Italy -Ti amo

เรื่องโดยทีมงาน Vacationist

Ti Amo ติ อา โม คำบอกรักในภาษาอิตาเลียน ที่ฟังแล้วไม่เลี่ยน นอกจากคำว่า ติ อา โม ที่แปลว่า ฉันรักเธอแล้วอีกคำที่คนอิตาเลียนนิยมใช้เรียกแทนชื่อคู่รักของตัวเอง นั่นคือ Amore อะ โม เร ที่แปลว่า ที่รัก อารมณ์คล้าย honey ฮันนี่ นั่นเอง แม้ว่าเพื่อนพ้อง น้องพี่หลายคนมักจะทักเรื่องเกี่ยวกับเดินทางไปอิตาลี แต่ส่วนตัวผมแล้วคิดว่า ไม่ว่าเมืองไหนก็มีทั้งดีและไม่ดีทั้งนั้น เช่นนั้นแล้วก็เก็บกระเป๋าพร้อมไปอิตาลี บอกรัก ติ อา โม อะโมเร กันได้เลย

โรม (Rome)

การเดินทางจากไทยมาอิตาลีมีหลายสายการบิน และโดยมากทุกคนที่เลือกมาเริ่มต้นลงที่ท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี-ฟีอูมีชีโน (Aeroporto Leonardo da Vinci di Fiumicino) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ท่าอากาศยานฟีอูมีชีโน เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ตั้งอยู่ในเมืองฟีอูมีชีโน ห่างจากศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของโรม 35 กิโลเมตร เวลาท้องถิ่นของอิตาลีช้ากว่าไทยไป 5 ชั่วโมง และจากสนามบินเข้าตัวเมืองใช้เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงจุดศูนย์กลางท่องเที่ยวอย่างสนามกีฬาโคลอสเซียม

โคลอสเซียม (Colosseum) เรียกว่าเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่ใครมาโรมต้องมาดูความยิ่งใหญ่ของโคลอสเซียมเสมอ สนามกีฬากลางแจ้งโบราณแห่งนี้เคยเป็นสนามประลองอันทรงเกียรติที่โหดเหี้ยมแล้วยังได้รับการคัดเลือกจาก องค์กร New 7 Wonders ให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรยข์องโลกยุคใหม่ ถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ เวสเปเซี่ยนแห่งจักวรรดิโรมัน และได้สร้างแล้วเสร็จในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือราวๆ ปี ค.ศ. 80

โดยมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมที่ก่อ ด้วยอิฐและหินทรายที่มีเส้นรอบวงประมาณ 527 เมตร สูงประมาณ 57 เมตร เราสามารถดูความยิ่งใหญ่ของโคลอสเซียมได้จากด้านนอก แต่ใครต้องการเข้าไปชมด้านในจำเป็นจะต้องจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า ราคาเริ่ม 18 ยูโร เวลาเปิดปิด : 09.00 – 16.30 น.บริเวณรอบๆ ก็จะมีคนมาขายตั๋วเหมือนกัน แต่ราคาจะค่อนข้างแพง ใครไม่ได้จองมาถ้ากำลังทรัพย์ถึงก็จัดได้ แต่ถ้าไม่ ดูข้างนอกผมว่าก็ซาบซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ของที่นี่แล้ว

ไม่ไกลกันนั้นคือ จัตุรัสโรมัน หรือโรมนัฟอรัม (Roman Forum) อดีตศูนย์กลางทางด้านการเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจของอาณาจักรโรมัน อาณาจักรที่มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 6.5 ล้านตารางกิโลเมตร ที่นี่สะท้อนให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอารยะธรรมโรมันในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา เดิมที่นี่เปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางและยังเป็นจุดนัดพบที่สำคัญของคนในยุคนั้นอีกด้วย  เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น. ในฤดูร้อนและเปิดถึง 13.00 น. ในวันอาทิตย์ สำหรับค่าเข้าชมแบบไม่มีไกด์ราคา 16 ยูโร ทั้งนี้เป็นตั๋วแบบ Fast Track คือมีทางเข้าที่สงวนไว้ในเวลาที่นักท่องเที่ยวได้เลือกเพื่อไปยัง Roman Forum

