Unseen South Italy เที่ยวอิตาลีตอนใต้

ความงดงามของอาคารบ้านเรือนที่เป็นสถาปัตยกรรมยุคกลาง ที่ตัดกับทะเลสีฟ้าสดใส กับอากาศอันอบอุ่นไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปทำให้เมืองในอิตาลีตอนใต้ บริเวณแถบเมดิเตอเรเนียนเป็นจุดหมายปลายทาง สำหรับคนที่ต้องการท่องเที่ยวเส้นทางเลียบชายฝั่งที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปของอย่างอะมัลฟี่ โคสต์ (Amalfi Coast) พร้อมกับนี้ ตลอดเส้นทางนี้ ก็มีความมหัศจรรย์และน่าหลงใหลของอิตาลีใต้แห่งนี้ง

พวกเราลัดฟ้าเปลี่ยนเครื่องมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี-ฟีอูมีชีโน (อิตาลี: Aeroporto Leonardo da Vinci di Fiumicino) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ท่าอากาศยานฟีอูมีชีโน กรุงโรม ประเทศอิตาลีนั่นเอง หลังจากเติมพลังเข้าท้อง แล้วเตรียมเข้ารถยาวกัน วันนี้เราจะขับผ่านบางเมืองที่เคยแวะครั้งก่อนตอนมารวมอย่างเมือง กาแซร์ตา (Caserta) และเมืองเนเปิลส์ หรือ นาโปลี (Naples, Napoli) ไปแล้ววิ่งยาวไปแวะพักเมืองบารี (Bari) เมืองหลักของแคว้นปุลยา (Puglia) บนชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ประเทศอิตาลี เป็นเมืองสำคัญอันดับ 2 ในด้านเมืองเศรษฐกิจ รองจากเมืองเนเปิลส์ ใช้เวลาขับรถราวๆ 7 ชั่วโมง ออกจากโรมก็สายแก่ กว่าจะถึงเมืองบารีก็บ่ายแก่เกือบเย็น

ที่พักของเราอยู่เรียกว่าอยู่กึ่งกลางระหว่างโบสถ์เซนต์นิโคลัส (Basilica St Nicholas.) กับจัตุรัสเฟอร์เรรา (Piazza del Ferrarese) สำหรับโบสถ์เซนต์นิโคลัส (Basilica St Nicholas.) เดิมเคยใช้เป็นที่พำนักของผู้ปกครองเมืองชาวไบแซนไทน์เมื่อราวปี ค.ศ. 1000 ต่อมาในปี ค.ศ. 1087 ชาวบารีได้นำกระดูกของเซนต์นิโคลัสมาจากโบสถ์แห่งเมืองไมร่า (MYRA) ในประเทศตุรกี จึงได้ดัดแปลงอาคารแห่งนี้เป็นโบสถ์ และประดิษฐานกระดูกของเซนต์นิโคลัสไว้ภายใน ซึ่งเชื่อกันว่า เซนต์นิโคลัส ก็คือที่มาของซานตาคลอสนั่นเอง

มหาวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญสำหรับทั้งชาวคาทอลิกและชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ มองดูภายนอกมีลักษณะค่อนข้างสี่เหลี่ยม คล้ายกับปราสาทมากกว่าโบสถ์ ภายในมีทางเดินกลางโบสถ์และทางเดิน 2 ทางเดิน แบ่งด้วยเสาหินแกรนิตและเสา แท่นบูชาถูกแยกออกจากส่วนอื่นๆ ของอาคารโดยใช้ซุ้มโค้งสามซุ้มซึ่งมีเสาที่ได้รับอิทธิพลจากไบแซนไทน์

ช่วงค่ำเราไปบริเวณ จัตุรัสที่มีชื่อเสียงที่สุดสองแห่ง ในเขตเมืองเก่าของบารีนั่นก็คือ จัตุรัสการค้า (Piazza Mercantile) และ จัตุรัสเฟอร์เรรา (Piazza del Ferrarese) ทั้งสองแห่งตั้งอยู่ใกล้กันมากจัตุรัสเฟอร์เรรา ที่เป็นทางเข้าไปสู่ย่านเมืองเก่า ทางด้านซ้ายเป็นที่ตั้งของซาลามูรัต (Sala Murat) แกลเลอรีศิลปะ ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ตั้งอยู่ตรงข้ามริมน้ำที่งดงาม เวลาช่วงค่ำแบบนี้ จะเห็นทิวทัศน์อันน่าทึ่งของแสงไฟที่สะท้อนบนผืนน้ำทำให้ดูมีแสงสีและชีวิตชีวาเป็นที่สุดทางตอนเหนือมีส่วนเชื่อมกับจัตุรัสการค้าที่มีอาคารสถาปัตยกรรมแปลกตามีเสน่ห์น่ารัก ถนนเล็กๆ ข้างจตุรัส ชื่อ Via Manfredi Re ซึ่งเต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และ มื้อค่ำ เราฝากท้องที่ร้าน La Bul ซึ่งร้านอาหารที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองบารี โดยเชฟอันโตนิโอ สกาเลรา (Antonio Scalera) ที่นี่จะเสิร์ฟอาหารคุณภาพชั้นยอด พร้อมด้วยไวน์ที่คัดสรรเป็นอย่างดี ประกอบไปด้วยสูตรดั้งเดิมและส่วนผสมวัตถุดิบของแคว้นปุลยา

