวานา แซมเบีย ซิมบับเว ตูนิเซีย โมร็อกโก อียิปต์ ฉันก็รู้สึกว่า กำลังต้องมนตราแห่งแอฟริกาเข้าเสียแล้ว
แต่ไม่รู้ทำอีท่าไหน ฝันอย่างหนึ่งก็ผุดแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อจู่ๆ ก็นึกอยากจะไปพิชิตยอดเขาคิลิมันจาโรที่สูงที่สุดในทวีปแอฟริกา ไม่รู้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
และไม่รู้ว่าความอยากครั้งนี้ก่อตัวขึ้นตอนไหน รู้ตัวอีกที ก็จัดแจงเตรียมการทุกอย่างแบบพร้อมออกเดินทางแล้ว
จะว่าพร้อมก็ไม่เชิง เพราะเป็นการเตรียมตัวที่ค่อนข้างเยอะสิ่งมากกว่าการเทรกกิ้งทุกครั้ง
1. นอนเต็นท์ทุกคืนเพราะระหว่างทางไม่มีบ้านพัก
2. น้ำที่ดื่มระหว่างทางจะมาจากไหนจะแบกกันยังไง
3. มีหนึ่งวันที่ต้องเริ่มเทรกตอนเที่ยงคืนอากาศจะหนาวขนาดไหน
เห็นไหมว่าการบ้านที่ต้องทำมีเยอะมาก ที่จริงไม่ใช่แค่ 3 ข้อนี้หรอก แต่เบื้องต้นแค่เลือกบริษัททัวร์ก็เวียนหัวแล้ว เพราะมีหลายบริษัทที่ให้บริการพาขึ้นพิชิตยอดเขาคิลิมันจาโร กว่าจะเลือกกว่าจะเฟ้น กว่าจะเสาะหารายละเอียด เรียกว่าวุ่นเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะราคาค่าเทรกที่ว่าค่อนข้างแพงนั้น แต่ละเจ้าก็ชาร์จมาไม่เท่ากันอีก แต่ขอให้นึกซะว่า คุณภาพย่อมมาตามราคา
ยังมีเรื่องเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า และอุปกรณ์กันหนาว ที่ต้องพร้อมลุยและพร้อมรับสภาพอากาศหนาวเหน็บได้อย่างเต็มที่ อย่าลืมว่า การนอนในเต็นท์นั้น ต้องเผชิญหน้ากับความหนาวอย่างแน่นอน ก่อนออกเดินทางจึงต้องทำใจว่า งานนี้ไม่หมูเหมือนการเทรกทุกครั้ง
ที่แน่ๆ ต้องรับสภาพให้ได้ก่อนว่า ชีวิตหลังจากนี้ไปอีก 6 วัน จะไม่มีการอาบน้ำเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนห้องส้วมนั้นก็ขอให้เป็นไปตามยถากรรม เพราะเท่าที่สืบก่อนเดินทาง สุขาตามแคมป์นั้นพอมี แต่ก็ไม่สะอาดและไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้านแน่นอน การทำธุระกลางป่าเขา จึงเป็นแผนที่ฉันบรรจุไว้ในหัว
“เธอเตรียมยาไดอาม็อกซ์มาบ้างรึเปล่า” ริชาร์ด เจ้าของบริษัททัวร์ ซักไซ้ เขาว่าตามสถิติที่พาคนที่สามารถพิชิตยอดเขาคิลิมันจาโรนั้น ถ้าเตรียมยาไดอาม็อกซ์มากินด้วย 80% คือสามารถทำสำเร็จ เรื่องนี้ก็จัดว่ารอดตัว เพราะเรื่องนี้ฉันรู้ดีอยู่แล้ว เตรียมยาประเภทนี้มาสู้กับโรคแพ้ความสูงทุกทริปที่ไปเทรกกิ้ง แต่ความจริงใครเตรียมอะไรมาไม่ครบก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หลังจากเช็กลิสต์เสร็จ ทางบริษัททัวร์จะพาไปเก็บตกในทุกเรื่อง เป็นต้นว่าบางคนไม่ได้นำกระปุกน้ำมาจากบ้าน เขาจะพาไปเช่า แล้วเอามาคืนทีหลัง อย่าลืมว่า ที่นี่ห้ามนำขวดพลาสติกขึ้นไป ดังนั้นทุกคนต้องเตรียมกระปุกใส่น้ำไปให้เพียงพอ หลังจากเตรียมอุปกรณ์พร้อมเพรียงแล้ว ฉันก็มุ่งหน้าไปยังจุดออกตัวพร้อมกับทีมลูกหาบ ไกด์ ผู้ช่วยไกด์และพ่อครัวรวม 9 ชีวิต
