12 Best Places to See Autumn Leaves – 12 ประเทศชมใบไม้เปลี่ยนสี
ช่วงตั้งแต่เริ่มกลางเดือนกันยายน – กลางเดือนธันวาคม เป็นฤดูกาลแห่งการผลัดเปลี่ยนสีของใบไม้ ความสวยงามของใบไม้ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีหรือฤดูใบไม้ร่วง (Autumn Season) พร้อมเบ่งบานต้อนรับนักท่องเที่ยวในหลากหลายมุมโลก ภาพใบไม้ ออกส้ม เหลือง แดง อุณหภูมิประมาณ 10-18 องศา เหมาะการท่องเที่ยว มีที่ไหนบ้างน่าสนใจไปดูกัน
ญี่ปุ่น (Japan)
ช่วงเวลาการเปลี่ยนสีของใบไม้ที่ญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายน – ตุลาคม ตั้งแต่โซนเหนือเช่น ฮอกไกโด มีสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่น่าสนใจอย่างอุทยานแห่งชาติไดเซสึซัง (Daisetsuzan National Park) ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “สนามเด็กเล่นของเทพเจ้า” เป็นที่ตั้งของภูเขาสูงตระหง่าน ครอบคลุมพื้นที่ของ เมืองอาซาฮิคาวะ เมืองคามิคาวะ เมืองบิเอะ และ เมืองฟูราโนะ มีขนาดพื้นที่กว่า 2,267 ตารางกิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็น อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีทุ่งดอกไม้อัลไพน์อันกว้างใหญ่ และพืชและสัตว์หายาก

โซนกลางแถบโตเกียว ที่ชมใบไม้เปลี่ยนหลายคนรู้จักดีอย่างทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) จังหวัดยามานาชิ ที่ภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง แต่ถ้าใครอยากเห็นภาพบ้านโบราณท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีล่ะก็ต้องหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) จังหวัดกิฟุ หรือภาพสวนเมจิจิงงู ไกเอ็น (Meiji Jingu Gaien) เมืองหลวงโตเกียวทที่มีต้นแปะก๊วยสองข้างทางยาวตลอดแนวและพอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง

สำหรับโซนทางใต้ อย่างเกียวโต, ฮิโรชิมา, และคิวชู จะเริ่มเปลี่ยนสีในช่วงตุลาคม – พฤศจิกายน จุดชมแนะนำเช่น วัดคิโยมิซุ (Kiyomizu-dera) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ วัดน้ำใส จังหวัดเกียวโต ที่ห้ามพลาด นั่งรถไฟชมวิวซากาโน่ (Sagano Scenic Train) หรือรถไฟสายโรแมนติก ที่เริ่มจากอาราชิยามะ ไปถึง คาเมโอกะ ในระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางก็จะได้ชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยโรแมนติกสมชื่อ ใช้เวลาประมาณ 25 นาที และที่สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park) บนเกาะมิยาจิมะ จังหวัดฮิโรชิมา ในฤดูใบไม้ร่วง ต้นเมเปิลประมาณ 700 ต้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
การเดินทาง โดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปประเทศญี่ปุ่นใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปลายทางในญี่ปุ่น
– คนไทยเข้าประเทศญี่ปุ่นได้โดย ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับการพำนักระยะสั้นไม่เกิน 15 วัน
เกาหลีใต้ (South Korea)
สถานที่ยอดนิยมชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เกาหลีใต้ อันดับต้นๆ ที่เรานึกถึงก็ได้แก่ อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (Seoraksan National Park) ตั้งอยู่ในเมืองซกโช จังหวัดคังวอนโด ที่มีทัศนียภาพงดงามของภูเขาและธรรมชาติ ให้คุณได้เพลิดเพลินกับเส้นทางเดินเขามากมายตามไหล่เขาเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ตามมาด้วยเกาะนามิ (Nami Island) เกาะที่โด่งดังมาจากซีรีส์ดัง ระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ต้นไม้บนเกาะจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม สีแดง และสีเหลือง มีอุโมงค์ต้นเมเปิ้ลสีแดง อุโมงค์ต้นแปะก๊วยสีเหลืองที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่สวยงามและโรแมนติก