เช้าวันต่อมา หลังจากที่มื้อเช้าเราฝากท้องกับอาหารเช้าที่ที่พัก เราก็ขับรถต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง 55 กิโลเมตร มุ่งสู่เมืองอัลเบอโรเบลโร (Alberobello) ตั้งแต่เช้า เพื่อไปชมหมู่บ้าน The Trulli of Alberobello กระท่อมหินสีขาวที่ได้รับการขนานนามว่าหมู่บ้านฮอบบิทแห่งอิตาลี หมู่บ้านเก่าแก่แห่งนี้มีประวัติเกือบพันปี สร้างกันลดหลั่นตามระดับสูงต่ำของพื้นที่ ความโดดเด่นของบ้านเรือนมีความสวยแปลกตาอย่างมาก ไม่เหมือนใคร

สร้างจากหินปูนมีหลังคาเป็นรูปกรวยมียอดแหลมกลมเรียกว่าทรูลี (Trulli) ส่วนผนังก็เรียกอิฐแต่ละก้อนต่อๆกันเข้าล๊อคโดยไม่ใช้ปูนซีเมนต์เชื่อม ก่อสองชั้น เติมช่องว่างด้วย เศษหินที่แตกหักจนเต็ม เรียกว่า Dry stone ทั้งคงทน แข็งแรง กันหนาวและยังระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี ความมีเอกลักษณ์และประวัติที่เก่าแก่ของหมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้ในปี 1996 ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก (UNESCO) ปัจจุบันมีคนอาศัยอยู่กว่า 10,000 คน โดยมากเปิดเป็นร้านค้าของที่ระลึกและสินค้าพื้นถิ่นเช่นไวน์และน้ำมันมะกอก บางหลังก็เปิดเป็นที่พักให้ได้เข้าพักกัน

เมืองต่อไปคือ เมืองโปลิญญาโน อา มาเร (Polignano a Mare) ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าริมชายฝั่งทะเล ขับรถไปแค่ 30 นาทีเท่านั่น เมืองอยู่บนหน้าผาหินปูนสูง 20 เมตรอย่างงดงามริมชายฝั่ง Valle d’Itria เหนือทะเลอะเดรียติก (Adriatic Sea) มีชายหาดกรวดเล็กๆ น่ารักโอบล้อมไปด้วยหน้าผ้าสูงที่ยื่นออกไปยังทะเลชื่อ หาดลามะโมนาชิเล (Lama Monachile) เป็นชายหาดที่แปลกตาและสวยงามอย่างมาก มีย่านเมืองเก่า (Centro Storico) ที่เป็นลักษณะแบบหมู่บ้านอิตาเลียนแบบดั้งเดิมที่มีตรอกซอกซอยแคบๆ และอาคารสีขาว เมืองไม่ใหญ่มากนักเดินไปมา ไม่นานก็วนมาทีเดิม

อันที่จริงเมืองนี้ได้รับความนิยมขึ้นมาเพราะมีการจัดแข่งขันกระโดดหน้าผา Red Bull Cliff Diving World Series’ ที่จัดขึ้นบนหน้าผา เป็นการแข่งขันกระโดดสูงที่เข้าชมฟรี เราเลือกกินกลางวันกันที่ร้านอาหารที่อยู่ในถ้ำ ตั้งยื่นออกไปในทะเล ชื่อร้าน Grotta Palazzese เป็นหนึ่งในร้านที่ท่านมาเยือนอิตาลีตอนใต้ไม่ควรที่จะพลาด

