Hola! Span เที่ยวสเปน

สเปน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรสเปน เป็นประเทศทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ใหญ่เป็นอันดับสามในยุโรป รองจากรัสเซียและฝรั่งเศส เนื้อที่ของประเทศสเปนแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ส่วนที่เป็นคาบสมุทร และส่วนที่เป็นหมู่เกาะ

จากประเทศไทยเดินทางโดยเครื่องบินไปสเปนจะใช้เวลาบินประมาณ 14 ชั่วโมงไม่สายการบินบินตรง แต่มีแบบแวะ 1 จุดพัก โดยมีหลายสายการบินให้เลือกทั้งแบบเดินทางช่วงกลางวันออกจากเมืองไทยช่วงเช้าไปถึงท่าอากาศยานอาโดลโฟ ซัวเรซ มาดริด-บาราฆัส (Aeropuerto Adolfo Suárez Madrid-Barajas) หรือที่โดยทั่วไปรู้จักกันในชื่อ ท่าอากาศยานมาดริด-บาราฆัส สเปนช่วงค่ำ พัก 1 คืนแล้วเดินทาง สำหรับคนที่ต้องการนอนสักคืนก่อนเริ่มเดินทาง แต่ถ้าใครไม่อยากเสียเวลาช่วงเช้า สามารถเลือกเดินทางแบบช่วงค่ำ ไปถึงสเปนช่วงเช้า แล้วเดินทางเที่ยวต่อก็ได้ สำหรับทางเลือกหลักแนะนำสำหรับผู้ที่แข็งแรง

สำหรับเราเลือกแบบแรกคือไปถึงแล้วนอนพัก เริ่มต้นการเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นมาด้วยอาการที่สดชื่น แม้จะรู้สึกแปลกไปบ้าง เพราะอากาศช่วงเดือนมีนาคม เมษายนไม่ได้ร้อนอบอ้าวเช่นที่ไทย กรุงมาดริดช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิแม้อากาศค่อนข้างแปรปรวน บางเวลาฝนตก บางเวลาหนาวเย็น แต่อุณหภูมิเฉลี่ยค่อนข้างสบายอยู่ที่ 10-21 องศาเซลเซียส กำลังเที่ยวสนุกก็ว่าได้ หันไปทางไหน ก็เจอเสียงทักทาย  “Hola” (โอ๊-ลา)

กรุงมาดริด (Madrid)

เมืองลูกผสมของนครรัฐของชาวมัวร์ ในอดีตเคยเป็ นชาติมหาอำนาจที่มีเมืองขึ้นมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางแหลมไอบีเรียนในระดับความสูง 650 เมตร เป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดแห่งหนี่งและเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของทวีปยุโรป รองจาก กรุงลอนดอน และกรุงเบอร์ลิน แต่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสเปน

การเดินทางในกรุงมาดริดทั้งบริการรถไฟ Renfe ไปเมืองต่างๆ ไม่ว่า บาร์เซโลน่า, เซบีญ่า, มะละกา, ซาราโกซ่า, รวมถึงเมืองต่าง ๆ ในยุโรบ อาทิเช่น มิลาน, ปารีส ส่วนรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro de Madrid ของที่นี่ก็ซึ่งถือได้ว่าเป็น 1 ในรถไฟใต้ดินที่ดีที่สุด และราคาไม่แพงในยุโรป ไม่ต้องกังวลว่าจะอ่านไม่ออกเครื่องออกตั๋วส่วนใหญ่มีภาษาอังกฤษ สำหรับรถไฟท้องถิ่นอย่าง Cercanias ก็ช่วยให้เราเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์และสถานที่อื่น ๆ ในเขตนอกเมืองได้อีกด้วย ส่วนรถประจำทางเป็นทางเลือกสำหรับบางสถานที่ที่รถไฟฟ้าใต้ดิน ไปไม่ถึง ส่วนแท็กซี่กับรถยนต์ไม่ค่อยแนะนำ ถ้าไม่ได้มาเป็นกลุ่มหรือครอบครัว เพราะที่จอดรถหายาก ส่วนแท็กซี่ก็แทบไม่พูดภาษาอังกฤษเลย