สำหรับเมืองหลวงกรุงโซลมีจุดที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอตฮิตทั้งบริเวณพระราชวังและมหาวิทยาลัยอย่าง พระราชวังเคียงบ็อกกุง (Gyeongbokgung Palace), พระราชวังชางด็อกกุง (Changdeokgung Palace), นัมซาน พาร์ค (Namsan Park) ยิ่งบริเวณ ถนนจองดงกิลล์ (Jeongdong-gil) ต้นแปะก๊วยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่ามตลอดแนวถนนเลียบกำแพงหินของพระราชวังถ็อกซูกุง (Deoksugung Palace)

นอกจากนี้คุณยังจะชมความสวยงามของถนนที่สองข้างทางเป็นต้นแปะก๊วยให้สีเหลืองตลอดเส้นทาง อย่างเช่นถนนแห่งอาซาน (Asan Ginkgo Road) ป่าแปะก๊วยฮงชอน (Hongcheon Ginkgo Forest) หรือถนนแปะก๊วยนัมพยอง (Nampyeong Ginkgo Road) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนาจู จังหวัดจอลลานัมโด
การเดินทาง โดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปประเทศเกาหลีใต้ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 30 นาที ถึง 6 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับปลายทาง
– คนไทยต้อง ลงทะเบียน K-ETA (Korea Electronic Travel Authorization) เพื่อเข้าเกาหลีใต้สำหรับการท่องเที่ยวระยะสั้นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าและมีอายุ 2 ปี สามารถเข้าเกาหลีได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง พำนักได้ครั้งละไม่เกิน 90 วัน
จีน (China)
ช่วง 2 ปีหลังจากข้อตกลงฟรีวีซ่าไทย-จีน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 ทำให้คนไทยเดินทางไปเที่ยวประเทศจีนมากขึ้น และหลายคนอาจไม่รู้ว่าประเทศจีนมีสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยงามหลายจุดด้วยกัน

สำหรับเมืองหลวงอย่าง ปักกิ่ง จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ห้ามพลาดคือบริเวณถนนต้นแป๊ะก๊วย (Ginko Avenue Beijing) ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณ Ditan Park สามารถชมใบแปะก๊วยสีเหลืองทองอร่ามได้ หรือกำแพงเมืองจีน หรือกำแพงหมื่นลี้ หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ด่านซือหม่าไถ (Simatai) ก็เป็นอีกจุดที่น่าสนใจ และจุดที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยดีอย่างอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie National Forest Park) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี ค.ศ. 1992 เมืองจางเจียเจี้ย มณฑลหูหนาน ก็เต็มไปด้วยภาพใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามแปลกตาและภูเขาสุดยิ่งใหญ่

เขตปกครองตนเองซินเจียง ไม่ไกลจากมองโกเลีย อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี เรียกได้ว่าสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่ชอบแนวผจญภัยและรักการถ่ายภาพ เวลาจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้แค่ เดือนพฤษภาคม – เดือนตุลาคม เท่านั้น แต่ช่วงกันยายน ตุลาคมบริเวณอุทยานคานาสือ (Kanas National Nature Reserve) ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงามก็เหมาะให้เป็นปลายทางชมใบไม้เปลี่ยนสีอีกแห่ง

