Mexico City a Fascinating Capital
Story & Photo by Kanjana Hongthong
ขึ้นชื่อว่าเม็กซิโก (Mexico) ไม่ว่าจะเร่ไปหามุมไหนก็ดูจะน่ากลัวไปซะหมด โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่หนังฮอลลีวู้ดประโคมไว้ซะน่ากลัวเลย ครั้นชีวิตมีเหตุให้ต้องโคจรไปหาเม็กซิโก ซิตี้ จึงต้องเพิ่มระดับความระแวดระวังมากขึ้นกว่าปกติ
ข่าวว่าที่นี่มิจฉาชีพชุกชุมไม่น้อยหน้าแถวอเมริกาใต้ ขนาดว่าเป็นเมืองที่มีกล้องวงจรปิดเยอะที่สุดในโลก ยังจับโจรไม่ทันเลย เซียนเม็กซิโกเอ่ยปากเตือนว่า มาถึง เม็กซิโก ซิตี้ แล้วอย่าไปทำสุ่มสี่สุ่มห้าโบกเรียกแท็กซี่เป็นอันขาด ขืนทำแบบนั้นอาจจะถูกจี้ได้
ทางที่ดีเรียกตามจุดจอดแท็กซี่เท่านั้น อาจจะแพงกว่ากันนิดหน่อยแต่ปลอดภัยกว่า อารมณ์เหมือนกำลังจะไปสเปน อิตาลี และบราซิล อย่างไรอย่างนั้น หลอนนิดๆ จิตหน่อยๆ ก็นครหลวงของเม็กซิโกถูกเลื่องลือกันว่าที่นี่ว่าเรื่องจี้ปล้นธรรมดามาก หนักกว่านั้นก็อุ้มไปฆ่าเอาของกันเลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ เม็กซิโก ซิตี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพราะเมื่อเริ่มคุ้นเคยกันฉันกลับรู้สึกอีกแบบ
ยามเดินเหินอยู่บนถนนสายหลักที่พาดผ่านกลางเมือง ทำให้ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไป เพราะที่นี่มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งมาก ว่ากันว่าทั่วทั้งเม็กซิโก ซิตี้ มีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกเดินสายเที่ยวมากกว่า 100 แห่ง ปารีส เบอร์ลิน ลอนดอน และนิวยอร์คที่ว่าแน่ยังต้องหักหลบ
ระหว่างทางมีพิพิธภัณฑ์ให้แวะตามรายทางเป็นระยะ ทั้งพิพิธภัณฑ์แสดงงานเท็มโพราลีอาร์ต พิพิธภัณฑ์ศิลปะ แต่เป็นอันรู้กันใหม่ในหมู่นักเดินทางที่มาเยือนเม็กซิโก ซิตี้ ว่าถ้าใครมีเวลาน้อยจนต้องเลือกแค่พิพิธภัณฑ์เดียว ก็ต้องมุ่งหน้าไปที่พิพิธภัณฑ์มานุษยาวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติ (National Museum of Anthropology)
หลังจากได้ลายแทงรถไฟใต้ดินของพนักงานโรงแรม ฉันก็มุ่งหน้าลงรถไฟใต้ดินไปหาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างไม่รีรอ พูดถึงรถไฟใต้ดินที่นี่ราคาถูกมากแค่ 5 เปโซเท่านั้น คิดเป็นเงินไทยตก 10 กว่าบาทเท่านั้น แถมรวดเร็วไม่ต้องติดหนึบบนท้องถนน เพราะรถที่เม็กซิโก ซิตี้ ติดหนึบไม่น้อยหน้าบางกอกเหมือนกัน
พูดถึงรถไฟใต้ดินของเม็กซิโกนั้น ถือว่าเป็นรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว และความที่เม็กซิโก ซิตี้ เป็นเมืองใหญ่มาก แต่ละวันรถไฟใต้ดินจึงต้องบรรทุกผู้โดยสารเกือบ 8 ล้านคน
