กระบี่ไปกี่ทีไม่มีเบื่อ

เรื่องและรูปภาพโดยทีมงาน Vacationist

กระบี่น่าจะเป็นจังหวัดที่ติดทะเลจังหวัดหนึ่งที่ไม่เพียงแต่คนไทยที่ชื่นชอบ ชาวต่างชาติเองก็นิยมถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ท้องทะเลแถบนี้คงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย แต่ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้นักท่องเที่ยวเบาบาง คิดในแง่หนึ่งก็ดีสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยแบบเราที่เที่ยวได้สะดวกขึ้น เผลอๆ ราคาย่อมเยาขึ้น

สำหรับกระบี่นั้นก็มีที่เที่ยวทั้งทางทะเลอย่างที่บอก ไม่ว่าหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 100 เกาะ ชายหาดขาวๆ น้ำทะเลใสแบบเห็นตัวปลา ปะการังและลากูนต่างๆ ขณะเดียวกันบนฝั่งก็มีถ้ำ หน้าผาสำหรับนักปีนผา ตลอดจนน้ำตก และวัดวาอารามให้ได้ท่องเที่ยวท่องทะเล การเริ่มท่องเที่ยวกระบี่ หลายคนก็นิยมจะซื้อวันเดย์ทริปเที่ยวหมู่เกาะ ใครตื่นสายๆ หน่อยก็มีทัวร์แบบครึ่งวันบ่ายยันค่ำ

เริ่มต้นที่นั่งเรือไปที่ เกาะไก่ หรือที่เรียกอีกชื่อว่า เกาะด้ามขวานอยู่ในทะเลกระบี่หน้าอ่าวนาง ห่างจากฝั่งประมาณ 8 กิโลเมตรเกาะไก่เป็นหนึ่งในสามเกาะที่ทำให้เกิดสันทรายที่เราเรียกว่า “ทะเลแหวก” สันทรายด้านทิศตะวันตกที่มีสัณฐานมาจากเกาะใหญ่นั่นคือเกาะไก่ ที่เรียกว่าเกาะไก่ก็เพราะว่าทางด้านปลายสุดของเกาะมีหินแหลมๆ เมื่อมองขึ้นไปแล้วคล้ายกับส่วนหัวของไก่ บ้างก็ว่าคล้ายๆ ไก่งวง

แต่ชาวต่างชาตินั้นกลับเห็นเป็นป๊อปอายก็มี ซึ่งจะคล้ายอะไรก็แล้วแต่คนมองจะจินตนาการพอไปถึงด้านหลังของเกาะไก่ ก็จะปล่อยให้เราได้ดำน้ำกันเพราะบริเวณนี้ใกล้โซนทะเลแหวกนั่นเอง บางครั้งไปไม่พอดี น้ำทะเลยังไม่แหวก ก็ว่ายน้ำ ดำน้ำกันไปพลางๆ ก่อน แม้ว่าความอุดมสมบูรณ์ของปะการังนั้น ก็อาจจะไม่เยอะมากมายเมื่อเทียบกับเกาะอื่นๆ แต่ก็เรียกได้ว่าประทับใจทีเดียว โดยเฉพาะปลาลายเสือที่เห็นเยอะมาก

ทะเลแหวก อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสุด Unseen Thailand ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติเราสามารถเดินเหยียบทรายขาวละเอียด จากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งได้เวลาน้ำลด ทะเลแหวกเกิดจากสันทรายจากเกาะสามเกาะ คือเกาะไก่ เกาะหม้อ เกาะทับ ทั้งสามเกาะนี้เป็น 3 เกาะเด่นที่อยู่ในหมู่เกาะปอดะ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน จะโผล่ขึ้นมาเวลาน้ำลดโดยเฉพาะในวันก่อนและหลังขึ้น 15 ค่ำ ประมาณ 5 วัน น้ำทะเลจะลดลงมาก มีความงดงามแปลกตา