สาเหตุที่ต้องใช้ทีมงานเยอะขนาดนี้ทั้งที่ลูกทัวร์แค่ 2 คน เพราะเขาต้องแบกเต็นท์ แบกอาหาร เก้าอี้ โต๊ะ และเครื่องอำนวยความสะดวกสบายทุกอย่างสำหรับลูกทัวร์ รวมถึงเป้ของลูกทัวร์ที่ถูกกำหนดไม่ให้หนักเกิน 15 กิโลกรัม อย่าลืมว่า เขาต้องแบกสรรพสิ่งอีกเพียบ ดังนั้น โปรดเขี่ยสิ่งไม่จำเป็นออกจากกระเป๋าซะเถอะ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคืออุปกรณ์กันหนาวที่ต้องเอาไปให้พร้อม
การเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาคิลิมันจาโรเริ่มขึ้นในรุ่งเช้าที่อากาศตีนเขาร้อนเหมือนอยู่บางกอก แดดแอฟริกาไม่ได้ร้อนอย่างเดียวแต่เผ็ดด้วย นั่นเป็นเหตุผลให้นักเดินเขาทุกคน เตรียมอุปกรณ์กันแดดกันมาครบเครื่องมาก
ประตูมาชาเมเปิดต้อนรับนักเดินเขาจากทั่วมุมโลก ทุกคนต้องมาลงทะเบียนที่นี่ และหลังจากนี้ไกด์บอกว่า จะมีจุดลงทะเบียนที่ทุกคนต้องไปบันทึกในทุกแคมป์ ฝ่ายลูกหาบก็ต้องไปต่อคิวเพื่อชั่งน้ำหนัก สัมภาระของทุกคน ซึ่งห้ามเกิน 20 กิโลกรัม เด็ดขาด เรื่องนี้พอไปยืนดูถึงได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่เข้มมาก
โดยรวมๆ ของเส้นทางมาชาเมนั้น ในระยะ 6 วัน 5 คืนจะเป็นเดินและเทรกสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ ไต่ระดับเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว จากประตูมาชาเม
วันแรกเดินผ่านป่าฝนที่มีทั้งมอส เฟิร์น สวยงามเพลิดเพลิน คืนแรกก็ไปตั้งแคมป์กันที่ระดับเกือบ 3 พันเมตร ถึงแม้จะเป็นระดับ 3 พันเมตร แต่เรื่องหนาวก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน เพราะทันทีที่ออกมานอกเต็นท์ ลมหนาวก็พุ่งเข้ามาจู่โจมทันที
เมื่อขึ้นมาแล้ววันแรกก็พบว่า เรื่องอาหารการกินนั้นหายห่วงจริงๆ เพราะแต่ละกรุ๊ปจะมีพ่อครัวและบัตเลอร์ประจำเต็นท์ ที่คอยเสิร์ฟข้าวปลาอาหารให้ทุกมื้อ คอยไปตักน้ำมาจากแหล่งน้ำแล้วคอยเติมน้ำดื่มในแต่ละวันให้ แม้แต่ตื่นนอนตอนเช้าเขาก็จะคอยปลุก และนำน้ำอุ่นมาให้ล้างหน้าล้างตา เรียกว่านอนเต็นท์ แต่ใช้ชีวิตเหมือนวีไอพีจริงๆ
จากมาชาเม แคมป์ เรามุ่งหน้าเดินไต่ระดับความสูงกันต่อ วันนี้จุดหมายไปนอนกันที่ชิรา แคมป์ซึ่งสูงราวๆ 3,800 เมตร สำหรับบางคนที่ดื่มน้ำน้อย หรือไม่ได้กินยาไดอาม็อกซ์ มาถึงแคมป์นี้อาจจะรู้สึกเริ่มปวดหัว ดังนั้นระหว่างทางเดิน ทุกครั้งที่หยุด ไกด์จะคอยกระตุ้นให้จิบน้ำตลอดเวลา
“น้ำคือยาที่ดีที่สุดเวลาที่คุณเทรกกิ้ง” เขาว่าอย่างนั้น เพราะกลัวป่วย และไปไม่ถึงจุดหมายของทริปนี้ ฉันจึงคอยเตือนตัวเองทุกครั้งที่หยุดให้จิบน้ำตลอดเวลาระหว่างทางเดินไปชิรา แคมป์ก็งามใช่ย่อย เริ่มมีพืชพรรณแปลกให้ดูมากขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อมาถึงแคมป์นี้ ฉันก็แทบไม่อยากออกมานอนเต็นท์อีกแล้ว เพราะอากาศเย็นเฉียบเหมือนเปิดแอร์ 3 ตัวพร้อมๆ กัน ที่ทำได้คือผลุบเข้าเต็นท์อาหาร เสร็จแล้วผลุบเข้าเต็นท์นอนเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น เรายังคงรักษาสปีดการเดินแบบช้าๆ ต่อไป เพราะวันนี้จุดหมายอยู่ที่บาร์รันโค แคมป์ที่ระดับความสูงเกือบ 4 พันเมตรก็จริง แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น ระหว่างทางต้องไต่เขาผ่านลาวา ทาวเวอร์ ฮัท ที่ระดับความสูงเหนือ 4,600 เมตร