สำหรับนักท่องพิพิธภัณฑ์ ต่างรู้กันดีว่าที่นี่คือสุดยอดพิพิธภัณฑ์ ที่คนรักพิพิธภัณฑ์ต้องไป ยิ่งหากใครอยากรู้อดีตของเม็กซิโกแล้วละก็ ที่นี่จะช่วยวาดภาพอดีตและปะติดปะต่อประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก ตั้งแต่ยุคชาวโอลเม็ค ชาวมายา ชาวแอซเทค และอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่ก่อสร้างอารยธรรมเมโสอเมริกา
ว่าก่อนยุคที่สเปนเข้ามาปกครองในแถบนี้อารยธรรมเคยรุ่งเรืองขนาดไหน แต่ถ้ามาแล้วจะรีบมารีบไปคงไม่เหมาะเพราะด้านในมีห้องหับ 20 กว่าห้อง แต่ละห้องจะพาทุกคนย้อนไปดูอดีตในช่วงหลายพันปีของเม็กซิโก
ด้านในเขาจะแบ่งเป็นโซนๆ ตามแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่ส่วนใหญ่ก็บอกเล่าวิถีชีวิตและความเชื่อของผู้คนในยุคนั้นๆ ผ่านวัตถุโบราณ ถ้วยชาม เครื่องใช้ไม้สอย รูปปั้น รูปแกะสลัก เหรียญ รวมถึงภาพแกะสลักนูนต่ำช่วยบอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี
บางมุมเป็นการแสดงวิถีชีวิตของชนเผ่ากว่า 50 เผ่าในอดีต ผ่านเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องดนตรี และเครื่องใช้ไม้สอยภายในบ้าน มุมที่ผู้คนไปยืนดูกันมากที่สุดเห็นจะเป็น
สโตน ออฟ เดอะ ซัน (Stone of the Sun) ที่หลายคนเชื่อกันว่าเป็นปฏิทินโบราณของชาวแอซเทค แผ่นหินสกัดทรงกลมขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ช่างเข้มขลังเหมือนมีมนตราที่สะกดให้นักเดินทางทุกคนหยุดมองในทุกรายละเอียดที่อยู่ด้านใน แผ่นหินแกะสลักนูนต่ำชิ้นนี้เผยให้เห็นถึงภูมิความรู้ที่ก้าวล้ำทางดาราศาสตร์ของผู้คนในอดีต
โดยบอกเล่าถึงความเชื่อของชาวแอซเทคที่มีต่อโลกนอกจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้ว เม็กซิโก ซิตี้ ยังมีมุมอื่นอีกที่มีไว้ย้อนดูอดีต ฉันจึงมุ่งหน้ากลับไปหาจัตุรัสกลางเมืองอย่างโซคาโล (Zocalo) จัตุรัสกลางเมืองแห่งนี้เดิมทีเคยถูกเรียกว่าจัตุรัสอาร์มาส (Plaza de Armas) แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นจัตุรัสรัฐธรรมนูญ (Plaza de la Constitución) เมื่อต้นศตวรรษที่ 19 เพื่อเฉลิมฉลองการประกาศรัฐธรรมนูญ
นี่คือจัตุรัสใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไซส์เดียวกับจัตุรัสเทียนอันเหมินแห่งปักกิ่ง และจัตุรัสแดงแห่งมอสโก บริเวณจัตุรัสแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของเม็กซิโก ซิตี้ ตั้งแต่ยุคที่สเปนเข้ามาปกครองแล้ว ยืนมุมนี้แล้วอาจเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย
บางครั้งความใหญ่ของจัตุรัสก็ทำให้เราทำตัวไม่ถูก ไม่ว่าใครจะจัดงานรื่นเริง เทศกาลงานประเพณี หรือมีการประท้วง ก็ยึดโซคาโลนี่เอง ตรงกลางจัตุรัสมีธงชาติเม็กซิโกผืนใหญ่ปลิวสะบัดอยู่ รอบด้านล้วนเป็นอาคารสำคัญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นมหาวิหารเมโทรโพลิทัน (Metropolitan Cathedral) ทำเนียบรัฐบาล (Palacio Nacional)