สถานที่ท่องเที่ยวหลัก คงหนีไม่พ้น จัตตุรัสซิเบเลส (Plaza de la Cibeles) วงเวียนสำคัญเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง วิธีไป คือ นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน สาย 2 ลงที่สถานี Banco de Espana แวดล้อมด้วยอาคารต่างๆ อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง ปัจจุบัน มีการ แบ่งแยกตามอาคารที่โดดเด่น 4 แห่งอยู่ทั้ง 4 มุม ได้แก่ธนาคารแห่งชาติสเปน , กองบัญชาการทหารบก , ที่ทำการ ใหญ่ไปรษณีย์ที่เห็นในรูป และศูนย์วัฒนธรรมทวีปอเมริกา มีอนุสาวรีย์น้ำพุไซเบเลส  (Cibeles Fountain) ที่สร้างอุทิศให้แก่เทพธิดาไซเบลีน ที่นี่เป็นที่รู้จักสำหรับคนที่นิยมฟุตบอลสเปน เราจะเห็นหมู่แฟน ๆของทีมฟุตบอลเรอลัมาดริดเดินทางไปเฉลิมฉลองชัยชนะของทีมที่น้ำพุทุกครั้งที่ทีมของตนชนะการแข่งขันที่สำคัญ

ประตูชัยอาคาล่า (Puerta De Alcala) Puerta de Alcalá น่าจะเป็นประตูเมืองเก่าของมาดริดที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด กษัตริย์คาร์ลอสที่ 3 ทรงมีดำรัสให้สร้างประตูนี้ในต้นทศวรรษที่ 1770 เพื่อทดแทนประตูเดิมที่สร้างในปี 1559 โดยให้อลังการขึ้นกว่าเดิม ชื่อของประตูชัยแห่งนี้ถูกตั้งตามชื่อของเมืองมรดกโลกที่ชื่อว่า อัลกาลาเดเอนาเรส (Alcalá de Henares) โดยที่นี่เป็นบ้านเกิดของ มิเกล เด เซร์บันเตส นักเขียนชื่อดังชาวสเปน

สถาปนิกผู้โด่งดัง Francisco Sabatini เป็นผู้ออกแบบประตูนี้ และมีการตกแต่งด้วยรูปสลัก ศิลปะนูนสูง และรูปปั้นผลงานของ Robert de Michel และ Francisco Gutiérrez ความพิเศษของประตูชัยอาคาล่านั่นก็คือในแต่ละประตูจะมีดีไซน์ที่แตกต่างกัน ด้านของประตูที่หันหน้าเขาหาเมืองนั้นจะประดับไปด้วยรูปปั้นแกะสลักของสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ ไม่ว่าจะเป็นธงชาติ อาวุธ เสื้อเกราะและหมวกทหาร ประตูโค้งสามประตูได้รับการตกแต่งด้วยหัวสิงโต ประตูด้านหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจะมองเห็นเป็นสิ่งแรกนั้นได้รับการประดับตกแต่งด้วยมงกุฎและตราแผ่นดิน ด้านบนสุดของประตูชัยจะเห็นเป็นรูปปั้นของเด็กทั้งหมด 4 คนซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดี 4 อย่างนั่นก็คือ ความอดทน ความยุติธรรมความยับยั้งชั่งใจและความสุขุมรอบคอบ ปัจจุบัน Puerta de Alcalá ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางมาดริด

