Top 10 most liveable cities in 2023 -10 เมืองน่าอยู่ ปี 2023

ในทุกๆปี Economist Intelligence Unit (EIU) จะมีการเปิดผลดัชนี เมืองน่าอยู่มากที่สุดในโลก (Global Livability Index) โดยเป็นการจัดอันดับจาก 173 ประเทศ โดยปี 2023 เป็นปีที่ทั่วโลกกลับฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคระบาด โควิด-19 จนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว หลายประเทศส่วนใหญ่ มีการยกเลิกและลดขั้นตอนกฎระเบียบออก ทำให้ค่าเฉลี่ยความน่าอยู่ของทุกทวีปทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น

สำหรับเกณฑ์การพิจารณาต่างๆในการจัดอันดับ “เมืองที่น่าอยู่มากที่สุดในโลก” จะพิจารณาจากเกณฑ์พิจารณาต่างๆ ห้าปัจจัยหลัก ได้แก่ เสถียรภาพและความมั่นคงในชีวิต เช่น อัตราอาชญากรรม ความเสี่ยงจากสงคราม  ,ระบบสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน , วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น ภูมิอากาศ อัตราการคอร์รัปชัน ,การศึกษาทั้งทางภาครัฐและเอกชน , โครงสร้างพื้นฐาน เช่น คุณภาพของถนน คุณภาพขนส่งมวลชน เป็นต้น

โดยปี 2023 นี้ เมืองที่ติดอันดับ 1 เมืองน่าอยู่มากที่สุดในโลก  ได้แก่ เมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย  ซึ่งเมืองเวียนนานี้ได้ คว้าแชมป์เป็นปีที่  4 ปีแล้ว ส่วนอีก 9 อันดับ ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองที่อยู่ในทวีปยุโรปและเอเชียแปซิฟิกมีที่ไหนบ้างนั้นไปเราจะพาไปแนะนำกัน

1. เวียนนา, ออสเตรีย (Vienna, Austria) 98.4 คะแนน

เวียนนาเป็นเมืองหลวงของออสเตรียแห่งนี้ มีความผสมผสานหลายอย่างอย่างลงตัว เป็นอดีตที่รวมเข้ากับปัจจุบันทั้ง วัฒนธรรม สถานปัตยกรรม ชีวิตความเป็นอยู่ เกิดเป็นพื้นฐานโครงสร้าของเมืองที่น่าไปเยี่ยมเยือนและน่าอยู่สมกับที่ได้อันดับหนึ่ง หากคุณได้เคยไปเวียนนาคุณจะเห็นความสะอาดและสวยงามของเมือง ด้วยเพราะล้อมรอบด้วยภูเขา และพื้นที่สีเขียวที่มีมากเกินกว่าครึ่งของเมือง ทำให้เกิดมลพิษน้อย และสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรกับผู้ที่ไปเยือน 

การวางผังเมือง รวมไปถึงระบบขนส่งสาธารณะของเมืองที่มีประสิทธิภาพที่ดี ที่เกิดจากการวางเครือข่ายทั้งรถราง รถใต้ดิน รถบัสทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อไปในสถานที่ต่างๆของเมืองได้อย่างง่ายดาย  แต่ด้วยเพราะขนาดเมืองที่ไม่ใหญ่เกินไป จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นคนเมืองนี้ใช้วิธีการเดินในการไปยังสถานที่ต่างๆ

ระบบการศึกษาของเวียนนาเองก็โดดเด่นและโด่งดัง เน้นการศึกษาแบบก้าวหน้า ที่ให้เด็กได้คิด สร้างสรรค์ ตามความถนัดของแต่ละคน ตลอดจนระบบบริการสุขภาพที่มีมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถ บริการรวดเร็วและเข้าถึงได้ไม่ยากยิ่งทำให้คุณภาพชีวิตของเวียนนาสูงยิ่งขึ้น

ในแง่ของการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม เวียนนาถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมแห่งศิลปะหลากหลายแขนงไม่ว่าจะเป็น ดนตรี สถาปัตกรรม เป็นต้นกำเนิดของนักดนตรีหลายคนไม่ว่าจะเป็น บีโธเฟ่น, โมสาร์ท, โยฮันน์ ชเตราสส์เราจะเห็นพิพิธภัณฑ์รวมไปถึงสถานที่แสดงงานศิลปะ โรงละคร กระจายตัวอยู่ทั่วมหานครแห่งนี้

