Wonderful vacation in Iceland

Story by Editorial Staff

เมื่อพูดถึงประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) สิ่งแรกที่คนไทยเรานึกถึงในช่วง 1-2 ปีนี้ คงเป็นธารน้ำแข็ง สีขาวกว้างสุดตา สมกับที่ชื่อว่าไอซ์ ภาพต่อมาคงเป็นแสงขั้วโลก (Polar Light) หรือแสงเหนือสีเขียวที่เต้นระบำไปมาอยู่บนท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองสิ่งจะสามารถเห็นได้ในช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนธันวาคมไปถึงต้นมีนาคมของทุกปี แต่ถ้าคุณเดินทางมาไอซ์แลนด์ในช่วงเดือนเมษายนเป็นต้นไปยาวถึงปลายสิงหาคม คุณจะได้เห็นเสน่ห์ทางธรรมชาติที่แทรกตัวอยู่ตามภูมิภาคน้ำแข็งแห่งนี้ ตามผมไปพบกับสถานที่ พักร้อนที่สุดมหัศจรรย์ในไอซ์แลนด์ด้วยกัน

สายลมของสนามบินเคฟลาวิก (Keflavik International Airport) พัดเอาผมตาสว่าง ฟื้นตื่นจากการเดินทางอันยาวนานกว่า 17 ชั่วโมง จากเมืองไทย ก่อนเดินหัวฟูทยอยกันขึ้นรถฟลายบัส (Flybus) มุ่งหน้า สู่เมืองเรคยาวิก (Reykjavik) เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ การเดินทางท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์คนนิยมที่จะเช่ารถขับเที่ยวเอง ตามเส้นทางยอดนิยมอย่าง Ring road คือ ทางหลวงหมายเลข 1 ที่วิ่งวนรอบเกาะ หรือสายท่องเที่ยวยอดฮิตเลาะชายฝั่งทะเลทางตอนใต้อย่าง Golden Circle เสียส่วนใหญ่ แต่ถ้าใครขับรถไม่เป็นก็สามารถซื้อทัวร์จากบริษัททัวร์ในพื้นที่ที่จะตั้งโต๊ะขายตามโรงแรมที่เข้าพัก มีให้เลือกหลากหลายเส้นทาง

สุดยอดสถาปัตยกรรมในเมืองหลวงที่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด
เมืองเรคยาวิก เป็นเมืองหลวงที่ค่อนข้างจะราบเรียบและเงียบ ช่วงหน้าหนาวเป็นช่วงที่เหล่านักท่องเที่ยวต่างแดนที่ต้องการมาล่าแสงเหนือเดินทางมา แต่ช่วงนี้ผมพบแต่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่ออกมาสัมผัสแสงแดดเสียส่วนใหญ่ ภายในตัวเมืองคล้ายกับที่เมืองไครสต์เชิร์ชหรือควีนส์ทาวน์ของนิวซีแลนด์ คือไม่ค่อยมีตึกสูงใหญ่มากนัก ทำให้สามารถมองเห็นโบสถ์ฮัลกริมสเคียร์ค่า (Hallgrímskirkja) โบสถ์คริสต์นิกายลูเธอแรน (Lutheran) ผลงานของสถาปนิก กุธยอน ซามูเอลสัน (Guðjón Samúelsson) ได้อย่างชัดเจน

โบสถ์นี้ได้แรงบันดาลใจจากเสาหินบะซอลต์ที่ถ้ำบริเวณหาดทรายสีดำเรนิส-ฟายาร่า (Reynisfjara) แต่หลายคนบอกว่ามีรูปร่างคล้ายยานอวกาศ มากกว่า คงเพราะด้วยความสูง 73 เมตรที่พุ่ง ขึ้นสู่ท้องฟ้านั่นเอง ด้านบนมีจุดชมวิวมองเห็นเมืองเรคยาวิกได้โดยรอบ (เสียค่าขึ้นไปประมาณ 200 บาท) โบสถ์แห่งนี้ตั้งชื่อตามชื่อของ ฮัลล์กรีมูร์เพทูร์สซอน (Hallgrímur Pétursson) กวีและนักบวชชาวไอซ์แลนด์ ฮัลกริมสเคียร์ค่า ตามศัพท์แปลว่า โบสถ์ของฮัลล์กรีมูร์ ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 41 ปีเสร็จเมื่อปี 1986

ด้านหน้ามีรูปปั้นของนักสำรวจเลฟ อีริคสัน (Leif Eriksson) ที่เป็นของกำนัลจากสหรัฐฯ ในวาระฉลองรัฐสภาอัลธิงกิ (Alþingi) ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกครบรอบ 1,000 ปี ในปี 1930 แสดงว่า รูปปั้นด้านหน้าสร้างเสร็จก่อนโบสถ์เสียอีก