 สนามฟุตบอลชานเดียโก้เบอร์นาบิว (Santiago Bernabéu Stadium)  สนามระดับตำนานของยอดทีมราชันชุดขาวแห่งสเปน ทีม รีล มาดริด (Real Madrid)เปิดใช้ในปี ค.ศ.1947 แต่เดิมที่นี่รับผู้ชมได้เต็มที่รวมทั้งตั๋วยืนถึง 120,000 คน แต่ต่อมายูฟ่าออกกฎไม่ให้มีผู้ยืนชม จึงมีการปรับเปลี่ยนโดยขยายพื้นที่และติดตั้งที่นั่งเพิ่มเติมอีก 5000 ที่นั่งในปี ค.ศ.2003 ทำให้สนามนี้มีที่นั่งทั้งหมด 80,400 ที่นั่ง ที่นี่เคยเป็นสนามแข่งขันฟุตบอลโลกในปี ค.ศ.1982 มาแล้ว สำหรับยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ เคยอาศัยที่นี่เป็นสนามแข่งถึง 4 ครั้ง คือ ในปี 1957 ,1969, 1980 และ 2010 จึงไม่แปลกที่ที่นี่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกการเข้าชมก็จะสามารถไปดูได้หลายส่วนทั้งห้องพักนักกีฬา ศึกษาประวัติของสโมสร ตลอกชมถ้วยรางวัลต่างๆ ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของสโมสรได้ มีทัวร์พาเข้าชมให้ ที่สำคัญการเดินทางมาก็ง่ายแสนง่ายแค่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน สาย 10 ลงที่สถานี Santiago Bernabeu ได้เลย

พลาซ่า มายอร์ (Plaza Mayor of Madrid) จตุรัสหลวงศูนย์กลางเมืองเก่าที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1619 โดยกษัตริย์ฟิลลิปที่ 3 ด้วยศิลปะผสม ออสเตรีย-สเปนใกล้เขตปูเอต้าเดลซอล หรือประตูพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นจตุรัสใจกลางเมืองนัดเป็นจุดนับกิโลเมตรแรกของสเปน (กิโลเมตรที่ศูนย์) และยังเป็นศูนย์กลางรถไฟใต้ดินและ รถเมล์ทุกสาย นอกจากนั้นยังมีจุดตัดของถนนสายสำคัญของเมือง บริเวณลานกว้างที่โรยด้วยกรวดของพลาซ่านี้ล้อมรอบไปด้วยร้านอาหารเก๋ไก๋ ร้านบูติก บาร์ และคาเฟ่  และที่นี่ยังเป็นสถานที่เค้าท์ดาวน์ยอดฮิตในช่วงปีใหม่อีกด้วย

แกรน เบีย (Gran Via)

ถนนช็อปปิ้งสตรีทย่านใจกลางเมือง โดดเด่นด้วยการที่ตึกอาคารที่ยังคงเป็นแบบสถาปัตยกรรมสุดจะคลาสสิกมีสไตล์ เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้งและศูนย์กลางสถานที่เที่ยวกลางคืน  สาวกแบรนด์เนมชั้นนำต่างๆแถวนี้ร้านรวงมีให้ช็อปปิ้งให้อย่างจุใจ ร้านบูติกและร้านขายแบรนด์นานาชาติที่ตั้งอยู่ในอาคารที่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่อันโดดเด่นที่สุดในมาดริดร้านค้าที่อยู่ตาม Gran Via แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานสไตล์กับสินค้าอย่างลงตัว นอกจากนี้บริเวณ Gran Via ยังมีโรงภาพยนตร์ โรงละคร บาร์ และคลับ ทำให้ถนนสายนี้เป็นที่รู้จักในนาม “ถนนที่ไม่เคยหลับใหล” ของกรุงมาดริด มาที่นี่ในตอนกลางวันเพื่อช้อปปิ้งแล้วอยู่ต่อจนถึงเวลาอาหารค่ำ จากนั้นไปชมการแสดงและเต้นรำจนถึงรุ่งสาง

เรติโร ปาร์ค (Parque del Retiro)

เรติโรปาร์ค นั้นเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณใจกาลงเมืองมาดริด พื้นที่สีเขียวใจกลางเมือง แหล่งพักผ่อนที่มีงบึงน้ำขนาดใหญ่ ไฮไลท์มีสองที่อย่างแรกจะเป็น อนุสาวรีย์ที่ Monument to Alfonso XII ด้านหน้าบึงน้ำ มีชาวเมืองนิยมมาพายเรือเล่นในช่วงเย็นกันเป็นจำนวนมากอีกที่เลยที่ไม่ควรพลาดอย่างแรงนั่นก็คือ ปราสาทกระจก ลักษณะเป็นปราสาทขนาดย่อมที่แลดูโปร่งด้วยกระจกรอบทิศทาง นอกจากนั้นยังมีมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดเล็กให้ได้เดินไปชมเพลินๆได้อีกด้วย จากสถานีรถไฟกลางเมืองมาดริด สามารถนั่งรถไฟสาย C2, C10 ไปลงที่สถานี  Recoletos หรือนั่งรถประจำทางสาย 10, 14, 203  ไปลงที่ป้าย Puerta De Alcalá – Retiro ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