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่หากมาเวียนนาแล้วต้องแวะและสามารถเดินทางเชื่อมต่อกันไปได้อย่างง่ายดาย ได้แก่ พระราชวังเชินบรุนน์ (Schoenbrunn Palace) อดีตเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮอฟบวร์ก มาตั้งแต่สมัยคริสศตวรรษที่ 13 – 20 ป็นอาคารในสไตล์โรโคโคที่งดงามและใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรีย พระราชวังฮอฟบวร์ก (Hofburg Palace) เป็นพระราชวังที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1275 แต่เดิมคือพระราชวังฤดูหนาวของราชวงศ์ฮอฟบวร์ก ในปัจจุบันส่วนหนึ่งของพระราชวังเป็นที่พำนักและทำเนียบของประธานาธิบดีออสเตรีย มหาวิหารเซนต์สตีเฟน เวียนนา (St. Stephens Cathedral Vienna) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1147 มีเอกลักษณ์เด่นคือยอดปลายแหลมของสถาปัตยกรรมแบบโกธิค (Gothic) เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของเมืองก็ว่าได้ พระราชวังเบลเวอร์เดียร์และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Belvedere Palace) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1663 เพื่อใช้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าชายยูจีน พระองค์ทรงชื่นชอบในงานศิลปะเป็นอย่างมาก จึงทำให้พระราชวังแห่งนี้ได้รับการสร้างและตกแต่งอย่างวิจิตรตระการ  โรงอุปรากรเวียนนา (Vienna State Opera) เป็นโรงอุปรากรที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้านหน้าของอาคารเป็นสถาปัตยกรรมในสไตล์เรอเนสซองส์ นอกจากนั้นยังมีศาลาว่าการกรุงเวียนนา (City Hall) และอาคารรัฐสภาออสเตรีย (Austrian Parliament Building) รวมถึงหอสมุดแห่งชาติออสเตรีย (Austrian National Library) ที่น่าชมของกรุงเวียนนาแห่งนี้

2.โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก (Copenhagen, Denmark) 98.0 คะแนน

โคเปนเฮเกน เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ในทวีปยุโรปและยังถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในแถบสแกนดิเนเวียน สำหรับปี 2023 นี้โคเปนเฮเกนถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าอยู่ อันดับ 2 รองจากเวียนนา ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพชีวิตและรัฐสวัสดิการดีที่สุดในโลกนอกจากนั้นยังเป็นเมืองได้ขึ้นแท่น Work Life Balance อันดับ 1 ของโลกในปี 2023 นี้อีกด้วย

ด้วยตำแหน่งที่มากมาย พร้อมร่างวัลการันตีจากหลายหน่วยงาน ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝันที่หลายคนอย่างมาสัมผัสสักครั้ง แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองที่พลาดไม่ได้ของเมืองคงหนีไม่พ้นรูปปั้นนางเงือกน้อย (Little Mermaid) รูปปั้นสำริด สูงประมาณ 1.25 เมตรนี้ ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือริมอ่าวโคเปนเฮเกน รูปปั้นนี้สร้างโดยคาร์ล จาค็อบเซน” (Carl Jacobsen)เมื่อปี 1913 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการชมการแสดงบัลเล่ต์เรื่อง “The Little Mermaid” ของนักเขียนนิทานชื่อดัง “ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน” (Hans Christian Andersen)ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่นี่นั่นเอง

นอกจากนั้นพระราชวังต่าง ๆก็มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามวิจิตรตระการตาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น พระราชวังคริสเตียนบอร์ก (Christiansborg Palace) มีอายุเก่าแก่ ปัจจุบันนั้นเป็นพระราชวังที่ได้รับการดัดแปลงเป็นที่ทำการรัฐสภาเดนมาร์ก เป็นอีกหนึ่งอาคารสถาปัตยกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองโคเปนเฮเกน พระราชวังอมาเลียนบอร์ก (Amalienborg Palace) พระราชวังอันเป็นที่ประทับของราชวงศ์เดนมาร์กในปัจจุบัน พระราชวังโรเซนเบิร์ก (Rosenborg Palace) พระราชวังเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี เป็นต้น

3. เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย (Melbourne, Australia) 97.7 คะแนน

เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศออสเตรเลีย และเป็นเมืองหลวงแห่งรัฐวิคตอเรีย(Victoria) อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ขึ้นชื่อด้านความสวยงามของธรรมชาติ เป็นแหล่งแฟชั่นและการชอบปิ้ง อีกทั้งศาสตร์ด้านศิลปวัฒนธรรม การกีฬา การศึกษา ก็โดดเด่นไม่แพ้เมืองไหน

อุณหภูมิเฉลี่ยของเมืองนี้ในฤดูร้อนจะอยู่ที่ 13-25 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูหนาวอุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5-13 องศาเซลเซียส และมีหิมะตกบนภูเขาสูง ซึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ทำให้มีกิจกรรมให้เลือกทำเยอะมาก และแม้ว่าจะมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาศัยอยู่ แต่ยังสามารถอนุรักษ์ความเป็นวัฒนธรรมเมลเบิร์นแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้ ผู้คนที่นี่มีความอบอุ่นเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี และอัธยาศัยดี ปลอดภัย แถมยังค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเมืองอื่นของออสเตรเลีย

นอกจากเมลเบริ์นเป็นศูนย์รวมของสิ่งต่าง ๆแล้วเมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม มหัสจรรย์มากมายไม่ว่าจะเป็นหาดทรายขาวสะอาด ขุนเขาอันอุดมสมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น  ทเวลฟ์ อโพสเทิล (12 Apostles) เป็นกลุ่มเสาหินปูนธรรมชาติขนาดมหึมาที่เกิดจากการกัดกร่อนของลมและน้ำอายุนับสิบล้านปี เรียงรายกันอยู่นอกชายฝั่งเมืองเมลเบิร์นริมถนนสาย Great Ocean Road. พาเหรดเพนกวินที่เกาะฟิลลิป (Penguin Parade at Phillip Island) คือสถานที่สำหรับดูเพนกวินที่ตัวเล็กที่สุดในโลก สถานีรถไฟฟลินเดอร์ส สตรีท (Flinders Street Railway Station) สถานีรถไฟเก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย โดยสถานีดั้งเดิมถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1854 เป็นต้นที่สำคัญยังขึ้นชื่อในเรื่องของกาแฟอีกด้วย เมืองนี้เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน Coffee Expo เป็นประจำทุกปี

4. ซิดนีย์, ออสเตรเลีย (Sydney, Australia) 97.4 คะแนน

ซิดนีย์เป็นเมืองหลวงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย หลายคนรู้จักเมืองซิดนีย์เพราะโรงอุปรากร Sydney Opera House แต่ที่จริงแล้วเมืองนี้ยังมีอะไรน่าสนใจอีกมากมาย เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งในด้านการเงิน การผลิต การท่องเที่ยว มีการรวมกลุ่มของธนาคารต่างประเทศ และบริษัท ข้ามชาติจำนวนมาก ทุกพื้นที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ระบบขนส่งสาธารณะเข้าถึง และแต่ละพื้นที่ มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน

แม้จะมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมแต่ผู้คนก็อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี นอกจากสถาปัตยกรรมโรงละครที่ขึ้นชื่ออย่าง Sydney Opera House แล้ว ซิดนีย์ยังรายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ได้แก่ อ่าวซิดนีย์, อ่าวบอนดิ (Bondi Beach) หาดชื่อดังที่ขึ้นชื่อในเรื่องหาดทรายขาวและน้ำใส อุทยานแห่งชาติรอยัล, สวนพฤกษศาสตร์หลวงและสวนสาธารณะไฮด์ปาร์คที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ

5. แวนคูเวอร์, แคนาดา (Vancouver, Canada) 97.3 คะแนน

แวนคูเวอร์เป็นเมืองท่า ตั้งอยู่ในรัฐบริสตริส โคลัมเบีย (British Columbia) ทางตะวันตกของแคนาดา และเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในแถบนี้ และมากเป็นอันดับ 8 ของแคนาดาอีกด้วย

