7 incredible buildings

หลายครั้งที่ผมออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองต่างๆ สิ่งหนึ่งที่มักจะมองหานอกจากพิพิธภัณฑ์ที่เข้าไปเพื่อทำความรู้จักเมืองนั้นๆ มากขึ้นแล้ว การได้มองดูอาคารสถานที่ของแต่ละเมืองแต่ละประเทศ ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่มักจะเลือกทำเสมอ สถาปัตยกรรมดีไซน์ สวยแปลกทั่วโลก ที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างออกมาได้จริง บางอาคารก็สวย บางอาคารก็สร้างสรรค์ได้ไม่เบาเลย บางอาคารเรียกได้ว่าท้าทายกฎฟิสิกส์สุดๆ ไปเลย ผมขอเลือกมาสัก 7 อาคาร ให้ทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจไปกับความแปลกใหม่ของอาคารเหล่านี้กัน

บุรจญ์อัลอาหรับ (Burj al Arab)
ตึกบุรจญ์อัลอาหรับ เป็นโรงแรมที่หรูหรา 7 ดาว เพียงแห่งเดียวในโลก อยู่ในนครรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สร้างขึ้นบนเกาะเทียมที่ถูกถมขึ้นห่างจากชายฝั่ง จูไมราบีช 280 เมตร และเชื่อมต่อด้วยสะพานที่มีลักษณะโค้ง สร้างเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ตัวตึกสูงกว่า 320 เมตร

เป็นโรงแรมที่สูงที่สุด อันดับที่ 4 ของโลก และมีความสูงเป็นอันดับที่ 57 ของโลก ทอม ไรต์ (Tom Wright) ผู้เป็นสถาปนิก ตั้งใจออกแบบตึกให้มีลักษณะโครงสร้างให้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองดูไบ แบบเดียวกันกับที่โอเปราเฮาส์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของนครซิดนีย์ หรือหอไอเฟล ที่เป็นสัญลักษณ์ของนครปารีส

โดยตัวอาคารเลียนแบบมาจากใบของเรือใบดาว (Dhow) หรือเรือใบเดินทะเลของชาวอาหรับ ซึ่งตัวตึกมีเสา 2 เสาแยกออกมาเป็นรูปตัว V ในขณะที่ช่องว่างระหว่างตัววี (V) ส่วนหนึ่งก็ปิดให้เป็นห้องใหญ่ และแบ่งออกเป็นชั้น ชั้นบนจะมีบริเวณจอดเฮลิคอปเตอร์ โดยยื่นออกมาจากตัวโรงแรม

ภายในตกแต่งหรูหราตั้งแต่โถงทางเดิน ห้องพักร้านอาหาร ลิฟต์ ไปจนถึงห้องน้ำ บันไดในห้องทำจาก หินอ่อนและทองคำ พรมลายเสือดาว ลิฟต์ส่วนตัว และเตียงนอนซึ่งตั้งอยู่บนแท่นที่หมุนได้ พร้อมห้องดูภาพยนตร์ส่วนตัว ห้องพักที่เล็กสุดมีขนาด 169 ตารางเมตร และห้องใหญ่สุดมีขนาด 780 ตารางเมตร โดยราคาค่าที่พักอยู่เริ่มต้นที่ $1,000 – $15,000 ต่อคืน และห้องที่แพงสุดจะอยู่ที่ราคา $28,000 หรือ ราวๆ 980,000 บาท ต่อคืน

ร้านอาหารที่ถือว่าเป็นสุดยอดของตึกนี้ คือ ร้านอัล มาฮารา แอท นาธาน เอาต์ลอว์ (Nathan Outlaw at Al Mahara) เชฟชื่อดังจากอังกฤษ ที่ที่สามารถกินอาหารทะเลสดใหม่ ท่ามกลางปลาน้อยใหญ่ที่อยู่ในตู้ปลาขนาดใหญ่ภายในร้านอาหารนั่นเอง ร้านอาหารเริ่มเสิร์ฟมื้อเที่ยงเวลา 12.30 – 15.30 น. และ มื้อเย็นเวลา 19.00 – 23.30 น. โรงแรมเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่เนื่องด้วยโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะเทียมส่วนตัว หากใครที่จะผ่านเข้าไปบนเกาะจึงต้องมีใบจองห้องพักหรือใบจองร้านอาหารถึงข้ามไปได้