โดยตั๋วสามารถใช้เข้าชม Colosseum และ Palatine Hill ได้ด้วย (ใช้ได้ 2 วัน – หนึ่งครั้งต่อการเยี่ยมชมแต่ละสถานที่) และมี Audio-guide ให้หากต้องการ ส่วนตั๋วเข้าชมแบบมีไกด์ ราคา 17 ยูโร  บริเวณของสถานที่คือ เป็นเสาโบราณตั้งตรง จึงไม่มีจุดที่สามารถให้เราได้หลบแดดได้ ในวันที่แดดแรง ดังนั้นแนะนำให้เตรียมอุปกรณ์กันแดด ไม่ว่าจะเป็นร่ม ครีมกันแดด หรือเสื้อที่แขนยาว

สถานที่ท่องเที่ยวถัดไปที่ต้องไปคือ น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) น้ำพุแบบบารอคที่สูง 25.9 เมตร กว้าง 19.8 เมตร. เรียกว่าใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงโรมก็ว่าได้ ตรงกลางของน้ำพุเป็นประติมากรรมโอเชียนัส เทพเจ้าเนปจูน (Neptune) หรือเทพแห่งท้องทะเล ขี่รถม้าติดปีก แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรงและความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร ขนาบข้างด้วยไทรทัน (Triton) เทพเจ้าที่มีท่อนบนเป็นคนท่อนล่างเป็นปลา ที่ทั้ง 2 นั้นได้ควบม้าที่มีลักษณะแตกต่างกันโดยตัวนึงนั้นดูเชื่อง แต่อีกตัวกลับดูพยศอันเปรียบเสมือนท้องทะเลที่ไม่มีความแน่นอน สามารถสงบราบเรียบสวยงามและเปลี่ยนเป็นทะเลที่บ้าคลั่งน่ากลัวได้เพียงเสี้ยวนาทีนั่นเอง

นอกจากความงดงามอันน่าทึ่งแล้ว ยังมีความเชื่อด้วยว่าหากโยนเหรียญข้ามไหล่ซ้ายลงไปยังใต้น้ำพุจะสามารถกลับมายังกรุงโรมได้อีกครั้ง ซึ่งจุดเริ่มต้นของการโยนเหรียญมาจากภาพยนตร์เจ้าของรางวัลออสการ์เรื่อง Three Coins in the Fountain ที่ออกฉายในปี 1954 ภาพยนตร์นี้ถูกดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง Coins in the Fountain ของ John H. Secondari เป็นเรื่องราวของหญิงอเมริกัน 3 คน ที่มาทำงานในกรุงโรม และมีความใฝ่ฝันว่าจะเจอรักแท้ ซึ่งตอนจบของเรื่องพวกเธอก็สมหวัง และได้กลับมาพบกับคู่รักอีกครั้ง วิธีการโยนเหรียญที่ทำๆกันอยู่ก็เป็นวิธีการเดียวกับที่ตัวละครในเรื่องทำนั่นเอง

วิหารแพนธีออน (Pantheon) ชื่อที่มีความหมายมาจากคำว่า “All of God” หรือวิหารแห่งเทพวิหารเป็นรูปทรงจตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในช่วง 27-25 ปีก่อนคริสต์ศักราชโดยมีอายุมากกว่า 2,000 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างเดียวที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยยุคโรมันและคงสภาพสมบูรณ์ไว้ได้มากที่สุดที่มีเหลืออยู่ ด้วยการออกแบบและการก่อสร้างที่โดดเด่น ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นความน่าทึ่งและอัศจรรย์ ใช้เพื่อเป็นเทวสถานบูชาเทพเจ้าแห่งกรีก-โรมันทั้ง 7 แห่งดาวในระบบสุริยะได้แก่ พระอาทิตย์ (Apollo) พระจันทร์ (Diana) อังคาร (Mars)  พุธ (Mercury) พฤหัส (Jupiter) ศุกร์ (Venus)และเสาร์ (Saturn) นับเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากวิหารกรีก-โรมันส่วนใหญ่มักจะสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของการออกแบบของวิหารแห่งนี้ที่ พลาดไม่ได้เลยก็คือ ช่องวงกลม (Oculus) หรือที่เรียกว่า ช่องตา ซึ่งเป็นช่องแสงบริเวณกลางโดม ความสูงของช่องตา (oculus) บนเพดานและเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องวัดจากด้านในเท่ากับ 43.3 เมตรเท่ากันเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของดวงตาสวรรค์ที่เชื่อมระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ แต่ถ้าอิงตามทฏษฎีวิทยาศาสตร์ก็สันนิษฐานว่าออคโลคัส (Oculus) อาจมีหน้าที่เป็นนาฬิกาจากแสงอาทิตย์ เพื่อให้แสงอาทิตย์อาบส่องลงมาที่ตังกษัตริย์เวลาประกอบพิธีต่างๆ ก็เป็นได้ อีกทั้งยังมีวัสดุที่ค่อนข้างเบา แต่มีความคงทนแข็งแรงมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นการก่อสร้างชิ้นเอกของยุคนั้นเลยทีเดียว 

