ปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน- Beijing China’s Capital

เรื่องโดยทีมงาน Vacationist

พูดถึงปักกิ่ง สิ่งแรกที่ผมนึกถึงกับเป็นขนมที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก ส่วนปักกิ่งหรือที่หลายคนเรียกว่า เป่ย์จิง ซึ่งเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือว่าประเทศจีนนั่นคราแรก ผมยังนึกภาพไม่ออกว่ามีความรุ่งเรืองมากน้อย แค่ไหน แต่จากที่พูดคุยกับหลายคน ทุกคนต่างบอกว่า ปักกิ่งของประเทศจีนที่เจริญแบบที่คุณต้องมาเห็นด้วยตา

หากใครอยากไปเที่ยวปักกิ่งก็ไม่ยาก ปัจจุบันมีหลายสายการบินที่บินตรงไปปักกิ่ง เพียงแต่การเดินทางไปประเทศจีน

เดิมคุณต้องทำวีซ่าก่อนที่จะไปเท่านั้น เข้าสู่เว็บไซต์ศูนย์บริการยื่นขอวีซ่าของประเทศจีน https://www.visaforchina.cn เลือก “ศูนย์กรุงเทพ” กรอกข้อมูลบนแบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าของสาธารณรัฐประชาชนจีนทางออนไลน์ และทำตามขั้นตอน จากนั้นเตรียมตัวเดินทาง แต่ปัจจุบันตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า เราสามารถไปจีนได้ง่ายขึ้น

จากไทยเดินทางไปปักกิ่งใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมง สำหรับประเทศจีนเวลาท้องถิ่นจะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองสามารถใช้บริการแท็กซี่แบบเหมา ราคาก็อยู่ ราวๆ 100-120 หยวน สำหรับรถไฟฟ้า Airport Express ก็มีให้บริการ แนะนำให้ซื้อบัตรที่เรียกว่า Beijing Transportation Smart Card หรือบัตรอี้ข่าถง เป็นบัตรแบบเติมเงินแล้วสามารถแตะจ่ายสำหรับค่าเดินทางได้ ค่ามัดจำบัตรอยู่ที่ 20 หยวน สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดสำหรับเมืองหลวงอย่างปักกิ่ง

ที่แรกไม่มาไม่ได้เลยคือจัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square protests) รอบจัตุรัส จัตุรัสเทียนอันเหมิน เข้าชมฟรี สามารถเดินทางไปได้ง่ายด้วยรถไฟใต้ดิน Line 1 ลงสถานี Tiananmen East ทางออก A หรือ Tiananmen West ทางออก B หรือรถไฟใต้ดิน Line 2 สถานี Qianmen ทางออก A คำว่า ‘เทียน’ แปลว่า ฟ้า ‘อัน’ แปลว่า ผาสุก ‘เหมิน’ แปลว่า ประตู จัตุรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวตั้งแต่ทิศเหนือจรดใต้ 880 เมตร ทิศตะวันออกจรดตะวันตก 500 เมตร รวมพื้นที่ทั้งหมด 440,000 ตารางเมตร สามารถจุประชากรได้ถึงหนึ่งล้านคน

ที่นี่มีความสำคัญในวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่และเป็นสถานที่จัดพิธีฉลองเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ เหตุการณ์สำคัญมากมายในประวัติศาสตร์จีนล้อมรอบด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่ หอประตูเทียนอันเหมิน ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของจัตุรัส ธงแดงดาว 5 ดวงผืนใหญ่โบกสะบัดอยู่เหนือเสาธง กลางจัตุรัส อนุสาวรีย์วีรชนใจกลางจัตุรัส มหาศาลาประชาคมด้านทิศตะวันตกของจัตุรัส ตลอดจน พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาติจีนทางฝั่งตะวันออก นอกจากนี้ทางด้านทิศใต้ยังมี หอรำลึกท่านประธานเหมาและหอประตูเจิ้งหยางเหมิน หรือเฉียนเหมิน

ไฮไลต์คือ กำแพงใหญ่ที่ชั้นบนสร้างเป็นเก๋งหลังคาสีเหลือง มีเสากลมสีแดง ชั้นล่างเป็นช่องประตูทรงเกือกม้า 5 ช่อง มีภาพเหมือนสีน้ำมันขนาดใหญ่ของประธานเหมา เจ๋อ ตุง ติดตั้งเหนือประตูกลาง และทั้ง 2 ข้างมีคำขวัญของท่านติดไว้คือ “ประชาชนจีนจงเจริญ” และ “ประชากรโลกจงเจริญ” ทั้งยังมีสะพานหินที่แกะสลักลวดลายสวยงามเรียงขนานกันทั้งหมด 5 สะพาน มีสิงโตหินตัวใหญ่ยืนเป็นยามรักษาประตูอีก 1 คู่