และที่ห้ามพลาดไปถ่ายรูปคือ รูปป้ันหมีเกาะต้นเชอรี่ (The bear and the cherry tree in Madrid) อันเป็นสัญลักษณณ์สำคัญอีกแห่งของกรุงมาดริด เดิมมาดริดมีชื่อว่า URSA ซึ่งเป็นภาษาละติน มีความหมายว่า หมี และป่าที่อยู่รอบเมืองเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีผลเหมือนสตรอเบอรี่ จึงถูกเรียกว่า Strawberry tree(ต้นหม่อนชนิดหนึ่ง) ในสงครามLas Navas de Tolosa ในปี1212 มีการนำรูปหมีและดาว7ดวงมาใช้เป็นสัญลักษณ์บนธงศึก ต่อมามีการนำต้นสตรอเบอรี่มาวางไว้คู่กันและถูกใช้เป็นตราประจำเมืองหรือCoat of arm มาตั้งแต่ปี1222 ปัจจุบันจึงพบรูปหมีเกาะต้นสตรอเบอรี่ได้ทั่วไปในทุกพื้นที่ของกรุงมาดริด

จากตัวเมืองมาดริดสิ มีเมืองที่น่าสนใจที่สามารถเดินทางแบบ ไปเช้าเย็นกลับได้เลย เช่น โตเลโด (Toledo), เซโกเวีย (Segovia), อาบีลา (Avila), ซาลามัสกา (Salamanca) เป็นต้น อย่างเราครั้งนี้เลือกเมืองโตเลโด และ เซโกเวีย

เมืองโตเลโด (Toledo)

จากกรุงมาดริดไปทางทิศใต้ประมาณ  73 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 1.15 ชม.เป็นเมืองโตเลโด ซึ่งอยู่ในแคว้นกัสติยา-ลามันชา (Castilla-La Mancha) เมืองนี้ได้รับประกาศในเป็ นเมืองมรดกโลกในปีค.ศ. 1986 เนื่องจากมีมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างมากมายในฐานะหนึ่งในเมืองหลวงของจักรวรรดิสเปน รวมทั้งยังเป็นสถานที่ที่ปรากฏร่องรอยวัฒนธรรมของชาวคริสต์ ชาวยิว และชาวมัวร์อยู่ร่วมกันอีกด้วย

ตัวเมืองโบราณตั้งอยู่บนเนินเขา มีแม่น้ำล้อมรอบ ทั้งเมืองเป็นป้อมปราการ กำแพงล้อม บ้านพักอยู่ภายในปราสาทตั้งอยู่ด้านบนสุด สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างเช่น    มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral หรือ Santa Iglesia Catedral Primada de Toledo)  เป็นวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสเปน รองจากวิหารเมืองเซบีญ่า มหาวิหารโตเลโดไม่ได้เป็นแค่เพียงสิ่งปลูกสร้างที่สะดุดตามากที่สุดของเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นมหาวิหารที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่ง มหาวิหารแห่งนี้นับเป็นวิหารที่สถาปัตยกรรมแบบโกธิกระดับสูงได้รับการยกยอ่งว่าเป็นศิลปะชิ้นเอก 1 ใน 3  ที่ถูกจารึกไว้ของช่วงศตวรรษที่ 13 ประตูหลัก มีทั้งสิ้น 3 ประตู คือ Puerta del Perdon, Puerta del Juicio และ Puerta del Infierno  มีความหมายของชื่อประตูอย่างมีปริศนาธรรม ประตูแห่งการให้อภัย ประตูแห่งการพิพากษา และประตูแห่งนรก