ไม่ไกลจากตัวเมืองเรคยาวิกมากนักประมาณ 2 กิโลเมตร มีสถาปัตยกรรมอันหนึ่งที่น่าสนใจ เรียกกันว่า เพอร์แลน (Perlan) หรืออาคารไข่มุก สถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองของไอซ์แลนด์ ตัวอาคารโดดเด่นเพราะตั้งอยู่บนเนินเขา คุณสามารถมองเห็นได้จากตั้งเเต่เครื่องบินยังไม่ทันลงที่สนามบินเรคยาวิกเลย เพอร์แลนเป็นโดมกระจกวางอยู่ตรงตำแหน่งเหนือแท็งก์น้ำร้อนเดิมที่เคยจ่ายน้ำให้กับทั้งเมืองมาหลายสิบปีจำนวน 4 แท็งก์ ไฮไลต์อยู่ตรงโดมที่มาจากแนวคิดของการสร้างของศิลปิน โยฮันเนส คยาร์วัล (Johannes Kjarval) วัตถุประสงค์ของเขาต้องการสร้างให้แสงเหนือส่องผ่านกระจกด้านข้างเข้ามาในตัวอาคารได้ ส่วนด้านบนหลังคาตกแต่งด้วยคริสตัลหลากสีสันและแสงสาดจากชายคาจะช่วยส่องให้อาคารสว่างไปทั่วบริเวณ ด้านบนสุดมีจุดชมวิว สามารถเดินได้รอบเป็นวงกลมคล้ายบนดาดฟ้าเรือทำให้มองเห็นเมืองได้โดยรอบ ภายในส่วนอื่นๆ มีทั้งร้านอาหาร สวนน้ำร้านขายของที่ระลึก และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ไวกิ้ง

ผมปิดท้ายวันด้วยการเดินแวะไปหาอะไรกินแถวท่าเรือที่พาไปชมวาฬและนกพัฟฟิน (Puffin) หนึ่งในกิจกรรมที่หลายคนนิยมทำกันหากมาที่นี่ แต่ผมออกแนวไม่ค่อยชอบสัตว์ ขอเสพสถาปัตยกรรมดีกว่าและอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจคือ คอนเสิร์ตฮอลล์ ริมท่าเรือที่ชื่อ ฮาร์ปา (Harpa)

ผลพวงทางด้านการเงินอย่างหนักช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกเมื่อปี ค.ศ. 2008 ทำให้รัฐบาลไอซ์แลนด์ผันโครงการก่อสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ริมน้ำมาเป็นคอนเสิร์ตฮอลล์และศูนย์การประชุมดีไซน์สุดโดดเด่นอย่าง ฮาร์ปาแทน อาคารที่สวยงามและทันสมัยแห่งนี้ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกเดนมาร์ก เฮนนิ่ง ลาร์เซ่น (Henning Larsen) และสถาปนิกไอซ์แลนดิกชื่อดัง โอลาฟูร์ อีไลสัน (Ólafur Elíasson)

ภายในมีทั้งห้องจัดแสดงคอนเสิร์ต ห้องประชุม/สัมมนา ตลอดจนบาร์ ภัตตาคาร และร้านค้าต่างๆ จากด้านในมองออกไปนอกผนังกระจกที่แสดงถึงความหมายของหินภูเขาไฟที่ตกผลึกเกาะตัวกัน การติดตั้งแบบโปร่งเพื่อสะท้อนสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเมืองอันได้แก่ภูเขา เกาะและผืนน้ำที่ทอแสงเป็นประกายระยิบระยับเปลี่ยนไปตามแสงที่สาดส่องลงมาถือเป็นอาคารที่น่าทึ่งอีกอาคารสำหรับผม

มหัศจรรย์ของความร้อนใต้พิภพ
นอกจากแสงเหนือแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คุณน่าจะได้มาสัมผัสคือ การชมน้ำพุร้อนแบบที่พวยพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากว่า 50 เมตรและการได้ลงแช่ในน้ำพุร้อนหรือน้ำแร่ ที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ที่บลู ลากูน (Blue Lagoon) ซึ่งห่างจากเมืองหลวงเรคยาวิกประมาณ 39 กิโลเมตร

