Top 3 in Belgium – 3 เมืองสวยแห่งเบลเยียม
Top 3 in Belgium
Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
เบลเยียมอาจไม่ใช่ประเทศอันดับต้นๆ เมื่อนักท่องโลกนึกถึงยุโรป ยอมรับว่าฉันก็ไม่เคยปักหมุดเบลเยียมให้อยู่ใน Top bucket list วันหนึ่งที่ฉันได้รับโปสต์การ์ดจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ด้านหน้าเป็นภาพจัตุรัสกลางเมือง บรัสเซลส์ที่โอ่อ่างดงาม และข้อความด้านหลังที่เขียนไว้สั้นๆ แค่ว่า “มีโอกาสก็ให้มาที่นี่นะ ฉันคิดว่าเธอคงชอบ” และในที่สุดฉันก็ได้มีโอกาสมาสัมผัสเบลเยียมด้วยตัวเองสักครั้ง
ฉันมีเวลาที่นี่แค่เพียงสามวัน จึงเลือกไปเยือนเมืองสุดฮิต 3 เมืองสวยที่ระยะทางไม่ไกลกัน นั่นก็คือ บรัสเซลส์ บรูจส์ และเกนต์ ทั้งสามเมืองนี้ หากดูจากแผนที่จะเห็นว่าอยู่ต่อกันเป็นแนวเส้นตรงทแยงขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ หากมีเวลาเพียง 2-3 วันก็สามารถเที่ยวเส้นทางนี้ได้ทั่วถึง
ต้องมนตร์จัตุรัสสวยแห่งบรัสเซลส์
บรัสเซลส์ (Brussels) เป็นเมืองหลวงตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของสหภาพยุโรปหรือ EU
เพราะเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญๆ หลายแห่ง แม้ไม่ใช่เมืองหลวงที่คับคั่งด้วยตึกสูงระฟ้า และไม่ใช่เมืองที่สวยหยาดเยิ้มเหมือนหลายๆ เมืองในยุโรป
แต่มีสีสันและชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงด้านอาหารอร่อยที่โด่งดังไปทั่วโลก
อย่างช็อกโกแลต วาฟเฟิล และเฟรนช์ฟรายส์ มีให้เลือกหลายรสหลายแบบ นักเดินทางไม่ควรพลาดมาชิมรสชาติต้นตำรับที่นี่
เมื่อมาถึง จุดแรกที่ฉันไปชมก็คงไม่พ้นจัตุรัสชื่อดัง Grand Place de Bruxelles หรือที่ออกเสียงเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า กรองด์ปลาซ จัตุรัสขนาดใหญ่กลางกรุง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจัตุรัสกลางเมืองที่สวยงามที่สุดในโลก
ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายสมัยก่อน มีอาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่อยู่โดยรอบ
สำหรับฉันที่นี่อาจไม่ใช่ที่สุดของจัตุรัสสวย (ลางเนื้อ ชอบลางยาโบราณว่าไว้) แต่ยอมรับว่าเป็นจัตุรัสที่ครึกครื้นและมีชีวิตชีวามากที่สุดแห่งหนึ่งที่เคยได้ไปสัมผัสมา
รอบๆ จัตุรัสยังมีร้านค้าและร้านอาหารให้เลือกมากมาย แนะนำให้หาคาเฟ่นั่งจิบบรรยากาศมองดูผู้คน เพลิดเพลินดีไม่น้อย
ไม่ไกลจากกรองด์ปลาซ มีรูปปั้นสุดฮอตที่ใครๆ ก็แห่แหนไปชม นั่นก็คือ เจ้าหนูมานเนอเกนพิส (Manneken Pis) รูปปั้นสัมฤทธิ์ที่เนื้อหอมที่สุดในเบลเยียม จนเปรียบเหมือนเป็นโลโก้ของเมืองบรัสเซลส์ไปแล้ว รูปปั้นที่ว่าเป็นเด็กผู้ชายยืนฉี่ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เพื่อรำลึกถึงเด็กชายในตำนานที่บังเอิญมาพบชนวนระเบิดที่ถูกจุดเพื่อทำลายกำแพงเมืองบรัสเซลส์ จึงปัสสาวะรดชนวนเพื่อดับไฟและช่วยป้องกันเมืองไว้ได้
แต่ละช่วงเทศกาลจะมีการเอาชุดมาใส่ให้กับหนุ่มน้อยไม่ซ้ำกัน จนสามารถเก็บเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องแต่งกายของเจ้าหนูมานเนอเกนพิสไว้ในตัวเมืองเก่าด้วย อีกรูปปั้นหนึ่งซึ่งเป็นที่สนใจรองลงมา คือ รูปปั้นเด็กผู้หญิงนั่งฉี่ เรียกว่า เจนเนเค พิส (Jeanneke Pis) ตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อถึงความเสมอภาคทางเพศนั่นเอง นอกจากนั้น เด็กหญิงคนนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกด้วย ใครแวะไปทักทายเจ้าหนูมานเนอเกนพิส แล้วก็อย่าลืมไปทักทาย เจนเนเค พิส ด้วย จะได้เสมอภาคกัน