นอกจากนี้ยังมี อุทยานแห่งชาติ ย่าติง (Yading Nature Reserve) จิ่วจ้ายโกว (Jiuzhaigou) ที่มณฑลเสฉวนที่ควรใส่เข้าไปในจุดหมายการเดินทางชมใบไม้เปลี่ยนสีที่จีน
ระยะเวลาในการเดินทางไปประเทศจีน โดยทั่วไปจะใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับเมืองที่ใกล้ เช่น คุนหมิง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และประมาณ 4 ชั่วโมง 48 นาที สำหรับเมืองหลวงอย่าง ปักกิ่ง
– คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ต้องขอวีซ่า เพื่อเข้าประเทศจีนแล้ว เนื่องจากข้อตกลงฟรีวีซ่าไทย-จีน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 ทำให้สามารถพำนักในจีนได้ไม่เกิน 30 วันต่อครั้ง
สหรัฐอเมริกา (United States of America)
ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ปกติจะเปลี่ยนสีช่วงปลายกันยายน เรื่อยไปจนถึงปลายตุลาคม มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย นี้ โดยใบไม้จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีทองอร่าม

อีกหนึ่งบริเวณคือ รัฐทั้งหกของนิวอิงแลนด์ (New England) ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา ประกอบด้วยรัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) รัฐโรดไอแลนด์ (Rhode Island) รัฐคอนเนคทิคัต (Connecticut) รัฐนิวแฮมเชอร์ (New Hampshire) รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) และรัฐเมน (Maine) ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือช่วงต้นถึงกลางเดือนตุลาคม อย่างที่รัฐเวอร์มอนต์ มีชื่อเสียงในเรื่องภูมิประเทศธรรมชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ อย่างเทือกเขากรีนส์เมาเทนส์จะเปลี่ยนจากสีเขียวขจีไปเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีน้ำตาลแดง แดง ส้ม และเหลือง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการเดินป่า ที่นี่เป็นผู้ผลิตน้ำเชื่อมเมเปิ้ลรายใหญ่อีกด้วย

การเดินทางจากไทยไปสหรัฐอเมริกาใช้เวลาประมาณ 17-24 ชั่วโมง หรืออาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสายการบิน เส้นทางบิน จุดแวะพัก และเมืองปลายทาง ส่วนสายการบินที่มีบินตรงมีเพียง สายการบิน United Airlines ซึ่งจะกลับมาให้บริการเที่ยวบินตรงจากสหรัฐอเมริกา (Los Angeles) มายังกรุงเทพฯ (BKK) ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568
คนไทยที่ต้องการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาต้องยื่นขอวีซ่าทุกกรณี โดยมีขั้นตอนหลักคือ กรอกแบบฟอร์ม DS-160 ออนไลน์, ชำระค่าธรรมเนียม, สร้างโปรไฟล์บนเว็บไซต์ USTravelDocs.com, นัดสัมภาษณ์ที่สถานทูตฯ และเข้ารับการสัมภาษณ์พร้อมเอกสารประกอบ
แคนาดา (Canada)
คนที่ชื่นชอบเมืองเก่าและบรรยากาศที่ให้สีโทนอุ่นๆ เขียวเหลือง ส้ม แดงต้องชื่นชอบเมืองควิเบก (Quebec) ของแคนาดาเป็นแน่ ในฤดูใบไม้ร่วง ภาพของใบไม้เปลี่ยนสีแทรกตัวอยู่ท่ามกลางเมืองเก่าอายุกว่า 400 ปีชมวิวแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ (St. Lawrence River) และภาพกำแพงเมือง และป้อมปราการเก่าแก่ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ จุดแนะนำคือ ช่วงพระอาทิตย์ตกยามเย็นริมแม่น้ำ เซนต์ลอว์เรนซ์ ที่มีโรงแรม Fairmont Le Château Frontenac เป็นฉากหลังพร้อมใบไม้หลากสี สุดคลาสสิก

ต้นลาร์ชสีทอง (Larch) เป็นสนชนิดเดียวในพื้นที่ที่ผลัดใบ ที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองสดใสบริเวณอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (banff national park) อยู่ในเทือกเขาร็อกกี้ในตอนใต้ของรัฐอัลเบอร์ตา ช่วงที่สวยงามที่สุดประมาณเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม เป็นอีกจุดที่ไม่ควรพลาด