การท่องเที่ยวทะเลแหวกจะนิยมท่องเที่ยวทั้งหมด 4 เกาะด้วยกัน คือ เกาะไก่ เกาะทับ เกาะหม้อ เกาะปอดะ ซึ่งสามารถเที่ยวได้ในเวลา 1 วัน จากนั้นพาไปที่เกาะปอดะ ส่วนหนึ่งของ “อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี” หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังทางทะเลของจังหวัดกระบี่ ชายหาดเกาะปอดะค่อนข้างยาว หาดทรายสีขาว ละเอียด น้ำทะเลใส ถือได้ว่าเป็นหนึ่งเกาะสวยของทะเลกระบี่ก็ว่าได้

โปรแกรมทัวร์ปิดท้ายยามเย็นที่ไร่เลย์ ซึ่งเป็นหาดที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก เต็มไปด้วยหินผาสูงขนาดใหญ่ล้อมรอบตัว ไร่เลย์ไม่ได้เป็นเกาะ เพียงแต่เป็นหาดที่เข้าถึงได้ด้วยเรือเท่านั้น ถ้านักท่องเที่ยวนั่งเรือหางยาวมาจาก ท่าเรืออ่าวนาง จะมาขึ้นฝั่งที่ไร่เลย์ตะวันตก และถ้านักท่องเที่ยวนั่งเรือหางยาวมาจากท่าเรืออ่าวน้ำเมา จะมาขึ้นฝั่งที่ฝั่งไร่เลย์ตะวันออก

สำหรับหาดไร่เลย์ตะวันตกและด้านตะวันออก เป็นหาดที่โค้งเข้าหากันมีทางเดินเล็กๆ สามารถเดินเชื่อมทะลุถึงกันได้ที่นี่ถือเป็นแหล่งกีฬาปีนผาที่ลือชื่อ ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติต่างให้ความสนใจอยากมาลองสัมผัสประสบการณ์อันน่าท้าทายนี้ บริเวณที่มีชื่อเสียงคือ บริเวณอ่าวต้นไทร ซึ่งเหมาะกับผู้ที่เชี่ยวชาญ เนื่องจากหน้าผาที่นี่ค่อนข้างชันและมีความยากยิ่งกว่าทางฝั่งไร่เลย์

ปิดท้ายวันด้วยการชมพระอาทิตย์ตกดินที่บริเวณหาดถ้ำพระนาง เนื่องจากอ่าวถ้ำพระนางนั้นมีชายหาดซึ่งหันเข้าสู่ทิศตะวันตก ในยามเย็นนักท่องเที่ยวที่พักค้างแรมอยู่ตามรีสอร์ตต่างๆ บริเวณ หาดไร่เลย์ – อ่าวถ้ำพระนางจึงสามารถมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกบริเวณด้านหน้าอ่าวแห่งนี้กัน และที่พิเศษกว่านั้นถ้าคุณมาในคืนเดือนมืด และคลื่นทะเลสงบแล้วละก็ จะได้เห็นปรากฏการณ์ พรายน้ำเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวโยนก้อนหิน ก้อนกรวด หรือนำร่างกายลงไปสัมผัสกับพื้นผิวน้ำบริเวณด้านหน้าอ่าวถ้ำพระนางแล้วมีแสงสว่างวาบขึ้นมา ณ จุดสัมผัสชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเลือนหายไป

ธรรมชาติสีเขียว
เราเริ่มต้นวันใหม่กันด้วย ไปไหว้สักการะทำบุญที่วัดถ้ำเสือ วัดอยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่มาไม่ไกลนัก ราวๆ 5-6 กิโลเมตรตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ บ้านถ้ำเสือ ตำบลกระบี่น้อย อ.เมือง จ.กระบี่ พื้นที่บริเวณวัดประมาณ 200 ไร่ ประกอบไปด้วยพื้นที่ราบ หุบเขาและยอดเขา