หลังจากกินกลางวันเสร็จเข้าก็ขับรถต่อไปอีกราวๆ 45 นาทได้ มุ่งไปยังเมืองออสตูนี (Ostuni) จังหวัดบรินดีซี (Brindisi) ด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามของชายหาด ไร่องุ่นและไร่มะกอก ทำให้เมืองนี้เป็นแม่เหล็กทางการท่องเที่ยวของอิตาลีตอนใต้ปลายรองเท้าบูท ออสตูนีนอกจากจะถือเป็นอัญมณีด้านสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียง ยังได้รับการยกย่องให้เป็น ‘เมืองสีขาว’ แห่งอิตาลี

เวลาที่คุณเดินเล่นไปตามตรอกเล็กๆ ของเมืองเก่าออสตูนี (Old Town) ที่มีลักษณะเป็นเมืองป้อมปราการขนาดใหญ่สร้างขึ้นบนเนินเขาและถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงโบราณสูงตระหง่าน ภาพของอาคารสีขาวท่ามกลางแสงอาทิตย์ ส่องเปล่งประกายระยิบระยับตัดกับสีสันอันสดใสของประตู และดอกไม้นานาชนิดที่แต่ละบ้านเลือกมาตกแต่ง

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกจุดคือ โบสถ์เซนต์ วิโต มาร์ตีร์ (San Vito Martire) เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานทางศาสนาที่มีความสำคัญของเมือง โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1750 – 1752 แม้จะมีอายุกว่า 200 ปีแล้วแต่ยังคงความงามสง่าสมเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ และลานกว้างของ จัตุรัสออสตูนี (Ostuni square) หรือ Piazza della liberta ที่ตั้งของอาคารสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย

เมืองเลชเช่ (Lecce) เป็นเมืองสำหรับที่เราเข้าพักในคืนนี้ขับรถเพียงชั่วโมงนิด ก็มาถึงเมืองที่สร้างด้วยหินปูนเรียงรายเป็นสไตล์บาโรกจนได้รับฉายาว่า Florence of the South ตัวเมืองมีประตูชัย Arco di Trionfo หรือ Porta Napoli ที่ทำจากหินปูนสีเหลือง หินธรรมชาติที่หาได้ในพื้นที่นี้ มีคุณลักษณะพิเศษคือความอ่อนนุ่ม ง่ายต่อการนำมาแกะสลักเป็นลวดลายอันอ่อนช้อยเราจะเห็นงานแกะสลักโล่ประจำตระกูลอยู่ด้านบน ประตูแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อต้อนรับการมาเยือนของกษัตริย์ Charles V จากสเปน

มาถึงเลซเซ่ ก็ต้องไม่พลาดชม The Celestini Palace หรือ Palazzo dei Celestini ปราสาทราชวังเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ภายใต้สถาปัตยกรรมแบบบาโรก ปัจจุบันที่นี่ได้รับการอนุรักษ์จากรัฐบาลทำให้ทั้งโครงสร้างด้านใน และด้านนอกยังคงแข็งแรง ทั้งยังถูกใช้เป็นที่ว่าการของเมืองเลชเช่อีกด้วย

ถัดมาใกล้ๆ กันคือ “Basilica di Santa Croce” หรือมหาวิหารซานตาโคร มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1549 – ค.ศ. 1582 มีความสวยงามโดดเด่นด้วยการแกะสลักหินที่สวยงาม ตกแต่งซุ้มด้านหน้าด้วยรูปปั้นสัตว์หน้าตาแปลกประหลาด จุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจจะเป็นหน้าต่างบานใหญ่ตรงกลางที่แกะสลักเป็นรูปกุหลาบซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะแบบกรีกโรมัน อลังการจนใครไปใครมาก็ต้องหยุดมอง

จุดหมายปลายทางต่อไปของเราคือ เมืองมาเตรา (Matera) หรือ Sassi di Matera แคว้นบาซีลีกาตา (Basilicata) ทางตอนใต้ของอิตาลี i sassi แปลตรงตัวคือ หิน ดังนั้น Sassi di matera ก็คือหินแห่งมาเตรา นั่นเอง เป็นที่สุดของอารยธรรมเก่าแก่อายุมากกว่าพันปี ได้รับการยกย่องให้เป็นอัญมณีแห่งการท่องเที่ยว ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco) ในปี 1993 และยังได้รับการรับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรปประจำปี 2019 อีกด้วย