น้ำพุร้อนที่นี่เกิดจากการเคลื่อนตัวของหินหลอมละลายใต้ดินทำให้น้ำในบ่อร้อนขึ้นและมีไอน้ำระเหยขึ้นมาอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุมากมาย นอกจากจะช่วยผ่อนคลายแล้วยังสามารถช่วยรักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิดอีกด้วย ค่าเข้าใช้บริการมีเริ่มตั้งแต่มาตรฐานประมาณ 40 ยูโร แช่และมาส์กโคลนเฉยๆ จนถึง 195 ยูโรที่มีให้ครบทั้งอุปกรณ์อาบน้ำ เครื่องดื่ม ชุดผลิตภัณฑ์สปาและห้องรับรอง ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ด้านในจะมีเคาน์เตอร์ที่ให้บริการ

โคลนขาวๆ ที่มีแร่ธาตุซิลิกา (Silica) ที่มีสรรพคุณว่าพอกครั้งละ 10 นาทีหน้าจะเด้งใส ราวกับอายุลดไป 10 ปี ผมพอกไป 2 รอบเผื่ออายุจะได้ลดไปสัก 20 ปีเป็นเด็กวัยรุ่นกับเขาบ้าง สุดท้ายก็เพิ่งรู้ตัวว่าถึงสรรพคุณจะดีจริงอย่างที่กล่าวอ้าง คงลดอายุได้แต่เพียงผิวหน้าภายนอกเท่านั้น ข้างในผมก็ยังเป็นหนุ่มสูงวัยเช่นเดิม รู้สึกก็ตอนที่เดินไปชมน้ำพุร้อนสโตรกคัวร์ (Strokkur Geysir) นั่นแหละ

น้ำพุร้อนแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นน้ำพุร้อนที่เป็นตัวเอกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ ด้วยอยู่ในทำเลเส้นทางยอดนิยม Golden Circle แถมมีน้ำพุร้อนที่จะพุ่งขึ้นมาทุกๆ 7 – 10 นาที และสุดท้ายมีความสูงเกือบ 50 เมตรด้วยคุณสมบัติ 3 ข้อนี้จึงทำให้ น้ำพุร้อนสโตรกคัวร์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่หลายคนใส่เข้าไปในแพลนการเดินทาง

น้ำพุร้อนนั้นมีหลายแบบ บางแห่งก็พุขึ้นมาเป็นสายน้ำ บางแห่งก็ปล่อยออกมารวมกับไอน้ำ แต่ ไกเซอร์ (Geysir) ในภาษาไอซ์แลนด์ หมายถึง น้ำพุร้อนที่มีกระแสน้ำพุ่งขึ้นไปในอากาศ ซึ่งเรามักจะคุ้นกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ว่า geyser ก็มีที่มาจากคำว่า Geysir ต้นฉบับจากทางไอซ์แลนด์นี่แหละ การสังเกตว่าเมื่อไหร่มันจะพวยพุ่งขึ้นมานั้น ดูได้จากการเอ่อของน้ำ น้ำจะเอ่อขึ้นอย่างรวดเร็ว ปูดเป็นเหมือนโดมอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะระเบิดพุ่งทะยานขึ้นฟ้าพร้อมเสียงคำรามกึกก้อง ผมบอกเลยว่าการถ่ายภาพน้ำพุร้อนนั้นต้องถอยออกไปให้ห่างนิด เพื่อจะเก็บภาพได้เต็มๆ เพราะสายน้ำพุ่งขึ้นสูงมากจริงๆ และอีกอย่างคือเพื่อหลบละอองน้ำที่กระเซ็นสาดให้คนรอบข้างเปียกปอนได้อีกทางความอลังการของธรรมชาติ

หลายคนคงรู้จัก น้ำตกไนแอการา น้ำตกขนาดใหญ่ที่ตั้งบนพรมแดนระหว่างประเทศแคนาดากับสหรัฐอเมริกากันเป็นอย่างดี สำหรับที่นี่ก็มีน้ำตกที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกทองคำหรือไนแอการาแห่งไอซ์แลนด์ นั่นก็คือ น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) ไม่ใช่ว่าน้ำตกนี้จะไหลแล้วมีแร่ทองปะปนอะไร แต่ความหมายของคำว่าน้ำตกทองได้มาจากการที่น้ำตกกระทบกับแสงแดดจนเป็นประกายสายรุ้งวิบวับดั่งทองคำอันล้ำค่า จึงมีการตั้งชื่อว่า Gull แปลว่าทอง Foss แปลว่า น้ำตก แปลตรงตัวตามภาษาไอซ์แลนด์นั่นเองและน้ำตกแห่งนี้ ก็อยู่บนเส้นทางสาย Golden Circle ซึ่งการเดินทางสามารถเข้าได้ง่ายโดยรถประจำทางที่จะพามาตรงบริเวณทางเข้าของน้ำตกเเห่งนี้ ซึ่งเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