เนื่องจากแวนคูเวอร์อยู่แถบตะวันตก (West) ฝั่งเดียวกับแคลิฟอร์เนียและพอร์ทแลนด์ ทำให้อุณหภูมิโดยรวมจะอุ่นกว่า สภาพอากาศค่อนข้างสดใส แสงแดดให้เรารู้สึกสดชื่นทุกวัน มีวันที่หิมะตกน้อยกว่า 15 วันใน 1 ปี หนาวสุด (และมีฝนประปราย) ประมาณ 6 องศาเซลเซียสในช่วงปลายปี ส่วนหน้าร้อนจะมาราวเดือนกรกฎาคม – กันยายน ซึ่งอากาศกำลังดี ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป

สถานที่ท่องเที่ยวเหมาะสำหรับคนที่รักกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น สวนแสตนเลย์ (Stanley Park) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะในเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในอเมริกาเหนือ ภายในสวนกว้างใหญ่มาก พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Vancouver Aquarium ที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา อยู่ภายในสวน มีทะเลสาบที่มีถนนล้อมรอบ ให้เราสามารถทำกิกรรมได้หลากหลาย ทั้งปั่นจักรยานพร้อมชมวิวระยะทางยาวกว่า 9 กม.  หรือจะไปเที่ยว เกาะแกรนด์วิลล์ (Granville Island) ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และงานศิลปะให้ได้ชื่นชม

6. ซูริค, สวิตเซอร์แลนด์ (Zurich, Switzerland) 97.1 คะแนน

ซูริค (Zurich) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงของรัฐซูริค ตั้งอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบซูริคและล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์สวิสอันงดงามทางภาคกลางตอนเหนือของประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ศูนย์รวมทุกสิ่งของประเทศน่าจะเป็นนิยามของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี มีกลิ่นไอมนต์เสน่ห์ของเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยงานสถาปัตยกรรมในรูปแบบอาคารยุคกลางและพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ ในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นที่ตั้งของสถาบันทางการเงินและการธนาคารยักษ์ใหญ่มากมาย อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมของศูนย์วิจัยและศูนย์พัฒนาของประเทศ และปี 2023 นี้ซูริคถูกยกให้เป็นหนึ่งในสิบของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกอีกด้วย

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้น ทะเลสาบซูริค (Lake Zurich) ทะเลเลสาบแสนสวยแห่งนี้อยู่ทางตอนใต้ของเมืองซูริคเป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่ มีความยาวจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองซูริคกว่า 40 กิโลเมตร  โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Church) โบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองซูริค และเป็น 1 ใน 4 โบสถ์หลักของสวิตเซอร์แลนด์ ความโดดเด่นของที่นี่คือมีหน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่ จึงทำให้กลายเป็นหอนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุด ในยุโรป ย่านเมืองเก่าซูริค (Zurich Old Town) เป็นเขตหมู่บ้านยุโรปโบราณยุคเมดิอิวัล (Medieval) ที่อนุรักษ์ไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มีจุดเด่นที่ถนนหินกรวดที่คดเคี้ยว เป็นต้น

7. แคลการี, แคนาดา (Calgary, Canada) 96.8 คะแนน

หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อเมืองแคลการีของแคนาดา เมืองนี้ตั้งอยู่ในรัฐแอลเบอร์ตา ทางตอนใต้ของประเทศ ริมฝั่งแม่น้ำโบว์ ตรงกลางระหว่างเทือกเขาร็อกกี้ กับทุ่งหญ้า Canadian prairies อีกทั้งยังเป็นประตูเปิดสู่เทือกเขา Canadian Rockies อีกด้วย

เมืองมีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความทันสมัยกับความเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของยุคบุกเบิก ให้ความความสะดวกทุกอย่างเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ แต่สามารถใช้ชีวิตแบบผ่อนคลาย มีชีวิตชีวาไปด้วยศิลปะ งานเทศกาล และกีฬาหน้าหนาว  เพราะเมืองที่วางผังไว้อย่างดีนี้มีลักษณะเป็นตาราง และมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีเยี่ยม ทำให้การเดินทางภายในเมืองค่อนข้างสะดวก

