หยุดเวลาไว้คิโนะซากิออนเซ็น – Kinosaki Onsen
Story & Photo by Orawan
ภาพของผู้คนสวมชุดยูคาตะ ใส่รองเท้าเกตะหรือเกี๊ยะไม้ เดินเล่นภายในเมืองที่สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารไม้โบราณตลอดแนวของแม่น้ำโอทานิที่ไหลผ่านหมู่บ้านเป็นภาพที่คุ้นชินของคิโนะซากิออนเซ็น ออนเซ็นอายุกว่า 1,300 ปีแห่งนี้
จากเมืองโอซาก้า ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของภูมิภาคคันไซ ฉันเดินทางด้วยรถไฟด่วนพิเศษขบวนโคโนะโทริ (Kounotori) จากสถานีชินโอซาก้า (Shin Osaka) วิ่งตรงสู่สถานีคิโนะซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะเริ่มเห็นกลิ่นอายของเมืองออนเซ็นแห่งนี้แล้ว
เมืองคิโนะซากิ อยู่ที่เขตโทโยโอกะ (Toyooka) จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) ภูมิภาคคันไซ ก่อนจะไปแช่น้ำแร่ อย่างหนึ่งที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ ปูมัตสึบะ (Matsuba crab) ปูถือเป็นอาหารประจำฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถตกได้บริเวณแถบทะเลญี่ปุ่น
โดยเฉพาะปูที่ตกได้ในพื้นที่ “คิโนะซากิ” จะถูกเรียกว่า “คิโนะซากิคานิ” ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปีไปจนถึงเดือนมีนาคมปีถัดไป เนื้อปูจะแน่นอยู่ภายใต้กระดอง ไม่ว่าจะรับประทานดิบหรือนำไปประกอบอาหารทั้งต้ม ย่าง อร่อยไปหมด นอกจากนี้ มันปูในฝากระดองเหมาะที่จะนำข้าวไปคลุกรับประทานได้อารมณ์ฟินไปอีกแบบ
ตามตำนานเล่ามาครั้งหนึ่งเคยมีนกกระสาบินมารักษาอาการบาดเจ็บในบึงน้ำที่เมืองคิโนะซากิแห่งนี้ และน้ำนั้นก็ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ ต่อมาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 717 เมื่อ โดจิ โชนิน (Douchi Shonin) พระจากเมืองนาราได้เดินทางมาที่เมืองคิโนะซากิ เพื่อตามหาบึงน้ำที่รักษาอาการบาดเจ็บตามตำนาน ในตอนแรกไม่รู้ตำแหน่ง แต่เมื่อสวดมนต์อธิษฐาน วันที่ 1,000 ก็เกิดปาฏิหาริย์มีน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน
หลังจากนั้นที่นี่ก็เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น ในช่วงสมัยเอโดะ เหล่าซามุไรทั้งหลายก็เดินทางมาที่นี่ ในยุคนั้นเรียกว่าไคไดได อิจิเซ็น (Kai Dai Dai Ichisen) ถือเป็นออนเซ็นที่ดีที่สุด ปัจจุบันนี้ไม่เพียงแต่ชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาพักผ่อนเท่านั้น นักท่องเที่ยวเองก็เดินทางมาสัมผัสความพิเศษของที่นี่มากมายไม่แพ้กัน
เพียง 10 นาทีจากสถานี เราจะเห็นบ่อน้ำร้อนที่มีป้ายเขียนว่า Drinking Water ใกล้กับจุดประชาสัมพันธ์ เรียกได้ว่าบ่อน้ำร้อนนี้เป็น welcome drink ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ที่จุดประชาสัมพันธ์นี้เราสามารถขอแผนที่ที่จะพาเราไปยังบ่อออนเซ็นสาธารณะดั้งเดิมที่เด่นๆ ทั้ง 7 แห่งของที่นี่
โดยแต่ละแห่งจะมีค่าบริการ ค่าแช่ครั้งละ 600 – 800 เยน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการแช่ออนเซ็น แนะนำให้ซื้อตั๋ววันสำหรับแช่ออนเซ็นที่เรียกว่า ตั๋วโซโตะยุเมกุริ (Sotoyu Meguri Ticket) สำหรับตระเวนแช่ออนเซ็นภายใน 1 วัน ราคาเพียง 1,200 เยน สำหรับผู้ใหญ่ (ตั้งแต่เด็กมัธยมต้นขึ้นไป) และราคา 600 เยน สำหรับเด็กเล็ก (อายุ 3 ปีขึ้นไป) สามารถหาซื้อได้ตามเคาน์เตอร์รับรองของออนเซ็นแต่ละแห่งได้เลย
บ่อออนเซ็นทั้ง 7 แห่ง นอกจากน้ำที่มีส่วนประกอบของโซเดียมและแคลเซียม ที่ให้สรรพคุณช่วยรักษาโรคปวดเส้นประสาท อาการปวดกล้ามเนื้อ แผลฟกช้ำ และโรคระบบทางเดินอาหารแล้ว ยังมีความเชื่อว่าจะให้โชคและให้คุณแตกต่างกันอีกด้วย
