Frankfurt Manhattan in Germany
Story & Photo by Kanjana Hongthong
ใครๆ ก็เรียกแฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt) ว่าเป็น “แมนฮัตตันแห่งเยอรมนี” แต่บางคนก็เรียกว่า “เส้นเลือดใหญ่แห่งเมืองไส้กรอก” นั่นก็เพราะแฟรงก์เฟิร์ตเป็นเมืองศูนย์กลางธุรกิจการค้า การเงินและการธนาคารที่สำคัญที่สุดของเยอรมนี ทั้งธนาคารกลางและตลาดหุ้นก็มาตั้งอยู่ที่นี่
แถมยังเป็นศูนย์กลางของการจราจรทางด้านรถยนต์ รถไฟ และทางอากาศ สนามบินของเมืองนี้จึงค่อนข้างใหญ่ พวกแบงก์ใหญ่ๆ ในยุโรปนี่ว่ากันว่า จำเป็นต้องมีสำนักงานในแฟรงก์เฟิร์ต ตลาดหุ้นของเยอรมนีและตลาดค้าเงินตราต่างประเทศก็อยู่ที่นี่
นอกจากจะมีระบบสาธารณูปโภคที่เหนือชั้น ยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและทางการบิน มีสนามบินใหญ่ที่สุดในเยอรมนีและใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรปรองจากฮีโทรว์ ในลอนดอน ขณะที่แต่ละวันมีผู้คนสัญจรไปมาทางรถยนต์และรถไฟกว่า 6 แสนคน เท่าๆ กับตัวเลขผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองนี้
พวกงานแสดงสินค้าสำคัญระดับโลกทั้งหลายก็ล้วนแต่มาใช้แฟรงก์เฟิร์ตเป็นสถานที่จัดงานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นงานแฟรงก์เฟิร์ต ออโต้ โชว์ งานบุ๊ก แฟร์ และงานสินค้าตกแต่งบ้าน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปก็จัดขึ้นที่นี่ นั่นคงเป็นเหตุผลให้นักเดินทางหลายคนยังเข้าใจผิดว่าแฟรงก์เฟิร์ตคือเมืองหลวงของเยอรมนี
แต่ถึงแฟรงก์เฟิร์ตไม่ใช่เมืองหลวง แค่เดินพ้นชายคาสถานีรถไฟประจำเมือง เรือนกายฉันก็ถูกโอบล้อมไว้ด้วยตึกสูงระฟ้า ไม่มีเค้าเลยว่า ประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายศตวรรษก่อกำเนิดขึ้นที่นี่
แฟรงก์เฟิร์ตจึงเหมือนหนุ่มออฟฟิศมาดสุขุมสวมสูทอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเมืองใหญ่ของเยอรมนีแห่งนี้จะดูไม่ค่อยเป็นกันเอง แต่ก็น่ามองไม่แพ้เมืองอื่นของเยอรมนี และถึงแฟรงก์เฟิร์ตจะถูกห้อมล้อมไว้ด้วยหมู่อาคารและตึกสูง แต่ที่เติมเสน่ห์ให้เมืองมาดนักธุรกิจน่าดูขึ้น คงเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่มีเยอะไม่แพ้เมืองหลวงอย่างเบอร์ลิน
ฉันเป็นพวกไม่ค่อยชอบขี้หน้าเมืองใหญ่ แค่เห็นตึกเยอะเข้าก็รู้สึกอึดอัดทางสายตา รีบเดินเร่หาเมืองเก่าในเขตซาคเชนเฮาเซน (Sachsenhausen) ที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของป่าคอนกรีต แต่แปลกแฮะ ยิ่งเดิน แฟรงก์เฟิร์ตยิ่งน่าดู กลางเมืองอันเนืองแน่นไปด้วยตึกสูงที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมยุคใหม่อันล้ำสมัย ถูกคั่นไว้ด้วยสวนสวย โรงแรมและร้านอาหารที่เก่าแก่ ผับสุดฮิป และคาเฟ่หน้าตาเก๋ไก๋ โดยเฉพาะย่านถนนคนเดินที่เรียกว่าเฟรสกาซ มีร้านอาหารให้เลือกเพียบ
ใครๆ ก็รู้ว่าเบียร์กับคนเยอรมันแยกกันไม่ออก ถ้าบีบคอให้คนเยอรมันต้องเลือกระหว่างไส้กรอกกับเบียร์ เกินครึ่งคงเลือกเบียร์ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะมีร้านเอาไว้ให้ชาวเมืองได้นั่งละเลียดจิบเบียร์กันเกลื่อนไปหมด
ในเขาวงกตของตึกสูงระฟ้า ยังมีความวิจิตรของอาคารเก่าแบบนีโอกอทิกที่ฝังตัวอยู่ในย่านโรเมอร์ (Romer) จัตุรัสห้าเหลี่ยมที่เก่าแก่ที่สุดในแฟรงก์เฟิร์ต
มุมนี้เคยเป็นตลาดและชุมทางการค้าตั้งแต่ปี ค.ศ. 1480 มีโบสถ์ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และ 15 ที่จริงถูกทำลายช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปซะเยอะ แต่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ ซึ่งก็ยังคงรักษาเค้าโครงแบบดั้งเดิมเอาไว้
นอกจากคาเฟ่ ร้านรวงจะอยู่รายรอบจัตุรัสแล้ว ด้านหนึ่งยังเป็นทาวน์ ฮอลล์ (Rathaus City Hall) สไตล์กอทิกอันเก่าแก่ ฝั่งตรงข้ามเป็น ฮิสทอริชเช่อ ออสไซเลอ (Historische Ostzeile) บ้านโครงไม้สมัยกลางที่มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์ ได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี
น้ำพุแห่งความยุติธรรม (Gerechtigkeitsbrunnen) ทอดตัวอยู่ใจกลางจัตุรัส ไม่เพียงอาคารงดงามเก่าแก่ห้อมล้อมอยู่เท่านั้น ละแวกนั้น มีทั้งโบสถ์เซนต์พอล (St. Paul’s Church) ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ที่เคยเป็นรัฐสภาแห่งแรกของเยอรมนี
โบสถ์เลออนฮาร์ด (LeonHard Church) อันเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโรมานีค-กอทิกตอนปลาย หรือสร้างประมาณปี ค.ศ. 1219 ที่ได้รับการบูรณะอย่างดี แต่ต่อมาช่วงศตวรรษที่ 15 เปลี่ยนมาสร้างแบบกอทิก และมีโดม (Dom) ซึ่งเป็นโบสถ์หลักของเมืองที่สร้างแบบกอทิก ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสรือเมอร์ ในช่วงปี ค.ศ. 1562-1792 ใช้โบสถ์แห่งนี้เป็นสถานที่ทำพิธีราชาภิเษกกษัตริย์แห่งจักรวรรดิโรมัน
เดินจากโบสถ์ไปไม่ไกล เป็นถนนสายช้อปปิ้งชื่อไซล์และแม่น้ำไมน์ ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามคลื่นนักท่องโลก ที่ถอดแบบกันมา คงเป็นการแวะไปเยี่ยมบ้านเกิดของนักกวีและนักประพันธ์ชื่อดังอย่าง โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ บ้านที่เกอเธ่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1749 บ้านที่ก่อให้เกิดบทกวีอันไพเราะ บทละคร และปราชญ์ที่ชาวเยอรมันยกย่อง
ทุกวันนี้บ้านของเขาถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดที่มีคอวรรณกรรมและนักท่องเที่ยวจากทั่วมุมโลก แวะมาเยือนชนิดหัวบันไดไม่แห้ง
จากมุมนี้ ฉันเดินเร่ไปแถวริมแม่น้ำไมน์ ซึ่งไม่ว่าฝนตกหรือแดดออก ก็อยู่เคียงคู่กับแฟรงก์เฟิร์ตมาแต่ไหนแต่ไร แม่น้ำไมน์ไหลผ่านกลางเมืองไปรวมกับแม่น้ำไรน์ และหน้าที่ของแม่น้ำสายนี้คือแบ่งแฟรงก์เฟิร์ตทั้งเมืองออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งเหนือและฝั่งใต้ ฝั่งเหนือเป็นเขตธุรกิจที่คับคั่งไปด้วยความทันสมัย และอาคารสูงใหญ่ระฟ้า หากแต่ในฝั่งตรงข้ามกลับไร้เงาตึกสูง
แทนที่จะนั่งละเลียดจิบเบียร์เหมือนชาวเมือง ฉันเลือกเดินทอดน่องละเลียดเล็มวิวอยู่ริมไมน์ ดูอิริยาบถของผู้คนเป็นของแกล้ม เกร่อยู่แถวนี้นานเข้า เลยไม่ได้เมาเบียร์แต่เป็นเมาไมน์แทน หากสภาพคล่องทางการเงินออกแนวฝืด แนะให้เดินเซิ้งแถวริมไมน์น่ะดีแล้ว
แต่ถ้าเป็นพวกเงินหนาหรือกระเป๋าตุง แนะให้เปลี่ยนทิศทางมองหาชื่อถนนไซล์ (Zeil) แล้วพุ่งไประบายสภาพคล่องเลย
ไซล์เป็นถนนสายช้อปปิ้งยาวที่สุดในเยอรมนี เรียกว่าตั้งแต่หัวยันท้ายถนน มีร้านรวงให้ช้อปยั้วเยี้ยไปหมด ถ้าไม่พกสติไปด้วย สตางค์อาจไม่อยู่กับเรา ส่วนใครที่มองหาอาหารการกินก็ต้องไปที่
ถนน Grosse Bockenheimer strasse ถนนสายอาหารการกินของแฟรงก์เฟิร์ต แต่คนท้องถิ่นเรียกว่าย่าน Fressgass มุมนี้เนืองแน่นไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายอาหารสำเร็จรูปมากมาย ยิ่งถ้าเป็นช่วงเทศกาล Fressgass Fest ที่มีในช่วงซัมเมอร์ จะมีแผงขายอาหารราคาถูก มุมดื่มเบียร์และมีดนตรีสดมาเล่น
เดินจนทั่วแฟรงก์เฟิร์ต ถึงรู้สึกว่านี่เป็นเมืองแห่งความอุดมสมบูรณ์ ที่ทอดตัวอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไมน์ และช่างเป็นเมืองที่มีความขัดแย้งกันอยู่ในตัวหลายประการ
บางมุมเต็มไปด้วยตึกระฟ้าหากแต่ใกล้ๆ กันยังเป็นอาคารเก่าแก่ยังคงมีให้เห็น อาจจะดูเป็นเมืองใหม่ แต่ในโซนของเมืองเก่าก็เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ตกทอดมาจากอดีต
ทั้งความใหม่และความเก่ากอดคอกันอยู่ที่แฟรงก์เฟิร์ต ช่างเป็นความขัดแย้งที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวจริงๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม
– จากกรุงเทพฯ ไปแฟรงก์เฟิร์ต มีสายการบินไปมิวนิกทุกวัน
– ที่พักในเมืองแฟรงก์เฟิร์ตมีให้เลือกเยอะมาก คลิกไปสำรวจที่ www.booking.com
– เดินทางโดยรถไฟในแฟรงก์เฟิร์ตสะดวกสุด
– มีวีซ่าเชงเก้นเข้าเยอรมนีได้เลย