ความงดงามของที่นี่เป็นความวิจิตรของอาคารที่ปรากฏรายละเอียดลวดลายเหมือนไม่ใช่อาคารแต่เป็นภาพเขียน มีความวิจิตรตั้งแต่เพดานโค้ง แท่นบูชาด้านหน้า การตกแต่งด้วยกระจกสี รูปภาพ และงานประติมากรรมเช่นเดียวกับงานในยุคเดียวกัน ตรงบริเวณห้องเก็บเครื่องพิธีที่แสดงผลงานศิลปะล้ำค่าของศิลปินชื่อดัง เช่น เบลาซเกซ, การาวัจโจ, ทิเชียน และราฟาเอล เป็นต้น ผลงานที่โดดเด่นชิ้นหนึ่ง ได้แก่ Disrobing of Christ(El Spolio) ของเอลเกรโค ภาพอันทรงพลังของฝูงชนพยายามเปลื้องเสื้อคลุมสีแดงสดของพระเยซูคริสต์เพื่อเตรียมตัวประหารพระองค์

เซโกเวีย (Segovia)

เซโกเวีย คือเมืองเล็ก ๆ ในเขตการปกครองของคาสตีล (Castile) และเลออน  (León) เมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้มีทัศนียภาพอันงดงามและอนุสาวรีย์อันงดงาม  จากกรุงมาดริด ใช้เวลาเดินทางประมาณ .1.30 ชม.ระยะทาง 91 กม. เป็นหนึ่งในหลายๆ เมืองมรดกโลกของสเปน มีสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากโรมัน ที่ยังคงเห็นร่องรอยความเจริญอยู่อย่างเช่นสะพานส่งน้ำโบราณ (Roman Aqueduct Of Segovia) สิ่งก่อสร้างโรมัน ที่ใหญ่ที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่ในสเปน มีโค้ง 165 ช่วง สูง 29 เมตร ดยสะพานส่งน้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2 โดยชาวโรมันขณะที่กำลังขยายอำนาจในคาบสมุทรไอบีเรียเพื่อนำน้ำจาก แม่น้ำฟรีโอ (Río Frío) ซึ่งห่างออกไปประมาณ 18 กิโลเมตรเข้าสู่ตัวเมือง ตัวสะพานตั้งอยุ่บริเวณจัตุรัส Plaza Artillería เราจะมองเห็นสะพานตั้งตระหง่านพาดข้ามจากเนินเขาทางด้านซ้าย ไปยังเนินทางขวาซึ่งเป็นตัวเมืองเก่า โดยส่วนที่สูงที่สุดของสะพานนี้สูงถึง 28.5 เมตร ตัวเมืองเก่า รวมทั้งระบบท่อส่งน้ำและสะพานส่งน้ำสมัยโรมัน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO

ปราสาทแห่งเซโกเบีย หรือ ปราสาทอัลคาซาร์ (Alcázar de Segovia-Segovia Castle) ซึ่งหลายคนเรียกปราสาทแห่งนี้ว่าปราสาทแห่งเทพนิยาย เพราะความสวยสง่างามที่มองเห็นได้จากภายนอก ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูงที่แม่น้ําสองสาย ไหลมาบรรจบกัน หนึ่งในปราสาทที่สวยที่สุดของสเปน ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำ Eresma และเคยถูกใช้เป็นพระราชวังโรมันในศตวรรษที่ 3 โรงเรียนสอนทหาร ด่านกันศัตรู รวมไปถึงคุกที่คุมขังนักโทษ ปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมหลายคนอาจดูคุ้นๆตา เพราะส่วนของหอคอยและป้อมปราการของปราสาทแห่งนี้ถูกนำไปเป็นหนึ่งในต้นแบบของปราสาทซินเดอเรลล่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ Magic Kingdom สวนสนุกวอลต์ดิสนีย์เวิลด์รีสอร์ต ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา สวนสนุกแห่งแรกของวอลต์ดิสนีย์ นั่นเอง ปราสาทแห่งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งชาตินิยมของประเทศสเปน ปัจจุบันอัลกาซาร์ได้รับการบูรณะให้เป็นพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดไปแล้ว

เมืองบาร์เซโลนา (Barcelona)

จากมาดริด ไปบาร์เซโลนามีหลายวิธี อาจจะนั่งเครื่องบิน ใช้เวลาน้อยกว่า แต่ขั้นตอนก็ยุ่งยากหน่อยหรือใช้รถไฟความเร็วสูงใช้เวลาแค่สองชั่วโมงครึ่ง ใช้บริการของ renfe.com ก็ได้มีรถของ AVE จากสถานีอโตชาไปลงที่สถานีเซนต์ ของบาร์เซโลนาเลย