ปิดท้ายที่เมืองหลวงอย่างออตตา (Ottawa) แม้ว่าจะเป็นเมืองเงียบๆ แต่การการนั่งรถเลาะเลียบแม่น้ำออตตาวาเป็นอีกทางเลือกในการชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีอีกทาง นอกจากนั้นบริเวณอาคารรัฐสภา (Parliament Hill) ก็มีใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามน่าชม
การเดินทางจากไทยไปแคนาดามีระยะเวลาตั้งแต่ 14-30 ชั่วโมง โดยประมาณ เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินตรง แต่ต้องมีการต่อเครื่อง
คนไทยต้องยื่นขอ eTA (Electronic Travel Authorization) หรือ วีซ่าท่องเที่ยว (Visitor Visa) เพื่อเข้าประเทศแคนาดา โดยหากเคยมีวีซ่าสหรัฐอเมริกา หรือเคยได้รับการอนุมัติ eTA มาก่อน จะสามารถยื่นขอ eTA แทนการยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวได้ การยื่นขอ eTA ทำได้ง่ายและรวดเร็วทางออนไลน์ ส่วนการยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวจะใช้เวลาพิจารณานานกว่าและมีเอกสารที่ต้องเตรียมมากกว่า
สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
สำหรับคนที่ชื่นชมใบไม้เปลี่ยนสี ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เรียกได้ว่า เป็นอันดับต้นๆ ของทวีปยุโรปในการชมใบไม้เปลี่ยนสี จุดชมอย่างหมู่บ้านเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) ที่อยู่ใกล้ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) หมู่บ้านกลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เกิดเป็นริเวนเดลล์ (Rivendell) หนึ่งในดินแดนแห่งเหล่าเอลฟ์จากนวนิยายและภาพยนตร์เรื่อง Lord of the Rings แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่กลับจัดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ รายล้อมไปด้วยหุบเขาสูง 1,000 เมตร และทิวทัศน์อันแสนยิ่งใหญ่ของเทือกเขาแอลป์ที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม

หมู่บ้านเซอร์แมท (Zermatt) ที่มาพร้อมกับชื่อเสียงของยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ภาพของทุ่งหญ้าป่าไม้บนเทือกเขาแอลป์ที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีทอง สีแดง และสีส้ม เหมาะสำหรับการเดินป่าชมธรรมชาติหรือร่วมกิจกรรม ประเพณีเทศกาลท่องถิ่น ที่จัดขึ้นหลากหลาย เป็นการผสมผสานระหว่างความงามของธรรมชาติ การผจญภัยกลางแจ้ง และเสน่ห์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ที่ห้ามพลาด คือการนั่งรถไฟสาย GoldenPass Line ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่โรแมนติกและงดงามที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ เชื่อมต่อเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่าง Montreux เมืองริมทะเลสาบสุดคลาสสิก – Gstaad – Interlaken – Lucerne ตลอดเส้นทางกว่า 191 กิโลเมตร คุณจะได้สัมผัสวิวที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ไร่องุ่นริมทะเลสาบเจนีวา หมู่บ้านชาเลต์แสนสวย ไปจนถึงยอดเขาที่ปกคลุมด้วยภาพของต้นไม้ใบไม้ที่เปลี่ยนสี
การเดินทางจากไทยไปสวิตเซอร์แลนด์ด้วยเครื่องบินใช้เวลาประมาณ 12-13 ชั่วโมง สำหรับเที่ยวบินตรง และ 15-18 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นสำหรับเที่ยวบินที่มีการแวะพักเปลี่ยนเครื่อง โดยปลายทางที่นิยมที่สุดคือสนามบินซูริก (ZRH)
เยอรมนี (Germany)
ภาพแรกสำหรับใบไม้เปลี่ยนสีที่เยอรมนี คงหนีไม่พ้นแคว้นบาวาเรีย (Bavaria) โดยเฉพาะปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein Castle) ปราสาทต้นแบบของเทพนิยาย และนิทานที่แสนสวยงาม ยิ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีบรรยากาศจะยิ่งงดงามมากเป็นพิเศษด้วยต้นไม้ใบไม้ที่ล้อมรอบปราสาทจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แดง ส้ม และน้ำตาล ตัดกับสีขาวของปราสาท ทำให้ทัศนียภาพบริเวณเทือกเขาแอลป์แห่งบาวาเรียยิ่งดูงดงามราวกับภาพวาด

เมืองไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg) เมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นบาเดิน (Baden) – เวือร์ทเทมแบร์ก (Wurttemberg) เป็นเมืองเก่าที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงใบไม้ทั้งสีส้ม สีเหลือง และสีแดงสะท้อนกับผิวแม่น้ำเนคคาร์ (Neckar) สวยงามและเป็นช่วงฤดูกาลที่ดีสำหรับการเดินเล่นชมวิวที่สะพานเก่า (Old Bridge) และบริเวณรอบปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle) เพื่อชมแสงยามเย็นที่สวยงาม.

การเดินทางจากไทยไปเยอรมนีด้วยเครื่องบินจะใช้เวลา ประมาณ 11.5 ถึง 12 ชั่วโมงสำหรับการบินตรงไปยังเมืองหลักเช่น เช่น แฟรงก์เฟิร์ต หรือมิวนิก และอาจใช้เวลานานกว่านั้นหากต้องมีการแวะพักเปลี่ยนเครื่อง
ออสเตรีย (Austria)
หมู่บ้านสุดโรแมนติกริมทะเลสาบที่โอบล้อมด้วยเทือกเขา ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ใบไม้ ที่ไล่เฉดสีตั้งแต่เขียว เหลือง ส้ม แดง ไปทั่วทั้งภูเขาและหมู่บ้านอย่างฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงนี้

ต่อด้วยพระราชวังเชรินน์บรุนน์ (Schoenbrunn Palace) คือพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ในกรุงเวียนนา ที่สวนที่รายล้อมเปลี่ยนสีสดใสตามฤดูกาล สถาปัตยกรรมอย่าง มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen’s Cathedral) ศาลาว่าการกรุงเวียนนา (Vienna City Hall) ก็มีความพิเศษเพิ่มขึ้นเมื่อมีใบไม้เปลี่ยนสี

และที่พลาดไม่ได้คือ เมื่อใบไม้บนเทือกเขาแอลป์เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทอง และแดง จุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดคือ ยอดเขาฮาเฟเลคาร์สปิตซ์ (Hafelekarspitze) ซึ่งเป็นยอดเขาที่มองเห็นวิวเมืองอินส์บรูค (Innsbruck) แบบพาโนรามา ภาพของบ้านเรือนที่เล็กจิ๋ว คล้ายบ้านตุ๊กตา ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาและใบไม้เปลี่ยนสี ดูน่ารักและน่าทึ่งเป็นที่สุด
การเดินทาง จากไทยไปออสเตรียใช้เวลาเฉลี่ย 11 ชั่วโมง 13 นาที
อิตาลี (Italy)
ที่ที่สวยที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในอิตาลีคือ อุทยานแห่งชาติโดโลไมท์ (Dolomites National Park) ดินแดนเทือกเขาหินปูน ยอดเขาแท่งแหลมสูงชันแปลกตาแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ (Alps) ที่ทอดยาวพาดผ่านหลายประเทศในทวีปยุโรป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือทางตอนเหนือของอิตาลีแห่งนี้เอง ควรเดินทางไปช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคมเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีใบไม้เปลี่ยนสีเหลืองทอง ทั้งเทือกเขาโดโลไมท์ และยังมีแสงแดดที่สวยงามเหมาะกับคนที่รักการถ่ายภาพ

การเดินทางจากไทยไปอิตาลีใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมง 30 นาที ถึง 16 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเส้นทางและจำนวนเที่ยวบินต่อเครื่อง เวลาบินอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปลายทางในอิตาลี เช่น โรม มิลาน และสายการบินที่คุณเลือก
สาธารณรัฐเช็ก (The Czech Republic)
เมืองเชสกี้ ครุมลอฟ (Český Krumlov) น่าจะเป็นจุดหมายแรกสำหรับคนที่เดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เช็ก เป็นการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ล้อมรอบเมืองมรดกโลกที่แสนโรแมนติกแห่งนี้ ภาพของบ้านเรือนหลังคาสีส้มแดงตัดกับใบไม้เปลี่ยนสี เป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับเป็นที่สุด

ต่อมาที่กรุงปราก (Prague) ที่มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสี หลากหลายจุดมาก ไม่ว่าจะเป็นบริเวณปราสาทปราก ริมแม่น้ำวัลตาวา ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันอบอุ่นของใบไม้แดง ส้ม และทองแสงสีทองอร่ามจะส่องประกาย ระยิบระยับ ยิ่งเพิ่มความสวยงามและความโรแมนติกให้กับเมือง
ระยะเวลาเดินทางจากไทยไปสาธารณรัฐเช็กนั้น แตกต่างกันไปตามเที่ยวบิน จะใช้เวลาประมาณ 11-17 ชั่วโมง
ฝรั่งเศส (France)
ฝรั่งเศส เมืองที่ได้รับสมญานามว่าเป็นนครแห่งความโรแมนติก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูกาลของใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ทั้งเมืองกำลังเปลี่ยนสี เป็นสีเหลืองส้มทอง ทำให้บรรยากาศที่โอบล้อมเต็มไปด้วยความสวยงามเย้ายวนใจทวีวามโรแมนติกมากยิ่งขึ้น

สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี ไม่ว่าจะเป็นบริเวณสวนต่างๆ ทั้งสวนลุกซ็องบูร์ (Jardin du Luxembourg) สวนสไตล์ฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในเขตลาตินใจกลางปารีส ไม่ไกลจากย่านมหาวิทยาลัย สวนสาธารณะ ปาร์กเดส์บัตส์-โชมงต์ (Parc des Buttes-Chaumont) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปารีสเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีภูมิทัศน์สวยงาม มีเนินเขาจำลอง, น้ำตก, ถ้ำ, และสะพานแขวน สวนตุยเลอรีส์ (Tuileries Gardens) สวนสาธารณะที่อยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ก็เหมาะแก่การเดินเล่นชมใบไม้เปลี่ยนสี.

สำหรับพระราชวังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังแวร์ซายส์ (Palace of Versailles) บริเวณสวนที่ตกแต่งอย่างงดงามช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็ยังสวยงามยิ่งขึ้น ปราสาทช็องบอร์ (Château de Chambord) ผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาฝรั่งเศส ปราสาทเก่าแก่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำลัวร์ ตัวปราสาทรายล้อมด้วยสวนป่าปิดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เราจะพบสวนองุ่นที่เปลี่ยนเป็นสีแดงทอง
ระยะเวลาการเดินทางจากไทยไปฝรั่งเศสจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเที่ยวบินตรงหรือไม่ โดยเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปปารีสใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง 30 นาที ถึง 13 ชั่วโมง แต่เที่ยวบินที่มีการแวะพักอาจใช้เวลานานกว่านั้นมาก ตั้งแต่ 14 ชั่วโมง ไปจนถึงกว่า 30 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนจุดแวะพักและระยะเวลาการรอ.
ฟินแลนด์ (Finland)
รัสกา (Ruska) เป็นภาษาฟินแลนด์ที่หมายถึงปรากฏการณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ดังนั้นช่วงรัสกา คือช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่ใบไม้ในป่าเปลี่ยนเป็นสีสันสดใส เช่น สีแดง ส้ม และเหลืองอร่าม ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ ปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม โดยจะแผ่ขยายจากทางตอนเหนือของฟินแลนด์ลงมาทางใต้ และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินป่า เก็บเบอร์รี่และเห็ด หรือการชมแสงเหนือที่เริ่มปรากฏให้เห็นในยามค่ำคืนที่มืดลง

