MELBOURNE The World’s Most Liveable Cities

แค่ได้ยินว่าเมลเบิร์น (Melbourne) ของประเทศออสเตรเลียได้รับคัดเลือกให้เป็นอันดับ 1 เมืองน่าอยู่ในโลกจาก The Economist Intelligence Unit หรือ EIU หน่วยงานที่วิเคราะห์เศรษฐกิจ ของนิตยสารชื่อดังระดับโลก “THE ECONOMIST” เรื่อยมาตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปี 2017 รวม 7 ปีซ้อน แค่นี้ก็ทำให้กระเป๋าเงินสั่น มือไม้กดคลิกจองตั๋วที่พักแทบไม่ทัน ในขณะที่หัวใจบินไปเมลเบิร์นล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

เมลเบิร์นนั้นเป็นเมืองหลวงของรัฐวิกตอเรีย (Victoria) และเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากนครซิดนีย์ที่หลายคนรู้จักกันดี เอาแค่เฉพาะในส่วนตัวเมืองของเมลเบิร์น (Melbourne CBD – Central Business District) ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายจนบรรยายไม่หมด ซึ่งสถานที่เหล่านี้เราสามารถเดินทางไปได้สะดวกสบายโดยการเดินเท้า ใช้บริการรถราง หรือรถไฟกันได้ ที่พิเศษคือ หากอยู่ในบริเวณที่กำหนดยังสามารถใช้บริการได้ฟรีอีกด้วย ถ้าอยู่ในตัวเมืองเมลเบิร์น ไม่ต้องกังวลเรื่องของค่าเดินทางเลย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ในโซนฟรีที่ว่านี้ สถานีรถไฟถนนฟลินเดอร์ (Flinder Street Railway Station) ให้เอาหัวลำโพงบ้านเราเป็นตัวเปรียบเทียบเลย

สถานีรถไฟถนนฟลินเดอร์ เป็นสถานีหลักที่กระจายรถไฟไปตามสายต่างๆ ทั่วเมืองเมลเบิร์นใครจะไปที่แห่งหน ตำบลใดก็มาตั้งต้นกันที่นี่เสียทั้งสิ้น ตัวอาคารสีเหลืองที่ตั้งตระหง่านอยู่แยกของถนนฟลินเดอร์และถนนสแวนสตัน (Swanston Street) เป็นความงดงามที่เก่าแก่คู่เมืองมาร่วมกว่า 100 ปี ด้วยโดมขนาดใหญ่ ซุ้มประตู และหอนาฬิกา ที่โดดเด่นมองเห็นได้ง่าย และดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่สัญจรไปมาและนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันไม่ใช่น้อย เรียกได้ว่าหากใครไม่ได้มาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงเมลเบิร์นกันเลย

ฝั่งตรงข้ามของสถานีก็จะเป็น Melbourne Visitor Centre ลานแห่งนี้เหมือนลานกิจกรรมย่อมๆ มีทั้งคนมานั่งพักผ่อนเล่นเปิดหมวกให้ชมกัน แต่ถ้าจะถ่ายรูปสถานีรถไฟให้เต็มๆ ต้องข้ามถนนไปยังฝั่งของโบสถ์เซนต์พอล (St Paul’s Cathedral) จะสามารถเก็บภาพของสถานีได้ทั้งหมด และถ้าคุณหันหน้าเข้าหาสถานี แม่น้ำสายที่ทอดยาวเลียบไปตามด้านข้างของสถานีนั่นคือ แม่น้ำยาร์รา (Yarra River) นั่นเองบริเวณนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เหมาะแก่การถ่ายรูป เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของความบันเทิง ศิลปะ และอาหารของเมลเบิร์นจุดหนึ่ง ยิ่งยามที่สายลมพัดอ่อน แดดทอแสง การได้นั่งอยู่ในธรรมชาติที่ถูกห้อมล้อมด้วยตึกรามสูงใหญ่เช่นนี้ ทำให้บริเวณนี้เป็นโอเอซิสสำหรับนักเดินทางกันเลยทีเดียว

สำหรับคนชอบศิลปะถัดจากโบสถ์เซนต์พอลไปตามถนนฟลินเดอร์ ไม่ไกลนักก็จะเจอตรอกแห่งหนึ่ง ที่บริเวณกำแพงมีการวาดลายกราฟฟิตี้เต็มไปหมด ที่นี่เรียกว่า Graffiti lane ศิลปะบนผนังที่มากมายหลากหลายทั้งสีสันและลวดลายจากนักพ่นสี มืออาชีพคราแรกดูเหมือนไปคนละทิศละทางกัน

แต่มองรวมๆ แล้วเข้ากันได้อย่างลงตัว ใครอยากได้รูปเก๋ๆ พื้นหลังสีจัดจ้านแนะนำให้มาจุดนี้เลย เดินทางไปต่อที่สวนฟิตซ์รอย (Fitzroy Gardens) สวนสาธารณะใหญ่อีกแห่งของเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้นานาพรรณ

หากมาในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ทั่วทั้งสวนจะกลายเป็นสีเหลือง ส้มแดง สวยงามมาก

สวนสาธารณะแห่งนี้ค่อนข้างจะเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวเพราะเป็นที่ตั้งของ กระท่อมกัปตันคุก (Cook’s Cottage) หรือกัปตันเจมส์ คุก (James Cook) นักสำรวจ นักเดินเรือ และนักทำแผนที่ชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งได้รับการบันทึกชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบทวีปออสเตรเลียและซีกขั้วโลกใต้