ด้วยพื้นที่ที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยธรรมชาติ วัดถ้ำเสือจึงเป็นลักษณะเหมือนสวนป่า มีโพรงถ้ำ เพิงผาธรรมชาติมากมาย ถ้ำบางแห่งที่อยู่ใกล้บริเวณวัดยังสามารถใช้เป็นศูนย์กลางการนั่งฌานของพระภิกษุและเหล่าอุบาสก อุบาสิกาได้อีกด้วย

วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง ทั้งความโดดเด่นของวัดและชื่อเสียงของ “หลวงพ่อจำเนียร” เจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธามาช้านานจากวัดถ้ำเสือ

เราขับรถต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อไปเที่ยวกันที่ สระมรกตซึ่งกำเนิดมาจากธารน้ำอุ่น ในผืนป่าที่ราบต่ำภาคใต้ เป็นน้ำพุร้อนลักษณะเป็นสระ น้ำร้อน 3 สระ ได้แก่ สระแก้ว สระมรกต และสระน้ำผุด น้ำใสเป็นสีเขียวมรกต มีอุณหภูมิประมาณ30-50 องศาเซลเซียส รอบๆ บริเวณเป็นป่าร่มรื่นเขียวครึ้มมีพรรณไม้ที่น่าสนใจ

หลังจากที่เดินชมสระมรกต ก็ไปชมบ่อน้ำผุด ซึ่งเป็นบ่อน้ำธรรมชาติและเป็นต้นกำเนิดของสระมรกต อยู่ห่างจากสระมรกตประมาณ 500 เมตร ลักษณะเป็นตาน้ำสีฟ้าอมน้ำเงิน เป็นสระน้ำแร่ธรรมชาติเนื่องจากมีแร่ธาตุที่ทับถมกันจำนวนมากเป็นเวลานาน

บ่อน้ำผุดจึงเป็นแหล่งน้ำแร่เก่าแก่ และมีฟองอากาศที่ผุดขึ้นมาเหนือน้ำเป็นระยะนักท่องเที่ยวนิยมเที่ยวสระมรกต และน้ำตกร้อนคลองท่อมในทริปเดียวกัน เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน สำหรับน้ำตกร้อนคลองท่อมแล้วถือได้ว่าเป็นจุดท่องเที่ยวที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติเลยทีเดียวเหมือนได้แช่ออนเซนกลางป่า

นอกจากได้บำบัดร่างกายคลายปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ และยังได้สัมผัสกับความรื่นรมย์ของธรรมชาติป่าเขายิ่งช่วงนี้นักท่องเที่ยวไม่มี เป็นช่วงเวลาดีที่จะแวะไปเพราะคนน้อย น้ำตกร้อนคลองท่อม เป็นน้ำร้อนที่ซึมมาจากผิวดินซึ่งมีป่าละเมาะปกคลุมอยู่ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 40 – 50 องศาเซลเซียสไม่ถือว่าร้อนมาก ตัวน้ำตกร้อน มีขนาดเล็ก สูงประมาณ 5 เมตร มี 3 ชั้น แต่ที่พิเศษ คือ แต่ละชั้น มีแอ่งลักษณะคล้ายอ่างอาบน้ำ ซึ่งเกิดจากการก่อตัวของตะกอนหินปูนในน้ำร้อน ชั้นละ 4 – 5 อ่าง ลึกประมาณ 1 – 1.5 เมตร ในน้ำมีสารกำมะถัน เจือจางเป็นส่วนประกอบ แต่เดิมบ่อน้ำพุร้อนนี้อยู่กลางป่าชายเลน