ผมแนะนำให้คุณรับประทานอาหารและเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยจากจุดนี้ เพราะต่อจากนี้คุณจะต้องเดิน เดิน และเดิน เหนื่อยพอสมควรทีเดียว พอใกล้จะถึงคุณจะได้ยินเสียงน้ำตกที่ไหลจากลานกว้างประมาณ 1 กิโลเมตร ที่ไล่ไปตามแนวโค้งของหน้าผาที่ยาวกว่า 1 กิโลเมตรเช่นกันก่อนจะทิ้งตกลงมาพื้นด้านล่างไล่เป็นชั้นๆ ไประดับแรกสูงกว่า 11 เมตรต่อด้วย 21 เมตร และมีรอยแยกเป็นทางเดินของน้ำกว้างประมาณ 20 เมตร ลึก 32 เมตรยาวเกือบ 2.5 กิโลเมตร ความแรงของน้ำอยู่ที่ 140 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วงฤดูร้อน เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้เล่นน้ำที่น้ำตกแห่งนี้เลย แค่ชมความสวยงามของสายน้ำที่ทอดตัวลงไปเบื้องล่างพร้อมรับไอน้ำเย็นก็สดชื่นพอแล้ว แต่ถ้าใครมาในวันที่ฟ้าใส ถือได้ว่า เป็นโชคชั้นที่สองของคุณ เพราะจะได้เห็นสายรุ้งขนาดใหญ่ที่เกิดจากละอองน้ำจะปะทะกับแสงแดดพาดผ่านธารน้ำขนาดอลังการแห่งนี้แน่นอน

น้ำตกกุลล์ฟอสส์นั้นตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Þingvellir หรือ Thingvellir National Park) มาจากภาษาไอซ์แลนด์ Þing แปลว่า สภา vellir แปลว่า ทุ่งหญ้า เมื่อรวมกันคงจะหมายถึงสภาที่ตั้งขึ้นในที่โล่งเป็นลานประชุมของชุมชนไอซ์แลนด์ในยุคแรกๆ อุทยานแห่งนี้เป็นสถานที่นิยมสำหรับคนที่ต้องการมาชมความสวยงามของปรากฏการณ์ออโรรา บอเรลลีส (Aurora Borealis) หรือ แสงเหนือ ซึ่งมักจะปรากฏเหนือ หุบเขาซิงเควลลิร์ (Þingvellir Valley) และทะเลสาบซิงเควลลาวัทน์ (Lake Thingvallavatn) แห่งนี้

สำหรับคนที่รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้สัมผัสสายน้ำตกที่น้ำตกกุลล์ฟอสส์อย่าเพิ่งน้อยใจไป ไอซ์แลนด์ยังมีน้ำตกสวยๆ จากธรรมชาติที่มีความสวยงามอลังการอีกหลายจุด หนึ่งในนั้นคือ น้ำตกเซลย่าแลนด์สฟอส (Seljalandsfoss Waterfall) น้ำตกที่ถือได้ว่าเป็นนางเอกของไอซ์แลนด์เลยก็ว่าได้ เพราะนักท่องเที่ยวหลายคนนิยมจะมาบันทึกภาพความสวยงามราวกับอยู่ในเทพนิยายของน้ำตกแห่งนี้ น้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ริมถนนวงแหวนหมายเลข 1 ระหว่างเมืองเซลฟอสส์ (Selfoss) กับเมืองสโกกาฟอสส์ (Skogafoss)

ด้านหน้าของน้ำตกมีสายน้ำไหลเทลงมาจากความสูงกว่า 60 เมตรปะทะกับผืนน้ำข้างล่างเป็นละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว สร้างความสดชื่น (และเปียกปอน) ให้กับผู้เดินทางมาเยือน ความพิเศษของน้ำตกอยู่ที่ด้านหลังของม่านน้ำตกที่มีเส้นทางเดินลัดเลาะเข้าไปได้ เป็นทำเลตั้งมั่นของบรรดาช่างภาพทั้งมือสมัครเล่น มืออาชีพ และนักท่องเที่ยวที่ยึดเอาเป็นหัวหาดเก็บภาพความประทับใจไปให้ได้มากที่สุด ยิ่งในยามที่แสงสาดส่องกระทบพรายน้ำ ตอนพระอาทิตย์ตก สวยจนเกินบรรยายเลย

