Cape Town – My Beautiful Town

Story by Editorial Staff

ท้องฟ้าสีฟ้าระยิบระยับ เทือกเขาสูงตระหง่านแปลกตาด้วยด้านบนเรียบราวกับโต๊ะขนาดใหญ่ อากาศแสนเย็นสบาย บรรยากาศสุดแสนวิเศษ และสวยงามเช่นนี้ คุณจะเจอได้ที่นี่ เคปทาวน์ แห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้

สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ หรือแอฟริกาใต้ เป็นประเทศอิสระที่อยู่ตอนปลายทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา เป็นประเทศที่ส่งออกผลไม้มากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก และความพิเศษของประเทศนี้ สำหรับคนไทยอย่างผมคือ เป็นประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า คนไทยสามารถเข้าพำนักอยู่ได้สูงสุด 30 วัน สำหรับเมืองเคปทาวน์เองเป็นเมืองที่เก่าแก่กว่า 300 ปี แต่ก็มีความทันสมัยและสวยติดอันดับต้นของโลก แถมยังได้รางวัลเมืองที่ได้ชื่อว่าใจกว้างที่สุดของแอฟริกาใต้อีกด้วย จากสนามบินเคปทาวน์เข้าสู่ย่านของตัวเมืองใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็ถึงที่พักของผมซึ่งไม่ไกลจากย่าน วิกตอเรียแอนด์ อัลเฟรด วอเตอร์ฟรอนต์ (Victoria & Alfred Waterfront) หรือ V&A Waterfront วิกตอเรียแอนด์ อัลเฟรด วอเตอร์ฟรอนต์

เป็นโครงการพัฒนาที่ดินริมน้ำตามพระราชดำริของเจ้าชายอัลเฟรด (Alfred) ซึ่งเป็นพระโอรสองค์ที่สองของราชินีวิกตอเรีย (Victoria) แห่งอังกฤษ โดยโครงการนี้เริ่มขึ้นในปี 1860 บริเวณนี้ตั้งอยู่ระหว่าง สถานที่ชื่อดัง 2 แห่ง นั่นคือ เกาะร็อบเบน (Robben Island) และภูเขาโต๊ะ (Table Mountain National Park) ที่เลื่องชื่อ แม้จะเป็นท่าเรือขนาดย่อม แต่ก ็เต็มเปี่ยมไปด้วยกิจกรรม และศูนย์รวมแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ ร้านค้า ร้านอาหาร เวทีการแสดง คุณสามารถใช้เวลาทั้งวันจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ร้านริมน้ำชมบรรยากาศของผู้คนที่ผ่านไปมา ชมวิวทิวทัศน์ของภูเขาโต๊ะ ที่มองเห็นได้ในระยะไกล หรือจะออกไปเดินเลือกซื้อหาเสื้อผ้าสไตล์เก๋ๆ หรือของที่ระลึก สินค้าพื้นเมืองในร้านขายของที่มีมากมาย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่นี่เป็นชาวต่างชาติที่มักจะรื่นรมย์ไปกับบรรยากาศรอบข้างเสียมากกว่า ไม่ค่อยห็นคนไทยมากนัก

โดยมากคนไทยมักจะขึ้นเรือไปยังเกาะร็อบเบนซึ่งเคยเป็นที่คุมขัง เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) อดีตประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของอเมริกาใต้ ซึ่งโดนข้อหาต่อต้านนโยบายแบ่งแยกสีผิว ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่น่าสนใจหากคุณได้แวะมา สำหรับคนที่มากันเป็นครอบครัวมีเด็กมาด้วยละก็ ผมแนะนำให้ลองไปที่พิพิธภัณฑ์ สัตว์น้ำทูโอเชียนส์ (Two Oceans Aquarium) ภายในแท็งก์น้ำขนาดใหญ่มีป่าสาหร่ายเคลป์ (Ocean Basket Kelp Forest) หรือสาหร่ายสีน้ำตาลเป็นเสมือนที่กำบังสายตา ให้เหล่าบรรดาสัตว์น้ำมากกว่า 80 สายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นปลาดาว ดอกไม้ทะเล ปลากระเบน ปลาฉลามหรือปลาอีกหลายชนิดของมหาสมุทรอินเดียและแอตแลนติกได้หลบซ่อน แหวกว่ายไปมา

และอีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมก็คือ การได้ดำน้ำลงไปในตู้ปลา ส่วนนี้แม้จะมีค่าใช้จ่าย และต้องเป็นผู้มีใบอนุญาตดำน้ำถึงทำได้ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่อยากสัมผัสประสบการณ์พิเศษเช่นนี้ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทูโอเชียนส์เปิดให้บริการทุกวันโดยเก็บค่าเข้าชม มีส่วนลดสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปีเข้าชมฟรี และถ้าหากซื้อตั๋วแบบ รวมกับกิจกรรมอื่นๆ ก็ได้ส่วนลดเพิ่มเติม

จากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเราสามารถนั่งรถทัวร์ชมรอบเมือง (City Sightseeing) ที่เขาเรียก Hop on – Hop off ไปยังจุดท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเช่น จุดที่สามารถขึ้น Cable Car ไปยัง ภูเขาโต๊ะ เป็นต้น สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองเคปทาวน์ สามารถทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถทัวร์เช่นนี้ นั่งแท็กซี่ หรือรถเมล์ของ Cape town ของบริษัท Golden Arrow สำหรับรถทัวร์ชมรอบเมืองเช่นนี้ถ้าจองตั๋วออนไลน์ ล่วงหน้าก็จะได้ส่วนลดอีกเล็กน้อย แต่ถ้ามาซื้อ ที่จุดจอดก็ทำได้เช่นกัน ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ สัตว์น้ำเป็นท่าสำหรับจอดเรืออชต์และที่พักฟื้น ของแมวน้ำที่ได้รับบาดเจ็บจากแห อวน

สำหรับคนที่อยากได้ชมแมวน้ำแบบเต็มๆ ต้องไปที่นี่เลย เกาะดุยเกอร์ (Duiker) ให้เริ่มต้นกันที่ท่าเรือฮูทเบย์ (Hout Bay) ซึ่งเป็นท่าเรือ ที่จะเดินทางเพื่อไปชมแมวน้ำ แม้จะเป็นเรือ ท้องกระจกขนาดใหญ่ สำหรับคนที่เมาเรือง่าย แนะนำให้กินยาไปก่อนเลย เนื่องจากคลื่นแรงมาก

พอไปถึงใกล้บริเวณเกาะ เราจะเห็นแมวน้ำสีน้ำตาลตัวอ้วนนอนเบียดเสียดอาบแดดกันเต็มเกาะไปหมด ต้องบอกว่าหลายร้อยตัวเลยทีเดียว

แมวน้ำแอฟริกาใต้ถือได้ว่าเป็นแมวน้ำที่ขนาดใหญ่สุดในตระกูล แมวน้ำขนปุย ตัวโตเต็มที่อายุประมาณ 3-5 ปี บางตัวอายุยืนถึง 25 ปี

ใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณ 1 ชั่วโมงก็ย้อนกลับมาที่ท่าเรือแห่งนี้ ที่ท่าเรือฮูทเบย์ยังมีเรือที่ล่องชมพระอาทิตย์ตกดินได้อีกด้วย

หลังจากชมแมวน้ำแล้ว ไปดูเพนกวินกัน การไปดูเพนกวินต้องนั่งรถไปที่เมืองไซม่อน (Simon’s Town) บ้านเรือนที่นี่จะสร้างลดหลั่น ไปกับแถวเขา หันหน้าออกนอกทะเล ถือได้ว่าเป็นทำเลที่ดี ด้านหน้าหันเข้าทะเล หลังพิงเขา จึงไม่แปลกที่เจ้าของส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะทั้งนั้น

สำหรับถิ่นที่อยู่ของเพนกวินในเมืองนี้คือ บริเวณชายหาดโบลเดอร์ส (Boulders beach) เพนกวินที่นี่เป็นพันธ์แอฟริกัน Jackass ที่มีขนาดเล็กเป็น 1 ใน 15 ชนิดในโลกที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ตัวที่เห็นเป็นสีน้ำตาลและขนาดใหญ่เป็นตัวเมีย

ส่วนตัวที่มีสีสันมากกว่า ตัวมีสีดำขาวตัดกัน บริเวณขอบตาจะมีสีชมพู คล้ายแต้มสีอายแชโดว์ไว้ตัวนั้น คือตัวผู้ นกเพนกวินนับพันตัวดูสบายอารมณ์มาก บางตัวก็ตากแดด บางตัวก็หลบร่ม แอบซ่อนผู้คน บางตัวก็ว่ายน้ำเล่นไปมา เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีตามธรรมชาติ

คำพูดหนึ่งกล่าวว่า “แหลมที่สวยเด่นเป็นสง่าและใหญ่ที่สุดเท่าที่ เคยเห็นมาบนขอบโลกใบนี้” นี่เป็นคำพูดที่อยู่ในบันทึกการเดินทางของเซอร์ ฟรานซิส เดรค (Sir Francis Drake) ยอดนักผจญภัย ขณะเขามอง เห็นเคปทาวน์ ตอนเขากำลังล่องเรืออยู่ แหลมที่ว่านี้อยู่ในเขตสงวน Cape of Good Hope Nature Reserve แม้แหลมนี้ไม่ใช่ส่วนใต้ที่สุด ของทวีปอย่าง แหลมอะกะลัส (Cape Agulhas) แต่มีชื่อเสียงมากกว่า

