Go to GALLE
Story & Photo by Kanjana Hongthong
ใครๆ ก็บอกว่าศรีลังกาคือหยดน้ำตาของมหาสมุทรอินเดีย ถ้าศรีลังกาเป็นหยดน้ำตา คงเป็นหยดใหญ่กว่ามัลดีฟส์หลายเท่า ก็ดูขนาดประเทศสิ หยดของศรีลังกาเป็นหยดเบ้อเริ่ม แต่มัลดีฟส์เป็นฝอยกระจายพันกว่าหยด
หลายคนใช้ศรีลังกาเป็นทางผ่านไปหาอินเดียตอนใต้ หรือไม่ก็เป็นประตูไปสู่เกาะสวาทหาดสวรรค์อย่างมัลดีฟส์
แต่ศรีลังกาเที่ยวล่าสุดของฉัน ตั้งใจพุ่งตรงไปหาศรีลังกา โดยมุ่งหวังว่าเที่ยวนี้ยังไงต้องเลาะเลี้ยวลงไปให้ถึงทางตอนใต้ของศรีลังกาให้ได้
ศรีลังกาเที่ยวก่อนๆ ทำให้ฉันรู้ว่า เสน่ห์ของศรีลังกานั้นรุนแรงไม่แพ้อินเดีย เนปาล และปากีสถาน ทั้งความเข้มขลัง ความคลาสสิก ความอลังการ และความสงบงามแห่งดินแดนพุทธศาสนาเติมแต่งคลุกเคล้าให้ศรีลังกากลายเป็นประเทศเจ้าเสน่ห์ไปโดยปริยาย
จริงอยู่ที่หน้าตาของศรีลังกา วันนี้อาจเปลี่ยนไปบ้าง โดยเฉพาะโคลัมโบที่พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้ามากมาย
ภาพที่เห็นจึงเป็นสิ่งก่อสร้างทันสมัยผสมผสานกับวัฒนธรรมเก่าแก่
ที่นี่เคยเป็นฐานที่มั่นของเจ้าอาณานิคมตะวันตกทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นโปรตุเกสหรืออังกฤษ โคลัมโบที่เห็นในวันนี้ จึงไม่เพียงเป็นเมืองหลวง ที่มีการจัดวางผังไว้ดีเยี่ยม แต่ยังมีตะกอนและริ้วรอยแห่งอดีตเหลือทิ้งไว้จากผู้ล่า
รอยร้าวระหว่างเชื้อชาติของชาวศรีลังกานั้นเกิดขึ้นมาเนิ่นนานกว่า 20 ปีเป็นเพียงอดีตไปซะแล้ว เพราะศรีลังกาวันนี้ ปลอดภัยและสงบสุข
ที่ผ่านมา คงเป็นเพราะความหลากหลายของผู้คนนั่นเอง ราว 70% เป็นชาวสิงหลซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนอีกประมาณ 20% เป็นชาวทมิฬที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย และนับถือศาสนาฮินดู และมุสลิมประมาณ 7% ส่วนที่เหลือเพียงเล็กน้อยเป็นชาวคริสต์
เรื่องของเรื่องคือ ชาวทมิฬเกิดอยากจะขอแบ่งแยกดินแดนเป็นของตัวเอง แต่ชาวสิงหลไม่ยอม เลยต้องทำสงครามสู้รบกันมายาวนาน ผลพวงจากการสู้รบที่มีเป็นระลอก ทำให้ถนนหนทาง หลายสายในศรีลังกายังอยู่ในสภาพขรุขระ ขนาดโคลัมโบซึ่งเป็นเมืองหลวง ยังชำรุดทรุดโทรมเกินบรรยาย นั่นเป็นเพราะรัฐบาลขาดงบประมาณมาดำเนินการพัฒนาปรับปรุง
มาถึงศรีลังกาแล้วไม่ได้ไปเที่ยววัด คงเหมือนขาดอะไรไปอย่างที่รู้กันว่าไทยและศรีลังกานั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก และเพราะความที่เป็นชาวพุทธด้วยกันนี่เอง หากจะย้อนไปมองอดีตกันแล้ว ก็แทบจะเรียกได้ว่าไทยและศรีลังกานั้น มีความสัมพันธ์แนบแน่นกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
เท่าที่รู้ ศรัทธาของชาวศรีลังกานั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้ชาวพม่าและไทย ชาวศรีลังกานั้นทำบุญปฏิบัติธรรมเป็นกิจวัตร นี่ถ้ามาเจอช่วงวันพระ จะเห็นชัดยิ่งกว่านี้ เรียกว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะมีแต่คนนุ่งขาวห่มขาวเข้าวัดปฏิบัติธรรมกัน
เดินทอดน่องรอบๆ วัดในโคลัมโบได้ไม่เท่าไร ก็ยิ่งทำให้ฉันเชื่อว่าชาวศรีลังกาสนิทแนบแน่นกับคนไทยในทางพุทธศาสนาเป็นอย่างดี เพราะมีคนไทยหลายคนนำพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไปตั้งเรียงรายอยู่บนกำแพงวัดแห่งนี้มากมายหลายองค์
สำหรับพุทธศาสนิกชนผู้ยึดมั่นในพุทธศาสนาทุกคน จึงเป็นอันรู้กันว่าศรีลังกาคือประเทศที่อาบอวลไปด้วยศรัทธาของผู้คน และเมืองที่จะทำให้เชื่ออย่างนั้น คงต้องไปที่แคนดี้ เมืองที่เป็นเหมือนที่ทางของศรัทธาแห่งชาวพุทธ