คาซา มิลา (Casa Mila)
คาซา มิลา หรือบ้านของครอบครัวมิลา เรียกได้ว่าเป็นอาคารที่อยู่อาศัยแสนประหลาด เป็นแลนด์มาร์กของเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เจ้าของผลงานการออกแบบอาคารแห่งนี้คือ อันตอนี เกาดี (Antoni Gaudi) สถาปนกิ ชาวกาตาลผู้สร้างมหาวิหารซากราดาฟามิเลีย (The Sagrada Familia) โบสถ์ที่สร้างมาแล้ว 136 ปีและยังคงสร้างไม่เสร็จจนถึงทุกวันนี้

เจ้าของคือ Pere Mila และ Roser Segimon แนวคิดของการออกแบบอาคารคือ มาจากธรรมชาติ คลื่น ภูเขา และแรงบันดาลใจจากถ้ำที่พักอาศัยของชาวแอฟริกันบนหน้าผาอันสูงชัน ทำให้ฉีกกรอบของการสร้างตึก โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นทื่อ เกิดเป็นตัวอาคารที่ผนังโค้งเป็นคลื่น การทาสีผนังด้านในให้เหมือนอยู่ในทะเล หรือทาสีเพดานเป็นรูปดอกไม้สีสันสวยประหลาด

การกำหนดแสงสว่างให้ส่องทั่วถึงด้วยการทาสีผนังด้วยสีเข้มไปจนอ่อนเพื่อควบคุมความสว่างของห้อง ระเบียงซึ่งมีลักษณะคล้ายถ้ำ และตรงกลางเป็นปล่องลึกลงไป บนดาดฟ้ามีรูปปั้นหน้าตาแปลกประหลาดอยู่มากมาย ตื่นตากับนานารูปปั้นรูปทรงแปลกตา บนดาดฟ้าที่คุณสัมผัสทิวทัศน์ได้ 360 องศา สำหรับหน้าต่างและระบบระบายอากาศแบบธรรมชาติทำให้ไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ รวมไปถึงงานเหล็กดัดรอบตัวอาคารด้านนอกซึ่งเป็นผลงานของ Josep Maria Jujol ผู้ช่วยคนสำคัญของคุณเกาดี

อาคารนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 5 ปี ปัจจุบันที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกในปี 1984 และเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเดินเยี่ยมชมบริเวณ ตึกรวมถึงขึ้นไปชมวิวเมืองบาร์เซโลนาแบบ 360 องศาบนยอดตึกได้ด้วย โดยเสียค่าเข้าชมผู้ใหญ่ราคา 22 EUR นักเรียนราคา 16.50 EUR ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปราคา 16.50 EUR เด็กอายุ 7 – 12 ปีราคา 11 EUR เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบไม่เสียเงิน เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 09.00 – 18.00 น.

เดอะ แดนซิง เฮาส์ (Dancing House)
เดอะ แดนซิง เฮาส์ หรือตึกเต้นรำสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความคลาสสิกของเมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก อย่างโดดเด่นและลงตัว สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1996 โดย สถาปนิกชื่อดังวัลโด มิลูนิค (Vlado Milunic) กับ แฟร็งค์เกฮรี่ (Frank Gehry) สองผู้ออกแบบได้ตั้งตามชื่อของนัก เต้นรำชาวอเมริกัน 2 ท่าน ได้แก่ เฟรด แอสแตร์ (Fred Astaire) และ จิงเจอร์ โรเจอร์ส (Ginger Rogers) ทำให้แต่เดิมตึกแห่งนี้มีชื่อว่า เฟรด แอนด์ จิงเจอร์ (Fred and Ginger) แต่ชื่อนี้ปัจจุบันไม่นิยมใช้กันแล้ว

อาคารมีลักษณะโค้งงอนี้ ได้แรงบันดาลใจจากสรีระร่างกายของนักเต้นชายหญิงที่บิดพลิ้วอย่างสวยงาม โดยตัวอาคารที่มีลักษณะคล้ายหอคอย ใช้วัสดุในการสร้างเป็นปูนซีเมนต์ เป็นภาพแทนของนักเต้นฝั่งชาย ซึ่งเชื่อมต่อกับอาคารรูปทรงโค้งงอ ใช้กระจกเป็นวัสดุหลัก ดูดึงดูดราวกับร่างกายของเพศหญิง