เนื่องจากมีคนมุงดูเธอมากมาย ฉันจึงไม่ได้ถ่ายภาพสวยๆ ของเธอไว้ได้ แต่ขณะที่กำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในอีกมุมหนึ่งของตัวเมืองเก่า ฉันก็บังเอิญไปเจอกับรูปปั้นหมาฉี่อยู่ข้างสี่แยกถนน โดยไม่ทราบมาก่อนว่านี่คือหนึ่งในรูปปั้นที่ควรลองตามหาเมื่อมาเยือนบรัสเซลส์
พอเข้าสู่ช่วงบ่าย ฉันก็หายสงสัยว่าทำไมบรรยากาศรอบๆ เมืองเก่าจึงดูคึกคักกว่าที่ควรจะเป็น เพราะวันนั้นมีการปิดถนนสายหลักของเมืองเพื่อจัดงาน Gay pride parade นั่นเอง ชาวเพศทางเลือกต่างออกมาแต่งตัวสุดเฟี้ยวและมีสีสันเดินขบวนพาเหรดไปรอบเมือง บรรยากาศสนุกสนานและคึกคักมาก รวมทั้งยังมีการแสดงและดนตรีให้เข้าร่วม และชมฟรี สำหรับทุกเพศทุกวัยอีกด้วย ฉันเลยลืมการเดินเที่ยวชมเมือง เปลี่ยนมาเป็นร่วมสนุกกับงาน Be Proud แทน
เที่ยวเมืองบรูจส์ เวนิสแห่งยุโรปเหนือ
อีกวันฉันเลือกเดินทางไปชมเมืองบรูจส์ (Bruges) เพราะได้ยินชื่อเสียงของเมืองเก่าบรรยากาศน่ารักแห่งนี้มานานแล้ว โดยนั่งรถไฟจากสถานี Bruxelles-Central ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง มีรถไฟทุกๆ 30 นาที จากสถานีรถไฟ Brugge station สามารถเลือกเดินทางเข้าเมืองโดยการเดินเท้าหรือนั่งรถบัสก็ได้
บรูจส์เป็นเมืองหลวงของภูมิภาคเฟลมมิช (Flemish) ศูนย์กลางเมืองเก่า ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก และยังได้รับการขนานนามว่า “เวนิสแห่งยุโรปเหนือ”
เพราะมีคูคลองมากมายไหลผ่านทั่วเมือง ระหว่างเดินจากสถานีรถไฟ สัมผัสได้ถึงความเป็นเมืองสีเขียว เพราะมีสวนสวยและทะเลสาบอันรื่นรมย์ เมืองเก่าแห่งบรูจส์ยังคงสภาพเดิมไว้ค่อนข้างครบถ้วน ทั้งทางเดินหินกรวดที่คงอยู่ในสภาพดี
จุดแรกที่แวะชมคือ Saint-Janshospitaal หรือ Saint John’s Hospital โรงพยาบาล ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี มีชื่อเสียงด้านการเป็นสถานที่ดูแลผู้แสวงบุญและผู้ป่วยอื่นๆ ภายในจัดแสดงห้องตรวจผู้ป่วยในยุคกลางที่เหล่าแม่ชีและพระคุณเจ้าได้ทำการตรวจรักษาผู้ป่วย
เดินลัดเลาะคูคลองข้ามสะพานเล็กสะพานน้อยมาจนถึงจุดถ่ายรูปที่นิยมมากที่สุดของบรูจส์ ตั้งอยู่บนถนน Rozenhoedkaai ที่ทอดยาวเลียบลำคลอง สมัยก่อนบรูจส์เป็นศูนย์กลางผลิตเกลือที่สำคัญมากของภูมิภาค ตรงนี้เป็นจุดจอดเรือขนถ่ายเกลือ ปัจจุบันกลายเป็นจุดจอดเรือนำเที่ยวทัวร์รอบเมือง ซึ่งการเยี่ยมชมบรูจส์จะไม่สมบูรณ์เลยถ้าขาดการนั่งเรือชมวิวดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบเมือง ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
มาถึงจัตุรัสมาร์ค (Markt Square หรือ Market Square) จัตุรัสใจกลางเมืองซึ่งเปรียบเสมือนห้องรับแขกของบรูจส์ รอบๆ จัตุรัสมีอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นอนุสาวรีย์สองผู้กล้า “Pieter de Conninck and Jan Breydel” หอระฆังคู่บ้านคู่เมือง (Belfry of Bruges) ที่สูงสง่า สูงเด่นสง่ากว่า 83 เมตร อดีตใช้เป็นที่เก็บสมบัติของเมืองและเคยเป็นหอสังเกตการณ์เพื่อเตือนภัยเมื่อมีการรุกรานจากศัตรู ด้านบนมีจุดชมวิวเมืองที่ต้องขึ้นบันได 366 ขั้น