ไม่ไกลกันนี้ ถัดไปทางตอนเหนือของจัตุรัสเทียนอันเหมินคือพระราชวังต้องห้าม หรือ จื่อจิ้นเฉิง (Forbidden City) หรือ พระราชวังหลวงกู้กง ตั้งอยู่ด้านหลังจัตุรัสเทียนอันเหมินด้วยถือกันว่าจักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์พระราชวังจึงเป็นสิ่งต้องห้าม ที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง สืบทอดยาวนานตั้งแต่ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง รวมทั้งสิ้น 24 พระองค์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 500 ปี บนพื้นที่ 720,000 ตรม. มีอาคารจำนวน 800 หลัง ที่ประกอบด้วยห้องต่างๆ ถึง 9,999 ห้อง มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีกำแพงวังล้อมรอบยาวถึง 3 กิโลเมตร และสูง 10 เมตร ยังมีคูน้ำล้อมรอบ มีประตูวัง 4 ประตู ทั้งหมด 4 ทิศ และมีป้อมหอคอยกำแพงวังอยู่ทั้งหมด 4 มุม

พระราชวังนี้สร้างในสมัยพระเจ้าหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง เพื่อใช้เป็นที่ประทับ และแม้จะมีการบูรณะซ่อมแซมหลายครั้ง แต่ก็ยังคงสถาปัตยกรรมแบบเดิมเอาไว้ ภายในพระราชวังต้องห้ามได้แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ส่วน คือ วังหน้าและวังใน โดยวังหน้าจะเป็นเขตที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ และจัดงานพิธีต่างๆ ส่วนวังในจะเป็นที่พักของเหล่าพระมเหสีและนางสนม เป็นเขตหวงห้ามสำหรับผู้ชาย ยกเว้นเฉพาะเหล่าขันทีเท่านั้นไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวปักกิ่งที่เข้ามาเยี่ยมชมพระราชวัง เพื่อที่จะอนุรักษ์และคงสภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้ สำหรับค่าเข้าชมแตกต่างไปตามเดือนเริ่มตั้งแต่ 40-60 หยวน

ทางทิศใต้ของจัตุรัสเทียนอันเหมิน คือ ถนนช้อปปิ้งสายวัฒนธรรมมีอายุกว่า 600 ปีชื่อว่า ถนนเฉียนเหมิน (Qianmen Street) สามารถนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน Line 2 สถานี Qianmen ออกทางออก B หรือ C หลังจากเที่ยวชมพระราชวังต้องห้ามและจัตุรัสเทียนอันเหมินมาแล้วทั้งวัน นักท่องเที่ยวส่วนมากจะปิดท้ายวันที่ถนนแห่งนี้

สองข้างทางที่เรียงรายไปด้วยอาคาร 2 ชั้น ทรงจีนโบราณผสมกลิ่นอายตะวันตก เป็นที่อยู่อาศัยของผู้คน ถูกดัดแปลงให้เป็นร้านค้าต่างๆ มากมายทั้งเสื้อผ้า รองเท้า สินค้าและอาหารพื้นเมืองที่สำคัญมีร้านอาหารดังระดับภัตตาคารที่คัดมาแล้ว อาทิ ร้านเป็ดปักกิ่ง ร้านเนื้อแกะย่าง ร้านเนื้อย่าง ร้านชา ลิ้มรสอาหารที่มีให้เลือกชิมทั้งแบบจีนดั้งเดิมและแบบสตรีทฟู้ด ให้ได้ลิ้มลองกัน

เช้าวันถัดมา สถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในย่านเดียวกันคือหอสักการะฟ้าเทียนถาน (Tian Tan Temple of Heaven) สถานที่บวงสรวงเทพยดาฟ้าดินใหญ่ที่สุดในโลก ของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง เมื่อช่วงย่างเข้าฤดูหนาวถึงเดือนอ้าย ตามปฎิทินจันทรคติของจีนทุกปีเพื่อให้การเก็บเกี่ยวพืชผลอุดมสมบูรณ์นั่นเอง มีเนื้อที่ทั้งหมด 1,638 ไร่ ขนาดใหญ่กว่าพระราชวังโบราณถึง 4 เท่า ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1998 ประกอบด้วยพระตำหนักสามชั้นหลังใหญ่ ได้แก่ ตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตําหนักหวงฉงอี่ และลานหยวนชิวบนฐานหินหยกขาว โดยเป็นการก่อสร้างแบบจีนดั้งเดิมที่ไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว ถือเป็นภูมิปัญญาของชาวจีนโบราณที่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน เป็นตําหนักเอกเริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1420 เป็นรูปทรงกลมหลังคา 3 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีนํ้าเงิน เป็นตำหนักที่ไม่มีขื่อ และอกไก่ อาศัยเสาไม้จำนวน 24 ต้นเป็นโครงยึดเอาไว้ ทั้งนี้ภายใน ตําหนักบนเพดานวาดเป็นรูปมังกรและหงส์ และภาพวาดสีอันประณีตงดงาม