บาร์เซโลนา เรียกได้ว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของสเปน มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และนักท่องเที่ยวนิยมมาเป็นอย่างมา ก จุดท่องเที่ยวแรกที่ทุกคนมุ่งไปคือ โบสถ์ซากราดา แฟมิเลีย (La Sagrada Familia) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองบาร์เซโลนาชื่อเต็มๆ ว่า Temple Expiatori de la Sagrada Família ชื่ออันหมายถึง “ครอบครัวพระเยซู” เป็นมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่ งดงามสุดอลังการ ด้วยขนาดประมาณ 2 เท่าของสนามหลวงผลงานชิ้นสุดท้ายของสถาปนิกชื่อดัง ชื่อ ผลงานการออกแบบของ อันโตนี เกาดี (Antoni Gaudí) ด้วยความสวยงามอลังการและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัววิหารแห่งนี้ จึงได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทั้งที่ยังสร้างไม่เสร็จ มหาวิหารแห่งนี้มีความสูงถึง 170 เมตร เป็นศิลปะแบบนีโอโกธิค สร้างจากหินทรายทั้งหมด ด้วยแนวความคิดการคืนกลับสู่ธรรมชาติ  แทบจะไม่ใช้เส้นตรงเลย เนื่องจากอันโตนี เกาดีเชื่อว่าเส้นโค้งนั้นมีไว้สำหรับพระผู้เป็นเจ้า และโบสถ์แห่งนี้ก็สร้างเพื่อพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ตัวอาคารบรรจงประดับด้วยโมเสคจากเวเนเชี่ยน ประดับด้วยปฏิมากรรมแกะสลกัจากหินหลายพันจากศิลปินสเปน  ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้ยังคงดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี2026 เนื่องจากครบรอบ 100 ปี ที่อันโตนี เกาดี สถาปนิกผู้เริ่มสร้างวิหารแห่งนี้ได้จากไป การเข้าชมด้านใน ต้องมีการจองล่วงหน้าเท่านั้น ไม่สามารถซื้อบัตรจากหน้ามหาวิหารได้

 ปาร์ค กูเอล (Parque Guell) สวนสาธารณะขนาด ใหญ่ที่โชวผ์ลงานอันโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมอีกชิ้นของของอันโตนิ เกาดิ ตั้งอยู่บนเนินเขาเอล คาร์เมล (El Carmel) หากขึ้นไป ณ​ จุดสูงสุดแล้ว เราจะเห็นวิวของทั้งเมืองยาวไปจนถึงขอบชายฝั่งทะเล ซึ่งจะสวยสดงดงามมากตอนพระอาทิตย์ตกดินป็นสวนที่มีความเก่าแก่มาก สร้างมาตั้งแต่ปี 1900 โดยใช้เวลาสร้างนานถึง 14 ปีกว่าจะเสร็จและได้เปิดให้บริการเป็นสวนสาธารณะในปี 1926 จนอีก 60 กว่าปีต่อมา UNESCO ก็เพิ่มชื่อของปาร์ค กูเอล (Park Guell) ให้เป็นมรดกอีกแห่งของโลก

เดิมสวนแห่งนี้นี้ถูกสร้างให้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาบ้านระดับไฮคลาส ไม่ประสบความสำเร็จ แผนการก็เลยต้องเก็บพับเขากรุไป โครงการนั้นมีบ้านเพียงสองหลังที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งไม่ได้สร้างโดยเกาดี (Gaudi) เอง โดยหลังหนึ่งสร้างไว้โชว์ลูกค้า จนสุดท้ายเจ้าของก็ปล่อยขายแต่ไม่มีใครซื้อ เกาดี (Gaudi) ก็เลยซื้อด้วยเงินเก็บของตัวเองแล้วเข้าไปอยู่อาศัยกับพ่อของเขานานกว่า 20 ปี ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านของเกาดี ให้คนได้เข้าไปเยี่ยมชม หรืออีกชื่อว่า Casa Museu Gaudí ซึ่งตั้งอยู่ในสวนแห่งนี้นี่เอง