มหาวิหารโรมันคาทอลิกในบรูจส์ (Basilica of the Holy Blood) สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 เริ่มต้นเป็นที่อยู่อาศัยของท่านเคาต์ ตัวอาคารเป็นที่เก็บสะสมวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับพระโลหิตของพระเยซู และได้รับการยกฐานะเป็นโบสถ์ในปี ค.ศ. 1923 ศาลากลางเมือง (Bruges City Hall) ถือเป็นหนึ่งในศาลากลางที่เก่าแก่มากที่สุดในภูมิภาคนี้ มีห้องจัดแสดงถึงประวัติศาสตร์ของเมืองอย่างละเอียด
โบสถ์แห่งบรูช (Church of our lady) โบสถ์ที่มีหอคอยความสูงกว่า 122 เมตร นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของเมือง และเป็นหอคอยที่ก่อสร้างด้วยอิฐที่สูงเป็นอันดับสองของโลก
บรูจส์แม้เป็นเมืองเล็กๆ แต่มีแหล่งให้เดินชมได้ทั้งเมือง ทั้งสีสันของบ้านเรือนหน้าจั่วสามเหลี่ยมเพิ่มความน่ารักให้บรูจส์อีกเป็นกอง
เกนต์ เมืองเก่าสุดเก๋
ฉันเลือกแวะชมเมืองเกนต์ (Ghent) แทนเมืองคลาสสิกอย่างแอนต์เวิร์ป ตามคำแนะนำของเพื่อนชาวเบลเยียม เดินทางโดยรถไฟจากบรูจส์เพียง 30 นาที ตั้งอยู่ระหว่าง บรูจส์กับบรัสเซลส์
ซึ่งนับว่าไม่ผิดหวังเลย เพราะเกนต์มีบรรยากาศของเมืองที่อยู่อาศัยมากกว่าเมืองท่องเที่ยวอย่างเมืองบรูจส์ มีความคึกคักของคนหนุ่มสาวเพราะเป็นเมืองมหาวิทยาลัย แต่ตั้งอยู่ในบรรยากาศของเมืองเก่า
สำหรับฉันเป็นเมืองที่เก๋ไก๋มากๆ เลยมุ่งตรงไปที่โบสถ์เซนต์นิโคลัส (St.Nicolas’s Church) ศาสนสถานสไตล์เฟรมมิชที่สวยสง่า เป็นโบสถ์ที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของเกนต์ในอดีต มีหอระฆัง (Belfry and Cloth Hall) ที่สูงเกือบ 100 เมตร
สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 สามารถขึ้นลิฟต์ไปชมวิวมุมสูงของเมืองเกนต์ได้ทั่ว ด้านล่างของหอระฆังเป็นสำนักสงฆ์ (Cloth hall) ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 15 อีกหนึ่งมรดกโลก
อีกสถานที่สำคัญคือวิหารเซนต์บาโว (St.Bavo’s Cathedral) ซึ่งนับว่าเป็นโบสถ์แห่งแรกของเมืองที่ผสมผสานระหว่างสไตล์กอทิก โรมาแนสก์ และบาโรกอันงดงาม
ด้านในสงบและขลัง มีภาพเขียนและประติมากรรมมากมายให้ได้ชม จากนั้น เดินเตร็ดเตร่ตามซอกซอยเมืองเก่า เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ไปเรื่อยเปื่อย
ย่านเมืองเก่ามีพิพิธภัณฑ์ อาร์ตแกลเลอรีและแผงขายของเก่าเยอะมาก มุมที่เมียงมองเกนต์ได้งดงามที่สุดคือบนสะพานเซนต์ไมเคิล (St.Michael’s Bridge)
ฉันชอบบรรยากาศริมน้ำมากๆ มีที่ให้เลือกนั่งชิลเยอะมาก มีคนพายเรือแคนูไปมา
นี่ถ้าเป็นฤดูร้อนคงมีคนออกมานั่งผึ่งแดดกันอย่างเบิกบาน เป็นธรรมชาติของเมืองริมน้ำที่มีความรื่นรมย์ ใช้เวลาประมาณครึ่งวันก็สำรวจได้รอบเมือง
ฉันชอบบรรยากาศที่อบอุ่นของเมืองนี้ เกนต์คึกคักแต่ไม่วุ่นวาย เล็กแต่ไม่เงียบเหงา
ย่านเมืองเก่าของยุโรปแต่ละเมืองจะมีบรรยากาศ และหน้าตาคล้ายๆ กัน ทั้งอาคารบ้านเรือน จัตุรัสกลางเมือง และสถาปัตยกรรมต่างๆ แต่ถ้าได้สัมผัสดีๆ จะเห็นว่าแต่ละเมืองมีเสน่ห์และรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไป เบลเยียมจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ควรหาโอกาสมาเยี่ยมชม
ข้อมูลเพิ่มเติม
www.visitbelgium.com
www.brugesinfo.com