ตําหนักหวงฉงอี่ ตำหนักรูปทรงกลมหลังคาชั้นเดียว มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีนํ้าเงินแก่ เป็นสถานที่สําหรับเก็บรักษาแผ่นป้ายพระนามของเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์ ตําหนักนี้ล้อมรอบด้วยกําแพงเตี้ยๆ กําแพงนี้สร้างถูกต้องตามหลักวิชาว่าด้วยเสียง ที่มีความพิเศษคือเสียงสะท้อน ยกตัวอย่างเมื่อ 2 คนยืนอยู่กําแพงคนละฟาก เมื่อคนหนึ่งพูดใส่กําแพงเบาๆ อีกคนหนึ่งเอาหูแนบกับกําแพง ก็จะได้ยินเสียงพูดจากฝ่ายตรงกันข้ามอย่างชัดเจน

ลานหยวนชิว ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของตําหนัก ฉีเหนียนเตี้ยน มีลักษณะคล้ายเวทีทรงกลม 3 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีนํ้าเงินและสีขาว โดยแต่ละชั้นนั้นจะล้อมรอบไปด้วยลูกกรงหินอ่อนสีขาว ทั้งนี้ลานหยวนชิวเป็นสถานซึ่งพระจักรพรรดิใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดาหรือขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลนั่นเองที่นี่มีค่าบัตรผ่านประตูราคาประมาณ 20 หยวนและสามารถซื้อบัตรผ่านพร้อมบัตรเข้าชมทุกสถานที่ได้ราคาตั้งแต่ 38 หยวน ราคาอาจปรับลงเล็กน้อยตามเดือน การเดินทางมาที่นี่สามารถนั่งรถฟ้าใต้ดินสาย 5 ลงที่สถานี Tiantandongmen ได้

อีกหนึ่งพระราชวังที่น่าสนใจ มีความงามที่แสนอัศจรรย์ ตั้งอยู่ห่างจากพระราชวังต้องห้ามไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 8 กิโลเมตร คือ พระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace) หรือ อี้เหอหยวนของพระนางซูสีไทเฮา ทางรัฐบาลจีนได้อนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด มีชื่อเสียงในด้านเทคนิคการจัดสวนผสมผสานที่ใหญ่ที่สุดและมีภูมิทัศน์กับธรรมชาติที่เข้ากันได้อย่างลงตัว

ก่อนหน้านี้เคยเป็นสถานที่ที่เจ้านายผู้ปกครองในระบบศักดินานิยมมาพักผ่อนตากอากาศ โดยจักรพรรดิต่อมาอีกหลายพระองค์เสด็จมาประทับทรงงาน ตลอดจนว่าราชการแผ่นดินที่พระราชวังฤดูร้อนนอกเขตพระราชฐาน ตำหนักตั้งอยู่บนเนินเขาที่เกิดจากการใช้แรงงานคนขุดดินขึ้นไปถมเป็นเนินเขา สูง 60 เมตร ริมทะเลสาบคุนหมิง ซึ่งในทะเลสาบมีเกาะเล็กๆ มีสะพานหิน 17 โค้งอันสวยงามเลื่องชื่อ สถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ภายในราชวังประกอบไปด้วย สวนพฤกษชาติที่ร่มรื่น พระที่นั่ง เก๋งจีน รวมถึงสถาปัตยกรรมดั้งเดิมกว่า 100 แห่ง ได้แก่ พระตำหนัก ระเบียง วัด เจดีย์ ศาลาริมน้ำ ทางเดินที่มีหลังคาสไตล์จีนโบราณสะพานหิน และเรือหินอ่อน (Marble Boat)

สถานที่ท่องเที่ยวถัดมาที่ทุกคนต้องไป นั่นคือ กำแพงเมืองจีนสำหรับใครที่เดินทางไปกำแพงเมืองจีนด่านซือหม่าไถ ก่อนที่จะขึ้นกระเช้าไปบนกำแพงเมืองจีน แนะนำให้เที่ยวเมืองโบราณกู๋เป่ย (Gu Bei Shui Zhen) เมือง กู๋เป่ย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
จากกรุงปักกิ่ง ระยะทางประมาณ 140 กม. ใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสประมาณ 1.30 – 2.30 ชั่วโมง สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถบัส จาก Dongzhimen ตรงไปยังกู๋เป่ย หรือสามารถเหมารถไป – กลับระหว่างตัวเมืองปักกิ่งกับเมืองกู่เป๋ย ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 400 หยวนโดยประมาณ โดยสามารถเรียกใช้บริการแท็กซี่ได้ทั้งจากสนามบินสถานีรถไฟ หรือบริเวณอื่นๆ ในเมือง