ภายในสวนล้อมรอบด้วยความร่มรื่นของต้นไม้นั้นถูกตกแต่งไปด้วยงานปฎิมากรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรมที่ประดับตกแต่งลวดลายด้วยเครื่องกระเบื้องโมเสคนับล้านชิ้น เน้นรูปทรงธรรมชาติในสีส้นที่ตัดกันดูโดดเด่น แปลกได้แรงบันดาลใจในการสร้างมาจากวิหารแห่งเทพเจ้าอะพอลโล (Temple of Apollo) ณ เมืองเดลฟี (Delphi) ประเทศกรีซ จุดเด่นของสวนสาธารณะแห่งนี้คือ น้ำพุมังกรโมเสค (Mosaic dragon) ที่อยู่ด้านหน้าทางเข้า ที่คุณจะต้องเดินผ่านอุโมงค์ Portico ที่มีลักษณะเหมือนคลื่น  อันเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกส่วนถ้าใครเมื่อยล้า ก็ไปนั่งระเบียงที่ Plaça de la Natura terrace สวนสาธารณะปาร์ค กูเอลได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2005

อีกหนึ่งชิ้นงานของอันโตนิ เกาดิ คือคาซ่า บัตโล่ (Casa Batllo) ถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่สร้างชื่อเสียงให้กับอันโตนิ เกาดิ เราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Passeig de Gracia เริ่มต้นก่อสร้างมาตั้งเเต่ปี ค.ศ.1877 โดยมีตระกูลบัตโล่ที่ร่ำรวยในเมืองบาร์เซโลน่าเป็นเจ้าของ ซึ่งตระกูลนี้เป็นเศรษฐีในธุรกิจสิ่งทอในบาร์เซโลน่า  โดยหลังจากนั้นเเล้ว อันโตนีโอ เกาดี้ ก็เข้าทำมาการตกเเต่งเเละปรับปรุงจนสวยงามเหมือนในปัจจุบัน  ด้วยการรังสรรค์สถาปัตยกรรมที่แปลกแหวกทุกแนว ทุกส่วนมีความน่าสนใจของตัวมันเองอย่างเสาก็จะเป็นมังกรแบบทำให้เป็นเกล็ดๆเรียลๆ หลายๆส่วนก็ยังถูกออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายมังกร  โดยจุดเด่นที่สวยงามอย่างมากก็คือบริเวณหลังคาที่ได้ไอเดียมาจากหลังของมังกร ส่วนกระเบื้องที่มีสีสันนั้นก็มีลักษณะเป็นเกล็ดมังกรที่สวยงามอย่างมาก บ้านนี้เปิดให้เข้าชมมีค่าธรรมเนียมแนะนำให้มาแต่เช้า

บ้านหลายหลังที่อยู่ใกล้กันก็สวยงามไม่แพ้กัน หลังตรงข้ามอย่าง Casa Mila ก็เป็นผลงานของอันโตนีโอ เกาดิ ก่อนที่เขาจะไปอุทิศตัวในการสร้างผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นอย่าง โบสถ์ซากราดา แฟมิเลีย โดยมีลักษณะโดดเด่นอยู่ที่การตกเเต่งด้านหน้าที่เหมือนกับลูกคลื่นในทะเลเเละส่วนของตรงระเบียงจะมีลักษณะคล้ายๆ กับสาหร่ายทะเล ส่วน ที่ติดๆกันเป็น Casa Amatller ออกเเบบโดยสถาปนิกชื่อดังอีกคนอย่าง Josep Puigi Cadafalch ในช่วงปี ค.ศ.1989 ถึง 1900 เดิมนั้นเป็นบ้านพักของเชฟทำช็อกโกแลตที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองบาร์เซโลน่าอย่าง Antoni Amatller ซึ่งที่นี่จะเเตกต่างในเรื่องการเข้าชม เพราะจะต้องมีไกด์เเละทัวร์เท่านั้นถึงจะเข้าไปชมความสวยงามได้