ต่อมาทาง อบต.ห้วยน้ำขาว ได้เข้ามาปรับปรุงพื้นที่โดยสร้างบ่อน้ำผุดที่เรียกว่า บ่อแม่ เป็นบ่อต้นน้ำ มีอุณหภูมิ 47 องศา โดยจะไม่อนุญาตให้ลงแช่ แต่จะมีพื้นที่บ่อแช่แยกออกมาโดยเฉพาะให้ มีลักษณะคล้ายอ่างน้ำ และสระน้ำขนาดใหญ่อีกหลายบ่อที่สร้างไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติโดยมีค่าธรรมเนียมการเข้าชม คนไทย เด็ก 10 บาท
ผู้ใหญ่ 20 บาท ชาวต่างชาติ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพงเลย

เราไปต่อกันกับอีกหนึ่งแหล่งน้ำ นั่นคือ ท่าปอมคลองสองน้ำ ตั้งอยู่ที่ ต.เขาคราม อ.เมือง เป็นแหล่งศึกษาเชิงนิเวศวิทยาเพื่อเรียนรู้ ความสมบูรณ์ของธรรมชาติทั้งในแง่ของทางน้ำใต้ดินและพืชพรรณที่สามารถเติบโตได้ทั้งในน้ำและบนดิน ก่อนที่จะเข้าชมด้านในต้องซื้อบัตรก่อน คนไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท ชาวต่างชาติ เด็ก 30 บาท ผู้ใหญ่ 50 บาท ค่าบัตรถูกอีกละความพิเศษของที่นี่คือ ระบบนิเวศของน้ำจืด และน้ำทะเลที่มีความสัมพันธ์กัน ที่ทำให้น้ำของที่นี่เปลี่ยนสีตามการขึ้นลงของน้ำทะเล ในช่วงขึ้น 12 ค่ำไปจนถึง แรม 5 ค่ำ ที่น้ำทะเลหนุนขึ้นสูงซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เรียกกันว่า “น้ำใหญ่” นั้นน้ำทะเลจะหนุนสูงลึกเข้ามาในคลองท่าปอม ถึงศาลาเล่นน้ำและผสมกับน้ำจืดในคลองท่าปอม กลายเป็นคลองน้ำกร่อยที่มีสีฟ้าค่อนข้างขุ่น แต่ว่าก็เป็นช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้น น้ำทะเลก็จะลงและถูกแทนที่ด้วยน้ำจืดใสแจ๋วมองเห็นเป็นสีเขียว ซึ่งเกิดจากการที่ลำธาร มีต้นกำเนิดจากเขาหินปูนที่มีสารแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีคุณสมบัติในการจับตะกอน และสารแขวนลอยให้จมตัวเมื่อสายน้ำไหลผ่านหินปูน เจ้าสารตัวนี้จะละลายปนมาพร้อมกับจับสารแขวนลอยไหลไปจมตัวในน้ำนิ่งน้ำในลำคลองท่าปอมจึงใสไหลเย็นมองเห็นตัวปลาและพืชใต้น้ำได้อย่างชัดเจน

อีกหนึ่งความพิเศษของที่นี่ คือ ป่าพรุแห่งนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ตลอดแนวลำคลองที่เต็มไปด้วยต้นชมพู่น้ำ ซึ่งรากของมันผสานแน่นอยู่ตามริมฝั่ง เคียงคู่กับป่าโกงกาง โดยรากของต้นไม้หลายประเภทจะปรับตัว ด้วยการโผล่รากขึ้นมาหายใจ ส่วนในน้ำเป็นที่อยู่ของฝูงปลาที่สามารถอาศัย และหากินได้ทั้งสองน้ำอย่างน่าทึ่ง เราสามารถชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติแห่งป่าท่าปอมอย่างใกล้ชิดได้โดยการใช้บริการพายเรือแคนูชมความงามของคลองสองน้ำและป่าท่าปอมได้

จังหวัดกระบี่ถือได้ว่าเต็มไปด้วยธรรมชาติที่ร่มรื่น เย็นฉ่ำทั้งท้องทะเลสีคราม ภูเขา ลำธาร น้ำตกที่เป็นธรรมชาติที่น่าสนใจและควรรักษาต่อไป

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0