ที่นี่เป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะเหมือนเป็นเมืองริมน้ำ ตอนใต้แม่น้ำแยงซีเช่น เมืองริมน้ำอู้เจิ้น ภายในบริเวณของกู๋เป่ยเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่เลียนแบบสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า ตลอดจนโซนจัดแสดงวัฒนธรรม ดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีโรงแรมที่พักในสไตล์โบราณสุดคลาสสิก อาคารแต่ละหลังมีการปลูกไม้เลื้อยตามฝาผนังด้านนอก แสดงให้เห็นภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตอนใต้แม่น้ำแยงซี ประกอบกับแนวกำแพงเมืองจีนที่อยู่ด้านหลังยิ่งเป็นภาพที่หาชมได้ยาก

กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) กำแพงเมืองจีน คือ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่สร้างโดยฝีมือมนุษย์ โดยมีขนาดความใหญ่โตและความยาวมากที่สุดในโลก นั่นคือ 6,437.376 กิโลเมตร ทอดตัวยาวพาดผ่านหลากหลายสภาพภูมิอากาศ ทั้งทะเลทราย ทุ่งหญ้าภูเขา จากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตกของ ประเทศจีน จากด่านเซี่ยงไฮ้ ไปจนถึงทะเลทรายลอปนอร์ ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ

สำหรับด่านซื่อหม่าไถ หรือ “กำแพงหมื่นลี้” ตั้งอยู่บนแนวภูเขาที่สูงชัน หนึ่งในแนวกำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่และเป็นด่านเดียวที่เปิดไฟตอนกลางคืนสามารถขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นได้ ในส่วนของกำแพงนั้นยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างเดิม ไม่ได้ซ่อมแซมตัวกำแพง ซึ่งนับเป็นกำแพงเมืองจีนด่านที่ขึ้นชื่อว่า “The Best of Great Wall” เคยได้ชื่อว่าเป็นกำแพงเมืองที่จีนที่มีเส้นทางการปีนขึ้นไปที่อันตรายเป็นอย่างมาก จริงๆ กำแพงเมืองจีนมีหลายด่าน อย่างด่านปาต๋าหลิง (Badaling) ที่ใกล้กรุงปักกิ่งและนักท่องเที่ยวนิยมไปสามารถนั่งรถไฟไปได้จาก สถานีรถไฟ Beijing North Railway Station (XiZhiMen St.) แต่ถ้าใครไปเที่ยวกับทัวร์ ส่วนใหญ่ก็จะได้ไปที่ด่านจวีหยงกวน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงปักกิ่งประมาณ 60 กิโลเมตรเท่านั้น สำหรับการเดินทางไปกำแพงเมืองจีนที่ด่านจวีหยงกวน ขึ้นรถโดยสารสาธารณะ หมายเลข 919 สถานีตึกเต๋อเซิ่งเหมิน ลงป้ายสถานีหนันโข่ว และต่อรถสาย 20 ไปยังสถานีจวีหยงกวน

นอกจากนี้ ปักกิ่งยังมีที่เที่ยวเพิ่มเติมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สนามกีฬารังนก และวอเตอร์คิวบ์ (Water Cube) ซึ่งเคยใช้จัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิคในปี 2008 ต่อมามีการปรับปรุงพัฒนาให้เป็นสวนน้ำสุดทันสมัย หรือ ถนนหวังฝูจิ่ง (Wangfujing Shopping Street) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังต้องห้าม เป็นหนึ่งในถนนช้อปปิ้งที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปักกิ่ง ตลอดความยาวของถนนสายนี้นอกจากจะเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ร้านแบรนด์เนมเยอะมากที่สุดของปักกิ่ง ร้านข้าวของเครื่องใช้เสื้อผ้า ร้านหนังสือ สตูดิโอถ่ายภาพคลาสสิก ร้านขนม ร้านอาหารราคาถูก รวมถึงร้านขายของเก่า ไฮไลต์ที่ห้ามพลาด ถนนอาหารแปลก เป็นตรอกเล็กๆ ที่เปิดเฉพาะช่วงกลางคืน มีสารพัดอาหารแปลกๆ มากมาย อาทิ ตะขาบ แมงป่อง ปลาดาว ม้าน้ำ หอยเม่น ซึ่งคนจีนเชื่อว่าเป็นอาหารที่บำรุงร่างกาย เรียกได้ว่า มาเป็นอาทิตย์ก็เที่ยวปักกิ่งได้ไม่ครบ ควรมาซ้ำแล้วซ้ำอีก สำหรับเมืองหลวงอย่างปักกิ่ง

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0