บ่อที่ 1 ชื่อ อิจิโนะยุ (Ichino-yu) ที่ถูกค้นพบมาตั้งแต่สมัยเอโดะ เดิมชื่อ Shinyu ต่อมาได้รับความนิยมและได้ชื่อว่าเป็นน้ำแร่ที่ดีที่สุดในโลก จึงมีการตั้งชื่อให้ใหม่ว่า Ichino-yu ซึ่งแปลว่า น้ำพุร้อนที่เป็นที่ 1 เป็นบ่อที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ โดยบ่อได้รับการตกแต่งใหม่เมื่อปี ค.ศ.1999 บรรยากาศคล้ายถ้ำออนเซ็นกลางแจ้ง เชื่อกันว่า ถ้านักเดินทางได้มาแช่ที่นี่จะทำให้แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ เปิดบริการ ทุกวันยกเว้นวันพุธ ตั้งแต่ 07.00 น. – 23.00 น. ค่าบริการ ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี 300 เยน
บ่อที่ 2 ชื่อ โกะโชโนะยุ (Goshono-yu) บ่อออนเซ็น ที่ใหม่และใหญ่ที่สุดในบรรดา 7 บ่อ เป็นบ่อกลางแจ้ง ลักษณะภายนอกที่ดูสงบสง่างามนั้นเป็นจุดเด่น เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “บิจินโนะยุ” (สถานที่อาบน้ำของผู้หญิงสวย) ซึ่งเป็นที่นิยมของคุณผู้หญิง เชื่อกันว่าจะนำมาซึ่งความโชคดีสำหรับคนที่กำลังตามหาคู่ครอง รวมไปถึงการคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากอัคคีภัย เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันพฤหัสบดีที่ 1 และ 3 ของเดือน ตั้งแต่ 07.00 น. – 23.00 น. ค่าบริการ ผู้ใหญ่ 800 เยน / เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี 400 เยน
บ่อที่ 3 ชื่อ โคโนะยุ (Kouno-yu) บ่อออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาออนเซ็นทั้ง 7 บ่อ เป็นออนเซ็นกลางแจ้งที่เคยเป็นโรงอาบน้ำแห่งแรกในเมืองคิโนะซากิ ตามตำนานของนกกระสาและนักบวชเป็นจุดเริ่มต้นของเมืองออนเซ็น อยู่ด้านในสุดลึกเข้าไปจากถนนใหญ่เล็กน้อยเลยมีบรรยากาศร่มรื่นและเงียบสงบ เชื่อกันว่าออนเซ็นแห่งนี้จะช่วยให้อยู่กันอย่างมีความสุข เปิดบริการ ทุกวันยกเว้นวันอังคาร ตั้งแต่ 07.00 น. – 23.00 น. ค่าบริการ ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี 300 เยน
บ่อที่ 4 ชื่อ จิโซยุ (Jizou-yu) ออนเซ็นที่ตั้งชื่อตามเทพผู้ดูแลคุ้มครองเด็กๆ ตัวอาคารทำเป็นหน้าต่างรูป 6 เหลี่ยมที่อ้างอิงมาจากถ้ำเก็นบุ เชื่อว่า การแช่ออนเซ็นที่บ่อนี้ จะทำให้ครอบครัวมีความเจริญ ก้าวหน้าและปลอดภัย เปิดให้บริการทุกวันยกเว้นวันศุกร์ ตั้งแต่ 07.00 น. – 23.00 น. ค่าบริการ ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี 300 เยน
บ่อที่ 5 ชื่อ ยานางิยุ (Yanagi-yu) ออนเซ็นบ่อเล็กที่สุดในบรรดา 7 บ่อ มีความลึกระดับมิดหัวเด็กเล็ก และน้ำร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่าออนเซ็นแห่งอื่นๆ ว่ากันว่ามีสรรพคุณช่วยรักษาบาดแผลภายนอกและอาการอักเสบของผิวหนังได้บรรยากาศ อบอุ่นแบบดั้งเดิม ชื่อยานางิยุนี้ มีที่มาจากต้นยานางิหรือต้นหลิวที่ปลูกอยู่ตามรายทางเลียบคลองในย่านนี้ เชื่อกันว่าเป็น “ออนเซ็นลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง” ใครที่อยากมีลูกให้มาแช่ออนเซ็นที่นี่แล้วจะตั้งครรภ์ได้ง่าย และช่วยให้เด็กทารกมีสุขภาพดี ด้านนอกอาคารมีออนเซ็นเท้าให้แช่ฟรี 2 บ่อ คนจะชอบมานั่งแช่เท้ากันตรงบ่อด้านหน้าฝั่งถนนใหญ่ แนะนำให้ไปบ่อด้านหลังที่คนไม่ค่อยเยอะ จะได้นั่งแช่เท้าได้อย่างสบายๆ เปิดบริการ ทุกวันยกเว้นวันพฤหัสบดี ตั้งแต่ 15.00 น. – 23.00 น. ค่าบริการ ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี 300 เยน