ภายในอาคารยังมีร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อดังอย่าง ร้านเซเลสเต้ (Celeste) ที่มีอาหารอร่อยๆ ให้เลือกกินหลากหลาย สามารถแวะไปดื่มเครื่องดื่มที่บาร์แล้วขึ้นไปกินอาหารสุดหรูบนชั้นดาดฟ้าของตึกแห่งนี้ได้ หรือใครอยากจะลองเข้าพักที่ตึกแห่งนี้ก็มีโรงแรมให้บริการเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นร้านอาหาร หากชมสถาปัตยกรรมของตัวอาคารจากภายนอกจะ ไม่เสียค่าเข้าชม ทุกวัน 11.30 – 24.00 น. ภายในอาคาร ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ส่วนตัว สำหรับร้านอาหารเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 07.00 – 24.00 น.

คิวบ์ เฮาส์ (Cube House)
คิวบ์ เฮาส์ (Cube House หรือ Kubuswoningen ในภาษาดัตช์) ตั้งอยู่ที่เมืองรอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมการออกแบบที่อยู่ อาศัยที่ล้ำสมัยเป็นอย่างมาก เป็นผลงานการออกแบบโดย Piet Blom สร้างเสร็จ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 ซึ่งสถาปนิกพยายามตีโจทย์ว่าจะใช้พื้นที่อย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเขาออกแบบให้บ้านเป็นรูปทรงลูกบาศก์ สีเหลืองเอียง 45 องศา ลักษณะเป็นลูกบาศก์ 38 ลูก มาประกอบติดกันแต่ละยูนิต

นั้นคือตัวแทนของต้นไม้หนึ่งต้น และเมื่อมารวมกันทั้งโครงการก็เปรียบเสมือนป่า ทั้งผืนนั่นเอง ภายในโครงการมีพื้นที่ด้านล่างเชื่อมต่อกันเป็นบริเวณสาธารณะ ส่วนลูกบาศก์ด้านบนแทนพุ่มต้นไม้ ก็คือส่วนพักอาศัย แต่ละยูนิตจะมีบันไดทางขึ้นจากส่วน ลำต้นที่แยกจากกัน โดยบ้านแต่ละหลังจะมีทั้งหมด 3 ชั้น กลุ่มอาคารดังกล่าวมีผู้อยู่อาศัยจริง โดยหนึ่งหลังเปิด เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับนักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-17.00 น. ค่าเข้าชม 3 ยูโร

ซึ่งการออกแบบตกแต่งภายในก็จะเหมือนกับบ้านหลังอื่นๆ ดูรูปทรงอาจแปลกตา แต่มีพื้นที่ใช้สอยถึง 100 ตารางเมตรเลยทีเดียว ใครสนใจพักสามารถพักได้ ซึ่งเดิมในปี 2009 สองยูนิตที่มีขนาดใหญ่สุด (Supercube) มีแผนจะทำเป็นสถาบันการศึกษาด้านสถาปัตยกรรม ต่อมาได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นโฮสเทลชื่อ Stayokay Rotterdam มีห้องพักทั้งแบบห้องเตียงรวมและห้องส่วนตัว นอกจากนี้ ยังมีบางยูนิตที่เปิดบ้านให้เช่าพักอาศัยผ่านทาง airbnb นอกจากที่พักอาศัยแล้วในโครงการนี้ยังประกอบด้วย Schaakstukken Museum หรือพิพิธภัณฑ์หมากรุก ที่เปิดบริการทุกวัน ค่าเข้าชม 2 ยูโร

ฮาบิแทท 67 (Habitat 67)
ฮาบิแทท 67 หรืออะพาร์ตเมนต์โมดูลาร์ ตั้งอยู่ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา มี ลักษณะแบบเลโก้ ซึ่งออกแบบโดย โมเช ซาฟดี (Moshe Safdie) สถาปนิกชาวอิสราเอล-แคนาเดียนในปี ค.ศ. 1967 ในปีนั้นมอนทรีออลได้เป็นเจ้าภาพการจัดงาน World’s Fair หรือ World Expo โดยธีมของงานเป็นธีมที่ว่า เราจะอยู่กันอย่างไรในช่วงหลังปี 67 โดย ฮาบิแทท 67 เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของโมเช ซาฟดี ที่ศึกษาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและระบบโมดูลาร์ 3 มิติ สามารถเข้ากันได้กับธรรมชาติ

ลักษณะของอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้จะคล้ายกับภูเขา 3 ลูกเรียงติดกันที่เกิดจากโมดูลหลากหลายขนาดมาซ้อนกันแต่ไม่เท่ากัน ยื่นออกมาเป็นส่วนๆ ดูไม่เป็นระเบียบแต่โดดเด่น ถึง 8 ชั้น โดยอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีคนพักอาศัยอยู่จริง เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของคอนโดมิเนียมในทุกวันนี้ก็ว่าได้ ภายในอะพาร์ตเมนต์ได้รับการตกแต่งเหมือนบ้านทั่วไป มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่จุดอ่อนคือ ยังอยู่ไกลเขตเมือง ทั้งห้างสรรพสินค้า ขนส่งมวลชนเช่นรถไฟฟ้า เราสามารถเข้าไปชมได้โดยไม่เสียค่าเข้าชม

โซลาร์ เฟอร์เนซ (Solar Furnace)
โซลาร์ เฟอร์เนซ หรือเตาแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เมืองโอเกโล ฝรั่งเศส เป็นเตารังสีแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูงอยู่ที่ 54 เมตร กว้างกว่า 48 เมตร ประกอบไปด้วยกระจกพาราโบลา หรือกระจกโค้ง 63 ชิ้นวางต่อกันทำหน้าที่สะท้อนแสงเพื่อไปรวมศูนย์กลางไว้ตรงจุดโฟกัส (focus) ซึ่งจุดนี้มีอุณหภูมิถึง 3,500 °C (6,330 °F) เพื่อใช้สร้างกระแสไฟฟ้า ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 6 ปี นอกจากสถานที่ดังกล่าวได้รับการคัดเลือกจากความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร แถมยังประหยัดพลังงานได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ที่นี่ยังตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม ซึ่งกระจกพาราโบลานั้นจะสะท้อนต้นไม้ ภูเขารอบด้าน ทำให้ตัวตึกดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติโดยรอบ ดูสวยงามลงตัวเป็นอย่างมาก ที่สำคัญไม่เสียค่าเข้าชม

อาคารอะโตเมียม (Atomium)
อาคารไฮเทคแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม มีความสูง 330 ฟุต ประกอบวยวัตถุทรงกลม 9 ลูก แต่ละลูกมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 18 เมตร รวมน้ำหนักเบ็ดเสร็จแล้ว นวัตกรรมนี้หนัก 2,400 ตัน แปลนของอาคารได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกสองคนพี่น้อง อันเดร (Andre) กับ จีนส์ โพเลก (Jean Polak) และมีวิศวกร อันเดร วอเตอร์กยน (Andre Waterkeyn)

ได้รังสรรค์ผลงานในฝันของชาวเบลเยียมชิ้นนี้ให้เป็นความจริง โดยใช้เวลากว่า 18 เดือน ในการออกแบบภายในลูกกลมๆ ของอะโตเมียม แบ่งเป็นส่วนต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น จุดชมวิวที่ให้คุณสามารถขึ้นไปชมความสวยงามของวิวทิวทัศน์ของกรุงบรัสเซลส์ ห้องอาหาร

ห้องแสดงนิทรรศการ และตรงแกนกลางให้บริการด้วยลิฟต์ที่ว่ากันว่าเป็นลิฟต์ที่เร็ว ที่สุดในยุโรป 5 เมตรต่อวินาที บรรจุคนได้ 22 คนในหนึ่งรอบการใช้งาน สถานที่แห่งนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติในศตวรรษที่ 20 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกหลังความบอบช้ำจากสงคราม

โดยมีการจัดงานเอ็กซ์โป 1958 เมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1958 เพื่อแสดงศักยภาพทางเทคโนโลยี เป็นเครื่องหมาย เเละเเสดงถึงความหมายของการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วของเบลเยียมสู่เทคโนโลยีใหม่ โดยในปี ค.ศ. 2003 นั้นรัฐบาลเบลเยียมก็ได้จัดการบูรณะอะโตเมียมใหม่ทั้งภายนอกและภายใน ให้ที่นี่มีความสวยงามเเละทันสมัยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0