กระท่อมนี้เดิมเป็นของครอบครัวคุกในเกรต เอย์ตัน (Great Ayton) ต่อมาได้มีการประกาศขาย ทาง เซอร์รัสเซล กริมเวด (Sir Russel Grimwade) นักเคมีและนักธุรกิจด้านยาผู้มีชื่อเสียงของเมลเบิร์น ตัดสินใจซื้อมาเพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่พลเมืองรัฐวิกตอเรีย (Victoria)

เนื่องจากเมลเบิร์นกำลังจะมีการเฉลิมฉลองการก่อตั้งเมืองครบ 100 ปี และเพื่อเป็นการระลึกถึงการค้นพบทวีปออสเตรเลียของกัปตันคุกนั่นเอง ลักษณะตัวบ้านค่อนข้างที่จะเก่าแก่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1755 โดยมีการรื้อบ้านเป็นส่วนๆ แล้วส่งลงเรือมาประกอบใหม่ในปี ค.ศ. 1934

ด้านในมีนิทรรศการเกี่ยวกับกัปตันคุก และตกแต่งให้เก่าตรงกับสมัยนั้น ข้าวของด้านในมีทั้งใหม่ และดั้งเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนอังกฤษในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี

สถานที่ต่อไป แม้แต่คนไม่ค่อยชอบหนังสือก็ต้องร้องว้าวส่วนถ้าเป็นกลุ่มหนอนหนังสือแล้วละก็คงร้องดีใจอย่างสุดเสียงก็เป็นได้กับที่นี่ ห้องสมุดกลางของรัฐวิกตอเรีย (State
Library of Victoria)
ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 164 ปี ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1854 ถือเป็นห้องสมุดสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลียรูปแบบอาคารเป็นสถาปัตยกรรมช่วงศตวรรษที่ 19 ด้านในตกแต่งอย่างงดงาม ด้านหน้ามีลานกิจกรรมให้ผู้คนได้มาสังสรรค์กันโดยเฉพาะหมากรุกขนาดยักษ์ที่น่าจะเชื่อมสัมพันธภาพของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี ส่วนหนังสือที่นี่ก็มีมากมายหลายแขนงกว่า 2 ล้านเล่ม ที่สำคัญและพิเศษ คือเป็นห้องสมุดสาธารณะบริการฟรีสำหรับประชาชนแห่งแรกในโลกอีกด้วย ใกล้กันนั้นเป็นย่าน china town ที่หากใครต้องการทานอาหารรสชาติคุ้นเคยแนะนำเลย

ส่วนสำหรับขาช้อป มุ่งตรงไปที่ตลาดควีนวิกตอเรีย (Queen Victoria Market) เป็นตลาดเก่าแก่ที่สุด และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเมลเบิร์น เปิดทำการมากว่า 130 ปีแล้ว

ตลาดแห่งนี้กว้างใหญ่มากเทียบง่ายๆ ก็ประมาณสวนจตุจักรของบ้านเราแบ่งเป็นโซน ตามประเภทสินค้าต่างๆ กว่า 600 ร้าน ทั้งอาหารทะเล เสื้อผ้าของที่ระลึก และของเบ็ดเตล็ด สำหรับผู้ที่รักแฟชั่น ตลาดนี้คือสถานที่ซึ่งเหมาะที่สุดในการเลือกซื้อสินค้าลดราคา สินค้าใหม่ และสินค้าวินเทจ เรียกได้ว่าช้อปครบจบในที่เดียว

นอกจากนี้ที่เมืองเมลเบิร์นยังมี อนุสรณ์สถานสงคราม (Shrine of Remembrance) เป็นอนุสรณ์สถานสงครามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย หรือ อาคารรัฐสภาแห่งเมลเบิร์น (Parliament House Melbourne) วิหารเซนต์แพทริค (St.Patrick’s Cathedral, Melbourne) เป็นวิหารในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในรัฐวิกตอเรีย แค่ในเมืองเมลเบิร์นก็ที่เที่ยวมากมายจนไปไม่หมด แนะนำว่าหากมีเวลาควรแวะมาที่นี่อย่างน้อย 3 วัน คุณจะ ได้มีเวลาไปชมเส้นทางสวยงามอย่าง เกรต โอเชียนโร้ด (Great Ocean Road) และดื่มด่ำไปกับเมืองที่ได้ชื่อว่าน่าอยู่ที่สุดแห่งนี้

  • การเดินทางไปเมลเบิร์น มีทางสายการบินที่บินตรงอย่างเช่น การบินไทยหรือแวะเปลี่ยน
    เครื่องช่วงเวลาสั้นๆ อย่างสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ให้เลือกใช้บริการตามสะดวก
  • เวลา เร็วกว่าประเทศไทย 3 ชั่วโมง แต่ในช่วงฤดูร้อนจะมีการปรับเวลาให้เร็วขึ้นอีก
    1 ชั่วโมง (Daylight Saving) ทำให้เร็วกว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน
  • วีซ่าประเทศออสเตรเลียขอได้ 2 ช่องทาง ทั้งการกรอกแบบออนไลน์ด้วยตัวเอง
    เหมาะสำหรับคนอยู่ต่างจังหวัด หรือผ่านตัวแทนทำวีซ่าบริษัท VFS ตรงตึกเทรนดี้
    ใกล้สถานีรถไฟฟ้านานาก็ย่อมได้
Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0