บ่อที่ 6 ชื่อ มังดาระยุ (Mandara-yu) เสน่ห์แห่งความเงียบสงบในบรรยากาศดั้งเดิมคือจุดขายของออนเซ็นแห่งนี้ เป็นออนเซ็นที่จะนำมาซึ่งความโชคดีสำหรับผู้ที่จะทำธุรกิจและการทำเกษตรกรรม เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันพุธ ตั้งแต่ 15.00 น. – 23.00 น. ค่าบริการ ผู้ใหญ่ 860 เยน / เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี 300 เยน
บ่อที่ 7 ชื่อ ซาโตะโนะยุ (Satono-yu) ตั้งอยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟคิโนะซากิออนเซ็น สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำมารุยามะได้จากบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งของชั้น 3 เป็นออนเซ็นที่มีการผสมระหว่างญี่ปุ่นดั้งเดิมกับสมัยใหม่ มีทั้งออนเซ็นแบบโบราณ บ่อกลางแจ้งและ เซาน่า กับอ่างจากุซซี่แบบใหม่ เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่ 13.00 น. – 21.00 น. ค่าบริการ ผู้ใหญ่ 800 เยน / เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี 400 เยน
ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่เฉพาะออนเซ็นเท่านั้น ทางภูเขาด้านทิศตะวันตกของเมือง วัดแห่งนี้มีความโดดเด่นมาก ชื่อ วัดออนเซ็นจิ (Onsenji Temple) หรือวัดน้ำพุร้อน วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 738 ตั้งอยู่บนภูเขาไทชิ (Mount Taishi สร้างเพื่ออุทิศให้พระโดจิ โชนิน ที่เป็นผู้เริ่มต้นให้คิโนะซากิเป็นที่รู้จัก จุดสำคัญของวัดนี้อยู่ที่ พระพุทธรูปคันนอน 11 เศียร (eleven-headed Kannon Buddha) ที่มีความสูงถึง 2 เมตร และที่พิเศษคือ จะเปิดให้ได้เข้าสักการะทุกๆ 33 ปี โดยมีระยะเวลาเปิดให้ชมเพียงครั้งละ 3 ปีเท่านั้น ครั้งปัจจุบันกำลังเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2018 ถึง 24 เมษายน 2021 และสามารถมองเห็นรูปปั้นบางส่วนได้ทุกปีในวันที่ 23 และ 24 เมษายนในช่วงเทศกาลออนเซ็นมัตสุริ (Onsen Matsuri) บริเวณด้านหลังวัดใกล้กับห้องโถงใหญ่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะคิโนะซากิ (Kinosaki Art Museum) จัดแสดงสิ่งสำคัญของวัด การเดินทางขึ้นมาด้านบนวัด สามารถใช้บริการรถราง เคเบิลคาร์ จากด้านล่างได้ ค่าบริการไป-กลับ ผู้ใหญ่ 900 เยน, เด็ก 450 เยน เที่ยวเดียว ผู้ใหญ่ 460 เยน, เด็ก 240 เยน เวลาทำการ 9.10 – 16.45 น. (รอบสุดท้ายขาขึ้น 16.45 น. และขาลงเวลา 17.10 น.) นอกจากจะได้มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเรายังจะสามารถมองเห็นวิวมุมสูงของเมืองได้จากที่นี่ ขอบอกว่าสวยงามมาก
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า เคยมีตำนานของนกกระสาที่นี่ ทำให้มีการจัดตั้งศูนย์เพาะพันธุ์นกกระสาขึ้นที่ไม่ไกลจากสวนโคะโนะโทะริโนะซะโตะ (Konotori no Sato Park) คุณจะเห็นนกกระสาพันธุ์โคะโนะโทะริ สัตว์ป่าคุ้มครองพิเศษจากรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากเกือบสูญพันธุ์ไปจากญี่ปุ่นจากการปฏิวัติเกษตรกรรมสมัยใหม่ที่ได้ทำลายความอุดมสมบูรณ์และพื้นที่ชุ่มน้ำไป จนทำให้นกกระสาได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1971 นั่นเอง ที่ศูนย์เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมและเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการเพาะพันธุ์และการอนุรักษ์ได้ โดยในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 ที่ผ่านมามีการปล่อยนกกระสาคืนสู่ธรรมชาติครั้งแรก คนที่ชื่นชอบธรรมชาติน่าแวะไปมาก
เมืองคิโนะซากิเอง นอกจากออนเซ็นที่เป็นที่นิยมแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมาย เดินทางครั้งต่อไป ฉันจะมาแนะนำให้รู้จักเมืองนี้ให้มากขึ้น แล้วคุณจะหลงรักเมืองนี้อย่างแน่นอน