อีกด้านหนึ่งของจัตุรัสคืออาคารที่ทำการของพวกหน่วยงานรัฐและกระทรวงต่างๆ มีอยู่ด้านเดียวที่เปิดให้คาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านรวงได้เช่าตึกขายของ
ฉันมุ่งหน้าไปหามหาวิหารเป็นที่แรก ที่นี่วิหารใหญ่ที่สุดในเขตละตินอเมริกาที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ใช้เวลาในการก่อสร้างเกือบ 3 ศตวรรษ ซึ่งสร้างทับวัดเก่าของชาวแอซเทค
และมีการตกแต่งผสมผสานกันหลายสไตล์มีทั้งคลาสสิก นีโอคลาสสิก และบาโรค จนออกมากลายเป็นความคลาสสิกและงดงามเหลือเกิน เมื่อเดินเข้าสู่ด้านในก็พบว่าที่นี่เข้มขลังมาก มีแท่นบูชาหลายแท่นมาก แถมยังมีห้องสวดมนต์อีกเกือบ 20 ห้อง ทุกวันนี้ชาวเมืองยังแวะเข้ามาปฏิบัติศาสนกิจกันทุกเมื่อเชื่อวัน
พอออกจากมหาวิหาร ฉันก็เดินเข้าไปที่ทำเนียบรัฐบาลที่อยู่เยื้องกัน ที่นี่เป็นเคยเป็นที่อยู่ของเฮอร์นัน คอร์เตซ ขุนพลชาวสเปนที่เดินเรือมาพิชิตชาวแอซเทคจนครอบครองเม็กซิโกได้ ทำเนียบรัฐบาลแห่งนี้เคยใช้เป็นที่พำนักของบุคคลสำคัญในอดีตมากมาย ไม่ว่าจะกษัตริย์ไปจนถึงประธานาธิบดี ซึ่งว่ากันว่าเป็นการสร้างทับพระราชวังเดิมของกษัตริย์แอซเทคก่อนจะเข้าไปชมด้านในตรงลานกว้างมีน้ำพุตรงกลาง
แต่พอเข้าไปสู่ด้านในก็จะพบกับภาพเขียนบนฝาผนังและบนเพดานฝีมือของจิตรกรเอกของโลกอย่างดิเอโก ริเวียรา ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตของเม็กซิโก นับตั้งแต่ช่วงสเปนยังไม่บุกเข้ามายึดครองดินแดนแถบนี้ของชาวแอซเทค ภาพวิถีชีวิตของผู้คนไปจนถึงช่วงที่สู้รบกัน ไปจนถึงยุคอาณานิคม จนถึงช่วงที่มีการประกาศอิสระภาพ
ไม่ไกลจากพระราชวังแห่งชาติยังเป็นเท็มโปล มายอร์ (Templo Mayor) เป็นมหาวิหารศักดิ์สิทธิและกลุ่มพิระมิดที่ชาวแอซเทคเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางจักรวาล ซึ่งหลังจากที่สเปนเข้ามาปกครอง ก็เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของพวกชาวแอซเทค รวมถึงมหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ที่จริงไม่ได้มีแค่เรื่องราวในอดีตเท่านั้น แต่ยังมีสวนอันรื่นรมย์ ตลาดนัด กลางแจ้ง
และบรรดาพิพิธภัณฑ์ ที่กว่าจะรู้ตัวอีกที ฉันก็เคลิ้มไปกับเสน่ห์ในอดีตของเม็กซิโก ซิตี้ เข้าเสียแล้ว
– จะไปเม็กซิโก ซิตี้ สายการบินแอร์ฟรานซ์ และสายการบินเคแอลเอ็ม มีเที่ยวบินไปเม็กซิโก ซิตี้ คลิกไปดูที่ www.airfrance.co.th/ และ www.klm.co.th
– เม็กซิโก ซิตี้ เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม มีที่พักน่ารักและราคาถูกให้เลือกเต็มไปหมด คลิกเข้าไปสำรวจในเว็บไซต์จองที่พักเอ็กซ์พีเดียได้ www.expedia.co.th แนะให้พักแถวรอบๆ โซคาโล หรือไม่ก็แถวถนน Reforma จะได้ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวจนเกินไป
– คนไทยไปเม็กซิโก ต้องทำวีซ่า แต่ถ้าใครที่มีวีซ่าอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุ สามารถเข้าไปท่องเที่ยวได้เลย