วิธีการดูแลรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ทิ้งไว้นานๆ

ในช่วงที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ยังอยู่ในการควบคุมเช่นนี้ หลายคนยังทำงานอยู่ที่บ้านและไม่ได้ออกเดินทางไปไหน ทำให้จำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้นานๆ หรือแม้กระทั่งบางครั้งที่ต้องเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนก็เป็นเหตุให้ต้องจอดรถไว้เฉยๆ เพื่อไม่ให้รถเสื่อมสภาพ และกลับมาใช้งานได้ ต้องมีวิธีดูแลรักษาดังนี้

  1. เลือกสถานที่จอดรถให้เหมาะสม ควรจอดในที่ร่ม พื้นที่แห้ง ที่กันแดดกันฝนได้ และหาผ้ามาคลุมรถไว้ ไม่ควรจอดในที่ชื้นแฉะ หรือใกล้กับที่ทิ้งขยะเพราะอาจจะมีแมลงหรือหนูมาทำรังได้ แต่ถ้าบ้านไม่มีโรงรถ ก็ควรเลี่ยงการจอดใกล้ต้นไม้ เพราะหากมีฝนหรือลม กิ่งไม้อาจตกลงมาใส่รถได้
  2. ทำความสะอาดรถ ก่อนคลุมผ้า เพราะการจอดรถทิ้งไว้นาน เศษฝ่นุ หรือยางเหนียวที่เกาะรถอยู่ อาจจะทำลายสีรถได้ และยิ่งปล่อยทิ้งไว้นาน จะทำให้ยากแก่การทำความสะอาด ดูดฝุ่นภายในรถและถอดซักพรมปูพื้นให้เรียบร้อย
  3. ตรวจเช็กลมยาง ควรเติมให้ลมยางมากกว่าปกติประมาณ 5-10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพื่อให้มีลมมากพอให้รักษารูปทรงยางไว้ได้ปกติที่สุด เพราะเวลาจอดทิ้งไว้นานๆน้ำหนักที่กดทับจะทำให้ยางเสียรูปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่ต้องสัมผัสพื้นเป็น เวลานาน แต่ถ้าต้องจอดรถไว้นานเกิน 3 เดือน แนะนำให้ยกรถตั้งบนแท่นวางทั้ง 4 ล้อเพื่อไม่ให้น้ำหนักของรถทั้งหมดจะตกไปสู่ยางแต่ละเส้นในจุดนั้นจุดเดียว
  4. ถอดแบตเตอรี่ออก ป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่หมด หรือแบตฯ เสื่อม แม้ว่าไม่มีการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ก็ตาม แต่ก็ยังมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงระบบในรถยนต์อยู่ เช่นระบบกันขโมย หรือ ระบบควบคุม (ECU) หากจอดไว้โดยไม่มีการติดเครื่องยนต์เป็นระยะเวลานานก็ทำให้แบตเตอรี่หมดประจุได้ เมื่อ แบตเตอรี่หมดประจุก็ต้องมีการพ่วงพื่อสตาร์ต ซึ่งถ้าปล่อยให้แบตฯ หมดแล้วพ่วงอยู่บ่อยๆ ก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมตามมา หรือถ้ายังมีคนอยู่บ้าน แนะนำให้สตาร์ตเครื่องยนต์สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา10 นาทีต่อครั้งโดยประมาณ จะช่วยยืดอายุแบตฯ ได้หรือขับเดินหน้าถอยหลังขยับไปมา เพื่อให้ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เป็นจุดหมุน เช่น ระบบช่วงล่าง ลูกหมากต่างๆ แม้กระทั่งยางและล้อ ได้มีการขยับเคลื่อนที่จากจุดเดิม
  5. เช็กระดับของเหลวในเครื่องยนต์ในรถของเราเป็นประจำ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ให้เกิดสนิม
Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0