ใครลองได้ทาบสองเท้าลงบนเมืองแคนดี้ คงสัมผัสได้ว่าชาวศรีลังกาไม่เคยพาใจออกห่างจากศาสนา ในเวลาเดียวกันก็เป็นเมืองที่แนบชิดกับธรรมชาติสุดๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ฉายา City on The Hill
ไม่ต้องขยับตัวอะไรมาก แค่เดินเกร่อยู่หน้าวัดพระเขี้ยวแก้วประเดี๋ยวเดียว กับคำกล่าวที่ว่าวัดเป็น “ศูนย์รวมจิตใจ” ของชาวเมือง ก็ดูมีน้ำหนักและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันที
เพราะที่นี่ใครๆ ก็มีชีวิตเพื่อยึดมั่นในพุทธศาสนา เมืองเนิบๆ แบบนี้ เช้า สาย บ่าย ค่ำ คือเวลาที่ชาวเมืองทยอยมาสวดมนต์ภาวนา ไหว้พระ ขอพรกันแทบไม่ขาดสาย
ถ้าพูดกันบ้านๆ ก็อาจจะบอกได้ว่า คนศรีลังกาชอบเข้าวัดทำบุญกันชนิดเข้าเส้น ไม่ต้องรอให้อกหักรักคุดหรือมีบาดแผลทางใจจนต้องรอให้ศาสนามาช่วยเยียวยา หรือรอให้เนื้อหนังมังสาเหี่ยวย่นก่อน
ถึงจะหันหน้าเข้าหาวัดอย่างหลายคนในบ้านเรา แต่เที่ยวนี้ฉันตั้งใจเดินทางไปสำรวจเมืองทางตอนใต้ของศรีลังกาอย่างเมืองกอลล์ นี่คือเมืองริมทะเลที่มีความหลากหลายทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
เรียกว่าถ้าอยากจะสัมผัสกลิ่นอายของศรีลังกาในยุคอาณานิคมต้องมาเดินเล่นที่เมืองกอลล์ อย่าลืมว่าศรีลังกาเคยถูกปกครองโดยชาติตะวันตกมายาวนานนับ 100 ปี ทำให้ที่นี้มีมรดกยุคอาณานิคมหลงเหลืออยู่เกลื่อนเมือง
เดินจิบลมทะเลจากมหาสมุทรอินเดียเสร็จ เลยเข้าไปทอดน่องท่องเมืองเก่าไปเรื่อยเปื่อย ถึงได้พบว่าอาคารบ้านเรือนนั้นเก่าแก่คลาสสิกเหลือเกิน เป็นเมืองสไตล์โคโลเนียลที่ทุกวันนี้ถูกดัดแปลงเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และเรือนพักเยอะมาก นี่คือเมืองที่ได้รับการวางผังเมืองเป็นอย่างดี มีถนน เป็นรูปตารางสี่เหลี่ยม ระหว่างทางมีทั้งโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ ให้แวะชม
แค่รถตุ๊กๆ ของเมืองนี้ก็อวดสีสันฉูดฉาดแล้ว แต่คนมาเมืองกอลล์ ส่วนใหญ่ก็ต้องไปที่ป้อมปราการแห่งเมืองกอลล์ เพราะนี่คือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดยชาวโปรตุเกสสมัยเข้าปกครองศรีลังกาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งถือเป็นยุคล่าอาณานิคมของประเทศจากฝั่งตะวันตก
เดิมทีจะเป็นแค่กำแพงดินและรั้วไม้อยู่บนหน้าผา มีหอคอย ทั้งหมด 3 แห่ง ต่อมาเมื่อชาวดัตช์เข้ามาปกครองก็ได้บูรณะเป็นกำแพงหินแกรนิตที่แข็งแรงขึ้น และสร้างหอคอยเพิ่มเป็น 14 จุดและขยายความยาวไปตามแนวทะเลที่โอบเมืองไว้ ทุกวันนี้ ป้อมปราการแห่งนี้เป็นป้อมที่ใหญ่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในเอเชีย และได้ถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก
ยังมีโบสถ์ดัตช์ รีฟอร์มซึ่งเป็นหนึ่งในโบสถ์นิกายโปรเตสแตนต์ที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในศรีลังกา โบสถ์นี้สร้างตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ภายในตกแต่งอย่างงดงาม ที่จริงในตัวเมืองกอลล์มีทั้งโบสถ์ สุเหร่า และวัดวาอารามอยู่หลายแห่ง แต่แค่เดินเล่นในเมืองเก่าเชื่อเถอะว่าก็หลงเสน่ห์เมืองกอลล์เลย
แต่มาถึงเมืองทางใต้ของศรีลังกาแล้ว คลื่นลมแถวนี้ถือว่าแรงพอที่นักเล่นเซิร์ฟจะสามารถลงไปโต้คลื่นได้อย่างสนุกสนาน คนรักคลื่นลมรับรองมาแล้วเล่นเซิร์ฟสนุกแน่
เป็นศรีลังกาที่ฉันได้ลัดเลาะลงมาถึงทางใต้ของแผนที่ศรีลังกา และไม่ได้หยุดอยู่แค่เมืองกอลล์ ยังมีโอกาสแวะเวียนไปแถวเมืองคาลูทารา และเมืองเตงกอลล์ เมืองที่เงียบสงบ มีชายหาดที่งดงาม เหมาะแก่การทำกิจกรรมทางน้ำมากมาย พูดเลยว่าเป็นศรีลังกามหาสนุกจริงๆ เที่ยวนี้