เมืองมาเตรา ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองใต้ดิน หรือเมืองมนุษย์ถ้ำ เพราะบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นจากการขุดเข้าไปในหินปูนของหุบเขาลึก (canyon) ที่เกิดจากแม่น้ำกัดเซาะ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อเนื่องกันมา โดยมีการปรับปรุงและขยายเมืองออกไป แม้จะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเนื่องจากมีปัญหาด้านสาธารณูปโภคก็ตาม ในปี 1980 รัฐบาลอิตาลีเคยบังคับให้ผู้คนย้ายออกจาก Sassi ไปยังพื้นที่ที่สะดวกสบายมากกว่า แต่ชาวเมืองส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะอยู่ในบ้านเดิมของพวกเขา สถานที่นี้ได้ถูกใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ ทำให้ที่นี่เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งท่องเที่ยวอันทรงคุณค่า

ที่พักที่เมืองมาเตรา มีทั้งแบบโรงแรมปกติทั่วไป กับที่พักแบบถ้ำ สามารถเลือกตามที่ชอบได้เลย

เช้าวันใหม่ หลังจากทานอาหารเช้าแล้วเราก็ขับรถต่อไปกับที่ หมู่บ้านคาสเทลเมสซาโน (Castelmezzano) ระยะทางประมาณ 80 กว่ากิโลเมตร ขับรถประมาณ ชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งบนยอดเขาในจังหวัดโพเทนซ่า (Potenza) ในแคว้นบาซีลีคาตา(Basilicata)แห่งนี้  การเข้าไปชมเมืองแสนสวยแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดา ต้องลอดผ่านอุโมงค์ ข้ามช่องเขา เพื่อเข้าสู่ดินแดนที่น่าค้นหาแห่งนี้เมืองนี้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในประเทศอิตาลีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะสร้างอยู่ในหุบเขา เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 1000 คนเท่านั้น แรกเดิมเป็นถิ่นฐานของชาวกรีกราวศตวรรษที่ 5-6

หลังจากนั้นเราก็ขับรถยาวไปยังโซนของถนนเลียบชายฝั่ง อย่างชายฝั่งอะมัลฟี่ (Amalfi Coast) เป็นแนวชายฝั่งที่ทอดยาวไปตาม อ่าว Salerno บนทะเล Tyrrhenian ทางตอนใต้ของ ประเทศอิตาลีรวมระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่เมือง Vietri sul Mare ไปจนถึง Positano ตลอดเส้นทางประกอบไปด้วยเมืองต่างๆ ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง มีสีสันสดใสและเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไปเส้นทางเลียบชายฝั่งแห่งนี้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลก ที่ติดอันดับความสวยงามระดับโลก และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco) อีกด้วยเราเลือกแวะ 3 เมือง คือ ราเวลโล่ (Ravello),อะมัลฟี่ (Amalfi ) โพสิตาโน่ (Positano)

เริ่มจากเมืองราเวลโล่ (Ravello) เมืองริมผาสูง 365 เมตร เราจะเห็นภาพของเมืองนี้จากโปสการ์ดอยู่บ่อยครั้ง เป็นอีกหนึ่งเพชรเม็ดงามแห่งชายฝั่งอมาลฟีที่ห้ามพลาด หมู่บ้านที่เงียบที่สุดบนชายฝั่งอะมัลฟี่ ทั้งที่อยู่ไม่ไกลจากทะเลและชายหาดที่มีชีวิตชีวามากนัก แต่ผู้คนก็ไม่ค่อยพลุกพล่านเหมือนโพซิตาโนหรืออมาลฟี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเย็นที่นักเดินทางวันส่วนใหญ่จากไปและถนนก็ว่างเปล่าอย่างสดชื่น

จุดน่าสนใจ อย่างเช่น วิลล่ารูโฟโล (Villa Rufolo) คฤหาสน์เก่าแก่ของครอบครัวพ่อค้าผู้มั่งคั่งในศตวรรษที่ 13 และมีอดีตอันยาวนาน ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก มีสวนที่ การเข้าชมต้องเสียเงินเช้าชมอยู่ 7-10 ยูโร เด็กต่ำกว่า 5 ขวบไม่เสียเงิน ทางภายในเมืองคดเคี้ยวและแคบมากต้องคอยชะลอรถ หรือหยุดรอให้สวนทางกันบ่อยๆถนนตั้งอยู่ริมผาสูงชันด้านหนึ่งเป็นเขา ช่วงเดือนเมษายน เป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ต้องเผื่อเวลาในการเดินทาง นอกจากวิลล่าดังกล่าวแล้วมหาวิหาร Duomo de Ravello ที่ตั้งอยู่ในใจกลางจตุรัส Piazza del Vescovado ก็สวยงามสำหรับคนที่อยากชมวิว มีจุดชมวิวริมหาดสวยๆหลายจุด สำหรับของฝากของที่ระลึก แนะนCeramiche D’Arte Carmela ร้านเครื่องชามเซรามิกชื่อดัง อีกอย่างคือ เหล้าลิม่อนเชลโล่เพราะเมืองนี้มีโรงงานผลิตกันหลายที่ เหล้าลิม่อนเชลโล่นี่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองแถวนี้