ไกด์บอกว่า บางคนเดินมาถึงจุดนี้แล้วป่วยเป็นอัลติจูด ซิกเนส เดินต่อไปไม่ไหว เพราะทางจะเริ่มโหด และระดับความสูงเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเดินช้าๆ สูดหายใจลึกๆ ดื่มน้ำเยอะๆ
แต่ปัญหาคือมาถึงจุดนี้ฉันพบว่า การกินอาหารเริ่มทำได้ยากขึ้น ไม่ใช่เพราะอาหารไม่อร่อย แต่บางทีระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นทำให้ความอยากในการกินอาหารเริ่มลดลง ขณะเดียวกัน การนอนก็เริ่มทำได้น้อยลงเช่นกัน ทั้งอากาศหนาวและออกซิเจนบางขึ้นเรื่อยๆ
ในรุ่งเช้าเราค่อยๆ เดินฝ่าความหนาว ไต่หน้าผาที่ชันและสูงมาก จุดหมายอยู่ที่บาราฟู แคมป์ ที่ระดับ 4,650 เมตร เท่าที่จำได้ วันนี้ยังไม่ใช่ วันที่สาหัสที่สุด แต่ก็โหดจนน่าจดจำ เส้นทางขึ้นลงชันมาก แต่นั่นไม่หนักหนา เท่าระดับความสูงที่ต้องไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ เดินสองสามก้าวก็หอบแล้ว
เมื่อถึงที่บาราฟู แคมป์ ก็ล่วงเข้าไปราว 6 โมงเย็นแล้ว ความเหนื่อยฉุดให้เข้าเต็นท์นอนและแทบไม่อยากจะทำอะไรอีกเลยนอกจากนอน ที่จริงก็ควรรีบนอน เพราะคืนนี้ต้องตื่นตอน 5 ทุ่มครึ่ง เพื่อเริ่มเทรกกันตอนเที่ยงคืน เพื่อเดินไต่เขาฝ่าความมืดให้ขึ้นถึงยอดเขาอูฮูรูที่ระดับ 5,895 เมตร ในรุ่งเช้า
ไม่มีอะไรให้ต้องบิดพลิ้ว ต้องตื่นตามเวลา มาต่อสู้กับความหนาวอันแสนสาหัส วันนั้นถมเสื้อกันหนาวทั้งเป้มาห่อตัวไว้ เดินฝ่าความมืด เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ค่อยๆ เดินค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ ปีน ในที่สุด ก็ไปจนถึงจุดสูงสุดของทวีปแอฟริกาจนได้
ความจริงวันนั้น เกือบจะยอมแพ้แล้ว เพราะเริ่มหายใจไม่ทัน เรี่ยวแรงและอากาศเริ่มพร่องตั้งแต่ระดับ 5 พันเมตร มีเพียงความฝันอันยิ่งใหญ่เท่านั้นแหละที่ประคองหัวใจไปจนถึงจุดสูงสุดของแอฟริกาที่ 5,895 เมตรได้
– สายการบินเคนยา แอร์เวย์ส มีเที่ยวบินไปคิลิมันจาโรทุกวัน โดยต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่ไนโรบี บินจากกรุงเทพฯ ประมาณ 8 ชั่วโมง แวะยืดเส้นยืดสายประเดี๋ยวเดียวก็บินต่ออีกราวชั่วโมงเศษก็ถึงคิลิมันจาโร
– บริษัทที่พานักท่องเที่ยวเทรกกิ้งขึ้นพิชิตยอดเขาคิลิมันจาโรนั้นมีหลายบริษัท แต่แนะนำบริษัทซาฟารี ฮีโรส์ ราคาไม่แพงจนเกินไป บริการดี หรือถ้าอยากสำรวจบริษัทอื่นด้วย มีบริษัทโมจิ เป็นตัวแทนในการแมตชิ่งระหว่างนักท่องเที่ยว กับทราเวล เอเย่นต์