ที่นี่คือ แหลมแห่งความหวัง หรือ แหลมก๊ดู โฮป (Cape of Good Hope) ซึ่งอยู่ห่างจากเคปทาวน์ประมาณ 60 กิโลเมตร ปลายสุดของแหลม มีประภาคาร เห็นรอยตะเข็บที่มหาสมุทรอินเดียกับแอตแลนติกมาพบกันได้ ผมแนะนำว่าให้ขึ้นไปด้านบนจุดสูงสุดของหน้าผาที่มีความสูง 200 เมตรคุณจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามท้องทะเลสีครามกลมกลืนอยู่กับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส มีต้นไม้ใบไม้สีเขียวแซมอยู่ดูแล้วสร้าง ความหวังให้กับผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนอาจจะรู้สึกกลัวก็เป็นได้

หากมองเห็นคลื่นที่กระทบกับโขดหินและความแปรปรวนของท้องทะเล ยิ่งเวลามีหมอกจัด บริเวณที่กระแสน้ำที่มีอุณหภูมิไม่เท่ากันมาปะทะกัน จะทำให้ยากต่อการเดินเรือในสมัยโบราณ เชื่อไหมว่า ในอดีตประมาณปี พ.ศ.2227 สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ส่งคณะทูตไทยที่ไปโปรตุเกส ประกอบด้วย ออกพระวิสูตรสิน (Opra Visuta Sinea) เป็นราชทูต ออกหลวงสำเร็จไมตรี (Loang Samrett Maitrij) เป็นอุปทูต และออกขุนชำนาญเป็นตรีทูต คณะทูตชุดนี้ไปไม่ถึงโปรตุเกส เพราะเรือไปแตกใกล้แหลมกู๊ดโฮป เช่นกันเหตุการณ์ครั้งนั้น บันทึกไว้โดยบาทหลวงตาชาร์ด แต่ปัจจุบันเทคโนโลยี ก้าวหน้าแหลมกู๊ดโฮป ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของแอฟริกาไปแล้ว

ที่สุดของสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณต้องแวะหากมาที่ เคปทาวน์ นั่นก็คือ ภูเขาโต๊ะ (Table Mountain) ตั้งอยู่ทาง ตอนเหนือของเมืองเคปทาวน์ ในแอฟริกาใต้ มีความยาว ประมาณ 2 กิโลเมตร สูง 1,086 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางด้วยลักษณะที่ยอดตัดขวางเรียบแลดูเหมือนโต๊ะ ทำให้ถูกเรียกว่าภูเขาโต๊ะ ความมีชื่อเสียงของภูเขานี้โด่งดังจนปรากฏอยู่บนธงประจำเมืองเคปทาวน์ ภูเขาแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของแอฟริกาใต้เมื่อปี ค.ศ. 2004

การขึ้นไปภูเขาโต๊ะนั้นสามารถขึ้นไปด้านบน ได้สองวิธีด้วยกัน คือการปีนเขาขึ้นไปและขึ้นกระเช้า ซึ่งกระเช้านี้จุผู้โดยสารได้ครั้งละ 65 คน และสามารถหมุนได้ 360 องศา เพื่อให้ผู้โดยสารได้ชมวิวทั้งภูเขาและทะเลได้เลย แต่การขึ้นภูเขาโต๊ะต้องขึ้นกับสภาพอากาศด้วยเช่นกัน หากช่วงไหนที่มีลมแรงหรือมีฝนตกจะหยุดวิ่ง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้มาเยือน บนยอดเขามีพรรณพืชนานาชนิด และหลายชนิดเป็นพืชถิ่นเดียวที่ไม่มีในที่อื่นของโลก โดยเรียกว่า Fynbos โดยชื่อเดียวกันนี้ใช้เรียกลักษณะทุ่งที่พืชจำพวกนี้ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นได้เช่นกัน ถ้ามองไปรอบจะเห็นภูเขารายล้อมหลายต่อ หลายลูก แต่ที่โดดเด่นคือ ไลอ้อนเฮด (Lion Head) หรือภูเขาหัวสิงโตที่หลายคนชอบพูดกัน และถ้ามีโอกาสผมอยากให้คุณได้ชมพระอาทิตย์ตกดิน จากบนยอดเขาแห่งนี้ คุณจะรู้ว่าโลกใบนี้สวยงามแค่ไหน

* เคปทาวน์มีทั้งหมด 4 ฤดู
ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – มกราคม
ฤดูใบไม้ร่วง เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน อากาศเย็นสบาย
ฤดูหนาวช่วงเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม อากาศเย็น อุณหภูมิเป็นเลขตัวเดียว
ฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงที่น่าไปที่สุด ในระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม อากาศกำลังดี และไม่มีฝน ท้องฟ้าแจ่มใส
* ไม่มีสายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพฯ สู่เคปทาวน์ แต่เราสามารถขึ้นสายการบินได้หลายสายการบินที่ไปเปลี่ยนเครื่องที่ท่าอากาศยานนานาชาติ โออาร์ แทมโบ ของเมืองโจฮันเนสเบิร์กได้

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0