ย่านบันไดสเปน (Piazza di Spagna) หนึ่งในจัตุรัสที่เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่ง สำหรับสายช้อปที่นี่เป็นแหล่งแฟชั่นชั้นนำสุดหรู ไม่ว่าจะเป็นสินคค้าแบนด์เนมต่างๆมากมาย Hermès, Cartier, Louis Vuitton, Jimmy Choo,Miu Miu, Gucci, Prada, Bulgari และอื่นๆมากันครบ สายถ่ายภาพ ที่นี่เป็นศูนย์รวมของโบสถ์และอนุสาวรีย์อันเป็นภาพที่สวยงามแก่นักท่องเที่ยวและช่างภาพ ส่วนสายกินไม่ต้องน้อยใจ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม มีครบหมดและยังเป็นแหล่งนัดพบยอดนิยมที่สุดของชาวอิตาเลี่ยนอีกด้วย

ฟลอเรนซ์ (Florence)

จากสถานี Roma Tiburtina ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยรถไฟ Firenze S.Maria Novella  ก็จะถึงสถานี Firenze Santa Maria Novella เมืองฟลอเรนซ์ เมืองหลวงของ แคว้นทัสคานี (Tuscany) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การสหประชาชาติหรือ ยูเนสโก เมื่อปีค.ศ. 1982 เมืองเล็กๆ ที่มีแม่น้ำอาร์โน (Arno) ไหลผ่านกลางเมืองผ่านตึกอาคารทรงโบราณโทนสีอบอุ่นและทิวเขาที่สวยงาม เป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะในยุคเรอเนสซองส์ แค่ได้ชมอาคารสถานที่ก็เรียกว่าคุ้มสุดแล้ว

เริ่มจาก วิหารแห่งซานตามาเรียเดลฟิโอเร (Cathedral Of Santa Maria Del Fiore) ตั้งอยู่ที่ปิเอซ่าเดลดูโอโม่ (Piazza del Duomo) ซึ่งเป็นย่านใจกลางประวัติศาสตร์ของเมืองฟลอเรนซ์ เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของทวีปยุโรป สร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่13 เป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมที่ใครมาเที่ยวฟลอเรนซ์เเล้วไม่ควรพลาดมาเยี่ยมชมความสวยงามโอ่อ่าของศาสนสถานเเห่งนี้ สิ่งที่โดดเด่นคือ การประดับประดาไปด้วยหินอ่อนหลากสี ทั้งสีชมพู เขียว ขาว ด้านบนสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของฟลอเรนซ์ได้ แต่คุณต้องเดินขึ้นไปตามบันไดที่มี 463 ชั้นไปเพราะไม่มีลิฟท์ ตัวโดมเป็นโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นก็ออกเเบบโดย ฟิลิปโป บรูเนลเลสชี ซึ่งมันมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 45.5 เมตรทีเดียว