ที่เที่ยวของเมืองนี้ ยกตัวอย่างเช่นหอคอยแคลการี (Calgary Tower ) เพื่อชมทิวทัศน์ตัวเมืองจากมุมสูงบนดาดฟ้า ชมซากฟอสซิลที่เป็นต้นแบบของหุ่นจำลองเหล่านี้ที่พิพิธภัณฑ์ Royal Tyrrell หรือสวนสาธารณะอย่าง Prince’s Island Park สวนสาธารณะขนาด 50 เอเคอร์ที่ตั้งอยู่ทางเหนือของใจกลางเมืองคาลการี สวนสาธารณะซึ่งตั้งอยู่ติดกับตลาดโอแคลร์และตั้งอยู่บนเกาะในแม่น้ำโบว์ เป็นต้น

และเจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ (Geneva, Switzerland) 96.8 คะแนน

เจนีวาตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบเจนีวา เป็นเมืองเจ้าของสมญานามเมืองหลวงของโลก หรือ เมืองนานาชาติ (Global City) เพราะเมืองนี้เป็นที่ตั้งขององค์กรนานาชาติที่สำคัญกว่า 200 องค์กร ไม่ว่าจะเป็น องค์การสหประชาชาติ องค์กรอนามัยโลก เป็นต้น

บริเวณที่เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คของเมือง คงหนีไม่พ้นทะเลสาบเจนีวา (Geneva Lake) ได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกของริเวียร่าแห่งสวิส มีชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่าทะเลสาบเลมอง (Lac Léman) ทะเลสาบมีลักษณะคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว มีพื้นที่ 582 ตารางกิโลเมตร บริเวณทะเลสาบมีกิจกรรมมากมาย ทั้งล่องเรือ ช้อปปิ้ง ชมความงามของธรรมชาติ และที่ห้ามพลาดเลยคือ น้ำพุจรวดเจ็ทโด (Jet d-Eau) หรือเรียก เชโดตามสำเนียงฝรั่งเศส น้ำพุที่พุ่งสูงถึง 400 ฟุต  ด้านเหนือทะเลสาบเจนีวา หรือจะเป็นวิหารเซนต์ปิแอร์ (St Peter’s Cathedral) ซึ่งมีอายุมากกว่า 850 ปี บริเวณเขตเมืองเก่าทางตอนใต้ของแม่น้ำโรห์น เป็นต้น

9. โทรอนโต, แคนาดา (Toronto, Canada) 96.5 คะแนน

โทรอนโตไม่ใช่เมืองหลวง แต่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศแคนาดา หลายคนรู้จักโทรอนโต จากที่ว่าเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่างน้ำตกไนแอการ่า เมืองนี้เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เป็นเมืองหลากหลายของเชื้อชาติและวัฒนธรรม แต่ถึงจะมีผู้คนมากมายหลากหลายชาติพันธุ์ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะที่นี่จัดอันดับว่าเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกติดอันดับ 1 ใน 5 คนโทรอนโตมีความเป็นมิตร สุภาพ และนิสัยดีอย่างที่สุด พร้อมจะให้ความช่วยเหลือคุณเวลามีปัญหา

การคมนาคมภายในเมือง มีทั้งรถบัสและรถไฟความเร็วสูงที่สามารถทำให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น  สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในกีฬา คุณต้องชอบโทรอนโตเพราะคุณสามารถเข้าชมการแข่งขันต่างๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นกีฬายอดนิยมอย่างฮ๊อกกี้ เบสบอล

และนอกจากน้ำตกไนแอการ่าแล้วที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอย่างซีเอ็นทาวเวอร์ (CN Tower)เป็นหอคอยสื่อสารและสังเกตการณ์ สูง 553 เมตร (1815 ฟุต) เส้นทางถนนแห่งประวัติศาสตร์แห่งโตรอนโตก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1832 เป็นศูนย์รวมศิลปะวัฒนธรรมทางด้านอาหาร ตลาดเซนต์ลอว์เรนซ์ (St. Lawrence Market) เป็นตลาดสดที่มีความเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในย่าน Old Town ของโทรอนโตได้รับรางวัลหนึ่งในตลาดที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย

10. โอซาก้า, ญี่ปุ่น (Osaka, Japan) 96.0 คะแนน

โอซาก้าเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น ใหญ่ที่สุดในเขตคันไซ และมีประชากรมากเป็นอันดับที่สามของญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นฝั่งตะวันตก มาตั้งแต่สมัยก่อน และยังคงสืบทอดประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองนี้มาอย่างต่อเนื่อง แม้โอซาก้าบางส่วนจะเป็นเมืองเก่า แต่ก็จะเห็นภาพความเจริญของโอซาก้าผ่านตึกสูง อาคารพาณิชย์มากมายตั้งเรียงรายกัน

โอซาก้าเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและเป็นศูนย์กลางของเขตคันไซ ด้วยการคมนาคมระดับประเทศที่สามารถเชื่อมต่อผู้คนที่เดินทางมายังต่างเมืองสู่สนามบินนานาชาติที่ใหญ่และสะดวกสบาย อย่างสนามบินคันไซ (Kansai Airport) และมีการเชื่อมต่อการเดินทางจากสนามบินยังสถานที่ต่างๆได้อย่างง่ายดาย ทั้งรถบัส รถไฟความเร็วสูง รวมถึงบริการรถสาธารณะอื่นๆ นอกจากนี้โอซาก้ายังมีธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ คุณสามารถเดินชมประวัติศาสร์ภายในปราสาทและเดินต่ออีกไม่ไกลก็สามารถไปย่านช้อปปิ้งได้อย่างง่ายดาย

สถานที่ท่องเที่ยวของโอซาก้าเช่น ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น คือ ตัวปราสาทจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 ชั้น ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินคอนกรีต, คูน้ำ และ สวนนิชิโนมารุ (Nishinomaru Garden) ที่ในแต่ละฤดูกาลพันธุ์ไม้จะผลัดเปลี่ยนสร้างสีสันให้กับพื้นที่นนี้ ถ้าต้องการชมวิวมุมสูงแนะนำที่ตึกอูเมะดะสกาย (Umeda Sky Building) จุดชมวิวมี 3 ชั้น คือ ชั้น 39, 40 และชั้นดาดฟ้า

และโอ๊คแลนด์ นิวซีแลนด์ (Auckland New Zealand) 96.0 คะแนน

โอ๊คแลนด์ ในภาษาเมารีออกแลนด์มีชื่อว่า Tamaki-Makau-Rau แปลว่า หญิงสาวที่มีผู้มาขอความรักถึง 100 คน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะทางเหนือของนิวซีแลนด์ ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ภาษา อาหารการกิน และวิถีชีวิตมากที่สุดในนิวซีแลนด์ก็ว่าได้  นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารสุดหรู และยังเป็นประตูสู่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ

ด้วยเมืองแวดล้อมไปด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่ถึง 50 เกาะ มีภูเขาไฟที่ดับแล้วถึง 49 แห่ง มีอ่าวจอดเรือที่มีเรือยอร์ชจอดอยู่ถึง 1,400 ลำ ทำให้โอ๊คแลนด์ถือได้ว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คึกคักเมืองหนึ่ง สถานที่ท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็น ภูเขาไฟวันทรีฮิลล์ (One Tree Hill) เป็นภูเขาไฟ ที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอ๊คแลนด์ สูงกว่า 182 เมตร ตั้งท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียว รายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ เกาะไวเฮเก (Waiheke Island) เกาะที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวัฒนธรรมชาวเกาะ ชมงานศิลปะ และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่สวยงาม และชายหาดทรายขาวละเอียด หรือไปชมวิวที่ของเมืองที่โอ๊คแลนด์สกายทาวเวอร์ (Auckland Sky Tower)ซึ่งมีความสูงจากพื้นดินถึง 328 เมตร สามารถมองได้ไกลถึง 80 กิโลเมตร และยังมีสกายวอร์คให้เดินชมวิวนอกหอคอยที่มีความสูง 200 เมตร มีกิจกรรมโลดโผนเป็นสกายจัมพ์ (Sky Jump) ให้กระโดดจากตึกสูง 192 เมตร ได้อีกด้วย

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0