ประตูชัยเมืองบาร์เซโลน่า (Barcelona’s Arc de Triomf) สร้างขึ้นโดยสถาปนิก Josep Vilaseca i Casanovas เป็นสถาปนิกและศิลปินชาวคาตาลัน เป็นประตูทางเข้าหลักสำหรับงาน World Fair ในปี 1888 ใช้อิฐสีแดงในการสร้างในในสไตล์ Neo-Mudéjar ผนังด้านหน้าประกอบด้วยรูปปั้นหิน Barcelona rep les nacions โดย Josep Reynés ส่วนผนังที่อยู่ตรงข้ามมีหินแกะสลัก ชื่อว่า Recompensa ซึ่งเป็นผลงานในช่วงแรกของ Josep Llimona เป็นตัวแทนของการมอบรางวัลแก่ผู้เข้าร่วมในนิทรรศการโลก

 หนึ่งในแลนดมาร์คอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองบาร์เซโลน่า  ซุ้มประตูพาดข้ามทางเดินกลางอันกว้างขวางของ Passeig de Lluís นำทางไปสู่สวนสาธารณะ Ciutadella ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของงานแสดงสินค้าระดับโลก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของทางเดินประกอบไปด้วยสัญลักษณ์แห่งการเกษตรและอุตสาหกรรม โดย Antoni Vilanova และสัญลักษณ์แห่งการค้าและศิลปะโดย Torquat Tassó เสาหลักทั้งสองเป็นรูปแกะสลักหิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ Jaume I ผู้ปกครองในช่วงเจริญรุ่งเรืองในบาร์เซโลนา

จากสถานีรถไฟกลางเมืองบาร์เซโลนา สามารถนั่งรถไฟสาย L1 ไปลงที่สถานี Pl. Catalunya แล้วเดินต่ออีกเล็กน้อย ใช้เวลาโดยรวมประมาณ 13 นาที จะถึงถนนคนเดินลารัมบลา (La Rambla) หรือบางครั้งเรียกว่า ลัสรัมบลัส ถนนแห่งนี้เป็นพื้นที่ตั้งของตลาด Mercat de la Boqueria ซึ่งถนนลารัมบลาสเป็นถนนที่ทอดยาวมาจาก Plaza Catalunya ซึ่งเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองบาร์เซโลน่า ไปกระทั่งสุดถึงท่าเรือ Port Vell ซึ่งอยู่ริมทะเล เป็นระยะทางทั้งหมด 1.2 กิโลเมตร นับว่าเป็นถนนสายช็อปปิ้งสำคัญอีกสายที่มีทั้งความสวยงามเเละน่ามาเที่ยวชมดูซักครั้ง แต่ละวันถนนคนเดินลารัมบลาสจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนโดยเฉพาะช่วงวันหยุด ตลอดสองข้างถนนมีสินค้าพื้นเมืองที่น่าสนใจมากมาย รวมถึงร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก สินค้าแฮนด์เมดและอื่นๆ โดยนอกจากร้านค้าต่างๆ แล้วสถาปัตยกรรมของตึกเก่าและร่มรื่นของต้นไม้ตลอดทางยังสร้างความรื่นรมย์ได้เป็นอย่างดี

ใกล้กับถนนคนเดินลารัมบลา มีพลาซ่าหนึ่งที่มีชื่อเสียงในบาร์เซโลน่าคือ Placa Reial พลาซ่าล้อมรอบไปด้วยตึกอาคารสวยงามมากมาย รวมไปถึงน้ำพุและต้นปาล์มอีกมากมาย เสาไฟให้แสงสว่างในยามค่ำคืนนั้นเป็นผลงานศิลปะชิ้นแรกๆที่ถูกออกแบบโดย Gaudi และที่ปลายสุดของถนนสายนี้เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์คริสโตเฟอร์โคลัมบัส Christopher Columbus ผู้ค้นพบทวีป อเมริกาในปี ค.ศ.1492

บาร์เซโลนายังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย แต่ครั้งนี้เวลาของเรามีจำกัดเลยเลือกที่หลัก แต่แนะนำหากใครชอบพิพิธภัณฑ์ ยังมีหลายแห่งเลย หรือใครจะเดินทางมาเที่ยวบาร์เซโลนาทีเดียวก็ย่อมได้

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0