ใกล้กันนั้นคือเปียซซาเดลลาซิญญอเรีย (Piazza della Signoria) จัตุรัสกลางเมืองฟลอเรนซ์ที่ล้อมรอบด้วยอาคารสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์และประติมากรรมเอกของโลกอย่างรูปป้ันเดวิด (David Statue) น้ำพุรูปปั้นเทพเจ้าเนปจูน (Fountain of Neptune) วีรบุรุษเปอร์ซิอุสถือหัวเมดูซ่า (Perseus with the Head of Medusa) และหอศิลป์กลางแจ้ง Loggia dei Lanzi ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์การเมืองและการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของทวีปยุโรปได้เป็นอย่างดี ตัวจัตุรัส ไม่เสียค่าเข้าชม แต่พระราชวังเวคคิโอ (Palazzo Vecchio) ส่วนพิพิธภัณฑ์โบราณสถานและหอคอย มีค่าเข้าชม 18 ยูโร

สำหรับสะพานเวคคิโอ (Vecchio) คนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์จะรู้ว่าที่นี้เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองฟลอเรนซ์ สะพานแห่งนี้นั้นเดิมทีถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อใช้เป็นทางสัญจรในการข้ามแม่น้ำอาร์โน โน โดยมีตำนานของสะพานแห่งนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 996 แม้ว่าสะพานที่เห็นกันในปัจจุบันจะเป็นสะพานที่ได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1345 ลักษณะของสะพานเป็นสะพานที่โค้ง 3 อันคร่อมแม่น้ำอาร์โน

ส่วนคนที่ชอบการจับจ่าย จะรู้ว่าภายในสะพานประกอบไปด้วยร้านค้าขายทองและอัญมณี อยู่ทั้งสองข้างของสะพาน เป็นเส้นทางเดินที่เราสามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองได้ บนสะพานคุณจะเห็นแม่กุญแจคล้องอยู่ตามความเชื่อว่าหากคู่รักมาคล้องเเม่กุญเเจเเล้วทิ้งลูกกุญเเจลงแม่น้ำไปเเล้ว ความรักของทั้งสองจะยั่งยืน แต่แนะนำว่าอย่าทำ เนื่องจากสะพานได้รับความเสียหายจากกุญแจทั้งหลายที่ถูกนำมาล็อคตามบริเวณต่างๆ จนทำให้เจ้าหน้าที่ต้องสั่งปรับนักท่องเที่ยวที่มาล็อคกุญแจบนสะพานกันเลยทีเดียว

เมืองปิซ่า (Pisa)

เมืองแห่งศิลปะที่สำคัญของประเทศอิตาลี เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ในแคว้นตอสคานา ฝั่งแม่น้า อาร์โน อยู่ทางตะวันตกของเมืองฟลอเร้นซ์และทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเซียนา ด้านตะวันตกของเมืองติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สิ่งแรกที่นึกถึงเวลาที่พูดถึงเมืองปิซ่า ก็คงหนีไม่พ้นกับ หอเอนแห่งเมืองปิซ่า (Leaning Tower of Pisa) อันเลื่องชื่อสัญลักษณ์แห่งเมืองปิ ซ่า เป็นหอระฆังที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว 8 ชั้น ขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เดิมหอนี้ก็ตั้งตรงเหมือนตึกทั่วไป ตอนเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1173 สร้างไปสัก 1 ใน 3 หอก็เริ่มเอียง เพราะดินใต้พื้นไม่มีชั้นหิน เป็นโคลนดินนิ่มๆ ก็เลยทรุดตัวจนกลายเป็นหอเอน

มีการปรับปรุงฐานให้หอเอนนี้หนาแน่นด้วยการเทคอนกรีตลงไปที่ฐานราก เพื่อยึดฐานของหอให้มั่นคงขึ้น เพื่อหยุดการโน้มเอียง แต่หอนี้ยังคงเอียงไปเรื่อยๆ จนปัจจุบันหอเอนปิซ่ายังค่อยๆ โน้มตัวเอนลงเรื่อยๆ ถึงประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายท่านระบุว่า หอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุกๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว ค่าบัตรเข้าชมเริ่มต้นคนละ ประมาณ 20 ยูโร (EUR) ขึ้นกับประเภทของบัตร

จัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หรือ จัตุรัสกัมโป เดย์ มีราโกลี (Compo Dei Miracoli) เป็นจัตุรัสที่ได้รับการขนานนาม ว่า “Campo dei Miracoli” หรือ “ทุ่งมหัศจรรย์” เพราะเป็นที่ตั้งของหอคอยที่โด่งดัง และ โบสถ์สำคัญๆ ที่สง่างามหลายแห่ง เนื่องด้วยความโดดเด่นของการเอนเอียงของหอเอนปิซาอันเป็นเอกลักษณ์จึงทำให้ในปี ค.ศ. 1987 หอเอนปิซาได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยองค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก โดยนับรวมเป็นส่วนหนึ่งจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม นอกจากนั้นแล้วหอเอนปิซายังถูกจัดให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย

เมืองมิลาน (Milan) หรือ มิลาโน (Milano)

เมืองหลักของแคว้นลอมบาร์เดียและเป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลีตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี (Lombardy) ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเคลต์คำว่า “Mid-lan” ซึ่ งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือนกว่า 8 ล้านคนในแต่ละปี บ้างก็มาเพื่อชื่นชมแฟชั่น เพราะมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นแบบเดียวกันกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และโรม บ้างก็มาชื่นชมพิพิธภัณฑ์ ห้องจัดแสดง รวมถึงชื่นชมงานจิตรกรรมชิ้นสำคัญของศิลปินเอกอย่างเลโอนาร์โดดาวินชีก็อยู่ที่เมืองมิลานแห่งนี้ สำหรับขอชื่นชมสถานปัตยกรรมและจับจ่ายตามมากันได้

เริ่มจากปิอาซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Doumo) ศูนย์กลาง เป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนมาทุกยุคสมัย เป็นจัตุรัสหลักของเมืองมิลานที่ล้อมรอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร การบริการมากมายให้เลือกใช้บริการ อีกทั้งยังล้อมรอบไปด้วยอาคารสำคัญๆ รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอย่าง มหาวิหารแห่งมิลาน (Milan Cathedral) มหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากมหาวิหารเซนส์ปีเตอร์ของโรมอีกด้วย

ถ้าไม่มาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงมิลาน เป็นศิลปะสไตล์โกธิขนาดกว้าง 92 เมตร และสูงถึง 157 เมตร วิหารแห่งนี้เริ่มก่อสร้างปี ค.ศ. 1386 และเสร็จสิ้นปี ค.ศ. 1965 ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 579 ปี ด้านนอกเป็นยอดแหลม 135 ยอด จึงมีชื่อเล่นว่า “มหาวิหารเม่น” มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่างๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูป ยอดที่สูงที่สุดประดับด้วยรูปสลักพระแม่มาเรียสูง 4 เมตร หุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ มีชื่อเรียกว่า มาดอนนิน่า (Madonnina) ส่วนด้านในวิหาร ดูเรียบง่าย แต่โอ่อ่ากว้างขวาง งดงามเกินคำบรรยาย ตามสไตล์โกธิกค่าเข้าชมคนละ ประมาณ 5 ยูโร (EUR) บริเวณลานกว้างเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปทรงม้าของกษัตริย์พระองค์แรกในราชอาณาจักรอิตาลี วิตโตรีโยเอ มานูเอเลที่ 2 (Vittorio Emanuele II) มาชมความงดงามของสถาปัตยกรรมให้เต็มอิ่ม นอกจากนี้รอบๆ วิหารยังมีของที่ระลึกวางจำหน่ายด้วย

ในบริเวณเดียวกัน ด้านข้างของจตุรัสหน้าดูโอโมทางทิศเหนือ จะเห็นทางเข้ากัลเลเรีย วิตโตรีโอ เอมานูเอล (Galleria Vittorio Emanuele) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่หรูหราอลังการแห่งเมืองมิลาน เป็นห้างสรรพสินค้าค้าขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของโลก เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Arched โดยสถาปนิกที่ชื่อว่า Giuseppe Mengoni ใช้เวลาสร้างยาวนานกว่า 12 ปี เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1877 ภายในห้างเป็นโดมแก้ว ทุกจุดตกแต่งอย่างสวยงาม กระเบื้องโมเสกที่พื้น เป็นภาพตราสัญลักษณ์ของเมืองหลวงทั้ง 3 ของอิตาลี มีห้างร้านต่างๆ มากมาย และมีโรงแรมระดับ 5 ดาวตั้งอยู่ภายในอีกด้วย