ต่อมาที่เมืองอะมัลฟี่ (Amalfi) ขอบอกว่าชายฝั่งอะมัลฟี่ ก็มีเมืองเป็นของตัวเอง แถมยังมีชื่อเดียวกันด้วย นั่นก็คือเมือง Amalfi นั่นเอง เป็นเมืองแห่งการค้าขายเก่าแก่ที่รุ่งเรืองมากตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 9 มาจนถึงศตวรรษที่ 13 เมืองนี้เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเงียบสงบมากนัก และไม่ชอบคนพลุ่งพล่านจนเกินไป เรียกว่าอะมัลฟี่เหมาะจุด ที่เที่ยวอย่างเช่น มหาวิหารอะมัลฟี่ (Duomo di Amalfi) หรือ Cathedral of Sant’ Andrea ศาสนสถานสำคัญที่สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 11 ภายในมหาวิหารมีรูปปั้นหินอ่อนแกะสลักของนักบุญ St. Andrew สรรค์สร้างโดยศิลปินเอกแห่งยุคเรเนซองส์อย่าง มิเคลันเจโล (Michelangelo) และงานจิตรกรรมสุดวิจิตรบนเพดานมหาวิหารที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชม อีกจุดคือ พิพิธภัณฑ์กระดาษ (Museum of Paper) เพราะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อการผลิต Bambagina หรือกระดาษหนาทำมือนั่นเอง ถ้าจอดรถวิธีหาที่จอดให้ใส่คำว่า “Rampa Gambardella, 35” ใน google map

เมืองที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดของเหล่าเมืองริมชายฝั่งอะมัลฟี่ เมืองนั่นคือ เมืองโพสิตาโน่ (Positano) เมืองชายฝั่งที่เปรียบเสมือนไข่มุกเม็ดงามประดับอยู่บนชายฝั่งอมาลฟี (Amalfi Coast) แห่งประเทศอิตาลี ชื่อเสียงของโพสิตาโนโด่งดังไปทั่วโลกในเรื่องความสวยงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์

โดดเด่นด้วยอาคารสีสันสดใสหลากหลาย ตั้งแต่สีเหลือง สีส้ม สีเหลือง และสีขาวนวล ตัดกับสีของฟ้าท้องทะเลสีฟ้าสดใส และภูเขาสีเขียว ภายในเมืองเป็นศูนย์รวมร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และที่พักต่างๆ ที่ราคาสูงพอสมควร เนื่องจากเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในแถบนี้ ตลอดทั้งปีที่นี่​ เนื่องแน่นไปด้วยผู้คนเสมอ และถ้าคุณวางแผนที่จะมาเที่ยวที่โพสิตาโน่ ควรจะเดินทางมาเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ที่เที่ยวอย่างหากสวยๆ มีหลายแห่ง แต่ละหาดก็มีเสน่ห์แตกต่างกันไปทั้ง หาด Marina Grande, หาด Fornillo, หาด Arienzo และ หาด San Pietro หาดที่เห็นบ่อยตามโปสการ์คือ หาด Marina Grande แต่ถ้าไม่ชอบความวุ่นวายหาด Arienzo ดีกว่า นอกจากนั้นยังมีโบสถ์สวยๆ และพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปเยี่ยมชมด้วย หากต้องการจะเก็บภาพสวยๆ สุดไอคอนนิกของเมือง แนะนำให้ไปที่ Spiaggia Grande ศูนย์กลางร้านอาหาร ร้านค้า และสถานบันเทิงต่างๆ ในเมือง และยังเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยที่สุด

สำหรับคนที่จะมาเที่ยวอิตาลี ถ้ามาช่วงกลางเดือน ต.ค. – พ.ย. เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี อากาศเย็นๆ ไม่หนาวมากนัก และถ้ามาช่วง พ.ค. – ต้น มิ.ย. อุณหภูมิก็จะอุ่นหน่อย ฝนตกน้อย และอย่าลืมเช็ควันหยุดของอิตาลีด้วย เพราะถ้ามาช่วงวันหยุด ร้านรวงจะปิด และบางครั้งขนส่งสาธารณะก็หยุดใช้บริการด้วย เที่ยวกันให้สนุกกับอิตาลีที่ไม่ได้มีแต่โรมด้วย

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0