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ในพื้นที่เมืองอย่างไคโวพุยสโต (Kaivopuisto) มีชื่อเล่นว่า Kaivari ในภาษาฟินแลนด์ หรือ Brunsan ในภาษาสวีเดน เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่เก่าแก่ มีขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่งในใจกลางกรุงเฮลซิงกิ มีภูมิทัศน์สวยงาม พื้นที่เปิดโล่งสีเขียว คุ้มค่าแก่การมาเที่ยวชมอย่างแน่นอน
นอกจากนั้นบรรดาอุทยานแห่งชาติต่างๆก็เหมาะแก่การไปเที่ยวชม อย่างเช่น อุทยานแห่งชาติอูลันกา (Oulanka National Park) อุทยานแห่งชาติ ในเขต ออสโตรบอธเนียตอนเหนือ และ แลปแลนด์ ภูมิทัศน์ของอุทยานประกอบขึ้นจากป่าสน แม่น้ำในหุบเขากับตลิ่งทราย และแก่งต่างๆ ดังนั้นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี จึงสวยงามเหมาะสำหรับนักเดินป่า อุทยานแห่งชาติอูโลเนียเมนทูรี (Urho Kekkonen National Park): ในแถบภูเขาอาร์กติกเป็นอีกหนึ่งอุทยานแห่งชาติที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์สดใสในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องแสงเหนือและเป็นบ้านของซานตาคลอสตามตำนาน อุทยานแห่งชาติซัลลา (Salla National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งใหม่ล่าสุดของประเทศฟินแลนด์ ตั้งอยู่ในภูมิภาคแลปแลนด์ (Lapland) ทางตะวันออกของประเทศ มีป่าไม้เก่าแก่และบึงที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่ของพืชพรรณหายาก

การเดินทางจากประเทศไทยไปฟินแลนด์ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง 30 นาที ถึง 18 ชั่วโมง 40 นาที ขึ้นอยู่กับเส้นทางและเที่ยวบินที่เลือก โดยเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปเฮลซิงกิจะใช้เวลาประมาณ 18 ชั่วโมง 23 นาที ถึง 18 ชั่วโมง 40 นาที ส่วนเที่ยวบินที่มีการต่อเครื่องจะใช้เวลาเฉลี่ยมากกว่านี้
เตรียมตัวเดินทางยุโรป
คนไทยที่ต้องการเดินทางไปโซนยุโรป ไม่ว่าจะเป็น สวิตเซอร์แลนด์, เยอรมนี, ออสเตรีย, อิตาลี, สาธารณรัฐเช็ก, ฝรั่งเศส, ฟินแลนด์ ต้องยื่นขอ วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ประเภทพำนักระยะสั้น สามารถยื่นคำร้องได้ที่ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของแต่ละประเทศและต้องจองการนัดหมายล่วงหน้า เอกสารที่ต้องใช้มีหลายอย่าง โดยควรยื่นคำร้องล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วันทำการ แต่ไม่เกิน 6 เดือนก่อนการเดินทาง
โดยวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa): เป็นวีซ่าระยะสั้นที่อนุญาตให้พำนักเช่น ท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ ในประเทศในกลุ่มเชงเก้น ได้สูงสุด 90 วัน ภายในระยะเวลา 180 วัน สำหรับการพำนักระยะยาวเกิน 90 วัน (เช่น ทำงาน ศึกษาต่อ) ผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและยื่นคำร้องได้ที่เว็บไซต์ของ สถานเอกอัครราชทูต และศูนย์รับยื่นวีซ่า แต่ละประเทศ