ไปต่อกันที่สวนสาธารณะของเมืองอย่างสวนสาธารณะเซมปิโอน (Parco Sempione) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของมิลาน ด้วยพื้นที่โดยรวมทั้งหมด 240 ไร่ สวนสาธารณะแห่งนี้ยเป็นพื้นที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์มีทั้งต้นไม้นานาพรรณ และเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สวนสาธารณะแห่งนี้จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับการมานั่งพักผ่อนหย่อนใจในภูมิทัศน์ที่สวยงาม ยกตัวอย่างเช่น

ปราสาทสฟอร์เซสโก้ (Castello Sforzesco) ปราสาทเก่าแก่หลายร้อยปี ทรงคลาสสิก Fontane di Milano น้ำพุขนาดใหญ่ แลนด์มาร์กที่ผู้คนมานัดพบปะอยู่เบื้องหน้า อดีตปราสาทแห่งนี้เคยเป็นป้อมปราการของพวกตระกูล วิสคอนติ(Visconti) ต่อมาเป็นที่พำนักของผู้นำเผด็จการในช่วงศตวรรษที่ 15 คือตระกูลสฟอร์ซา (Sforza) ปัจจุบันเป็นที่นี่แหล่งรวมแกลลอรี่และพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองมิลานชื่อว่า Museum of Ancient Art ให้ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาเมืองมิลานและเรื่องราวของปราสาทสฟอร์เซสโก้ ร่วมไปถึงแสดงงานศิลปกรรม วัตถุโบราณเหรียญต่างๆ และเฟอร์นิเจอร์ รูป แกะสลักที่ไม่เสร็จของมิคาแลงจิโอ ที่ชื่อว่า “Rondanini Pieta” ใครมาแล้วไม่ควรพลาด

ปิดท้ายกันด้วยรู้ไว้ก่อนมาเที่ยวอิตาลีกัน ที่นี่จะช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง แบ่งเป็นทั้งหมด 4 ฤดูกาล ได้แก่ฤดูหนาว: ช่วงเดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ์ อุณหภูมิประมาณ 0-12 องศาเซลเซียส มีอากาศหนาวเย็นมากที่สุด ฤดูใบไม้ผลิ: ช่วงเดือน มีนาคม – พฤษภาคม ช่วงฤดูนี้อากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อย อาจเจอฝนตก ควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวและกันฝนให้พร้อมกับทุกสภาพอากาศ ฤดูร้อน: ช่วงเดือน มิถุนายน – สิงหาคม อุณหภูมิประมาณ 20-30 องศาเซลเซียส ช่วงนี้อากาศดีใกล้เคียงกับบ้านเราใส่ชุดสบายๆได้ ฤดูใบไม้ร่วง: ช่วงเดือน กันยายน – พฤศจิกายน ช่วงเวลาแห่งใบไม้เปลี่ยนสี อุณหภูมิเย็นลงเล็กน้อย อากาศเย็นกำลังดี ไม่หนาวเกินไป เหมาะแก่การท่องเที่ยว คนอิตาลีใช้ภาษาอิตาลีเป็นหลัก และใช้สกุลเงินยูโร สำหรับคนไทยการเดินทางเข้าประเทศอิตาลีจะต้องยื่นขอวีซ่าอิตาลี โดยเตรียมเอกสารการยื่นให้ครบถ้วน และไปยื่นขอที่ศูนย์ยื่นวีซ่าที่ VFS Global

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแล้ว คุณไม่ควรพลาดอาหารอิตาเลียนแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า พาสต้า เจลาโต้ ปันนาคอตต้า เป็นต้น แม้ว่าอิตาลีมักจะมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับการลักขโมยของ แต่ถ้าเราพยายามดูแลตัวเอง และระวังให้มาก คุณต้องหลงรักที่นี่ จนต้องกล่าว อิตาลี ติ อา โม ฉันรักคุณอิตาลี

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0