บางคนอาจจะชอบความกว้างใหญ่ของน้ำตกกุลล์ฟอสส์ หรือชอบทางเดินและวิวสุดพิเศษของน้ำตกเซลย่าแลนด์สฟอส แต่สำหรับผมน้ำตกที่ทำให้รู้สึกว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจริงๆ เมื่อเทียบกับธรรมชาติคือที่นี่ น้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skogafoss) อยู่ในเขตภาคใต้ของไอซ์แลนด์ ใกล้ๆ กันนั้นคือ หมู่บ้านสโกการ์ (Skogar Village) ที่ติดกับธารน้ำแข็งเอยาฟยาตลาเยอคุตล์ (Eyjafjallajokull glacier) เป็นธารน้ำแข็งขนาดเล็กที่ได้ปกคลุมภูเขาไฟ

การมาน้ำตกแห่งนี้ก็ไม่ยาก ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก สามารถเดินทางตามทางหลวงหมายเลข 1 (Ring road) ที่นิยมกันได้เลย ด้วยน้ำตกขนาดใหญ่มากสูงกว่า 60 เมตร จึงสามารถมองเห็นได้ชัดในระยะไกลเป็นกิโลเมตรกันเลย ด้านข้างๆ ของน้ำตกจะมีทางเดินบันไดลัดเลาะขึ้นบนด้านบนของน้ำตก เพื่อให้คุณได้เห็นภาพในมุมสูงและวิวด้านบน เสียงน้ำที่กระทบพื้นด้านล่างกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ พอๆ กับละอองน้ำที่กระจายอยู่ทั่วทำเอาทั้งผมและอุปกรณ์เปียกไปหมด แต่เป็นความเปียกปอนที่ชุ่มชื่น และฉ่ำใจอย่างบอกไม่ถูก

ผมพูดได้อย่างเต็มปากว่าแม้ไอซ์แลนด์จะไม่ได้มีร้านช้อปปิ้งแบรนด์ หรือมีโบสถ์สวย ตระการตาเหมือนเมืองในแถบยุโรปอื่นๆ แต่ทัศนียภาพแปลกตาที่เกิดจากการรังสรรค์ของลาวาและภูเขาไฟ ธรรมชาติสวยงามทั้งน้ำตก บ่อน้ำพุร้อน หรือแม้แต่พระอาทิตย์เที่ยงคืน รวมไปถึงแสงเหนือที่หลายคนนิยมกัน เชื่อได้ว่า แม้คุณจะเก็บกระเป๋าไปเที่ยวไอซ์แลนด์
ฤดูไหนก็ตาม ที่นี่มีความมหัศจรรย์ให้คุณได้ไปสัมผัสอย่างแน่นอน

  • ไอซ์แลนด์ใช้วีซ่าเชงเก้นเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศในสหภาพยุโรป แต่ในประเทศไทยไม่มีสถานทูตไอซ์แลนด์ตั้งอยู่การขอวีซ่าจึงต้องไปขอที่สถานทูตเดนมาร์ก
  • การเดินทางไปประเทศไอซ์แลนด์จากเมืองไทยยังไม่มีเที่ยวบินตรง แต่สามารถไปต่อเครื่องที่เมืองใดเมืองหนึ่ง ในทวีปยุโรปได้ ยกตัวอย่างเช่นไปต่อเครื่องที่ออสโล (Oslo) ประเทศนอร์เวย์ เป็นต้น

ฤดูกาลของไอซ์แลนด์
ฤดูหนาว ช่วงเดือนธันวาคม – ต้นเดือนมีนาคม อากาศเย็นเหมาะกับการชมแสงออโรรา
ฤดูใบไม้ผลิ ปลายมีนาคม – พฤษภาคม มีหิมะประปราย ช่วงเวลากลางวันกับกลางคืนเท่ากั
ฤดูร้อน มิถุนายน – สิงหาคม ช่วงเวลาแห่งการท่องเที่ยว อากาศดี พระอาทิตย์ตกเกือบเวลาเที่ยงคืน
ฤดูใบไม้ร่วง กันยายน – พฤศจิกายน ใบไม้เปลี่ยนสี มีสีสันสวยงาม

พระอาทิตย์เที่ยงคืนคือช่วงเวลาหนึ่งของปีที่มีเวลากลางวันยาวที่สุด ใครอยากเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนก็สามารถพบได้ที่ไอซ์แลนด์ แต่จะมีในช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนจนถึงปลายเดือนสิงหาคมเท่านั้น ซึ่งมักจะเกิดทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ เพราะอยู่ห่างจากจุด Arctic Circle เพียงไม่กี่กิโลเมตร จึงสามารถดูพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ไม่ยาก

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0